บทที่ 39 ชาติหน้าฉันใดฟังเสียงระฆังใบเดียวกัน-2
ครั้นทักทายหลิวรุ่ยอิ่งโดยไม่หันหน้ากลับมามองและเดินเข้าไปในกระโจมที่เขารับประทานอาหารอยู่เมื่อครู่
เฮ่อโหย่วเจี้ยนเปรียบเทียบท่าทีของท่านอ๋องที่มีต่อตนเองกับหลิวรุ่ยอิ่ง แอบสบถว่าท่าไม่ดีแล้ว!
เขาไม่รู้ว่าช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นในหัวเมืองรัฐติงบ้าง เป็นเหตุให้ท่านอ๋องบึ้งตึงเช่นนี้
แต่ว่า เขาในยามนี้เพียงหวังว่าทังหมิงจะยังไม่ส่งเงินทองจำนวนหนึ่ง ม้าและสตรีนารีมาให้ หากท่านอ๋องพบเข้าพอดี เช่นนั้นตนเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
จัดการทุกสิ่งอย่างเรียบร้อย เขาเดินเข้าไปในกระโจมอย่างระมัดระวัง มองฮั่ววั่งและหลิวรุ่ยอิ่งพูดคุยหัวเราะ จึงไม่กล้าเอ่ยมากความ เพียงยืนอยู่ใต้กระโจมเงียบๆ
“ผู้ว่าการหัวเมืองเฮ่อยังจัดการทัพได้เยี่ยมเช่นเคย ข้าเห็นว่างานการทหารในค่ายใหญ่ล้วนเป็นระเบียบเรียบร้อย”
ฮั่ววั่งกล่าว
“คำกล่าวชมของท่านอ๋องกระหม่อมไม่อาจน้อมรับจริงๆ…”
เฮ่อโหย่วเจี้ยนกล่าวถ้อยคำถ่อมตน
ฮั่ววั่งชี้ไปทางที่นั่งด้านข้าง โบกมือให้เฮ่อโหย่วเจี้ยนนั่งลงด้วย
“พวกเรามาจากแดนไกลล้วนเป็นแขก เจ้าผู้เป็นเจ้าบ้านไม่ต้องเกรงอกเกรงใจเพียงนี้!”
เมื่อเห็นว่าท่านอ๋องหยอกล้อกับตน ขณะนั้นเฮ่อโหย่วเจี้ยนจึงไม่กังวลเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
“เพียงแต่ทหารในค่ายดูเหมือนไม่ได้ผ่านการรบมาหลายวัน ความเป็นระเบียบจึงหย่อนยานไปตามลำดับ เป็นเพราะเหตุใด”
ฮั่ววั่งแสร้งไม่เข้าใจและจงใจถาม
“มาแล้ว…”
เฮ่อโหย่วเจี้ยนสั่นกลัวจนกระตุ้นไปถึงจิตวิญญาณทั้งหมดอีกครั้ง
“ทูลท่านอ๋อง ทหารเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นทหารเกณฑ์ใหม่ เพิ่งเสร็จสิ้นการฝึกฝนได้ไม่นาน ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงรับผิดชอบลาดตระเวนและเฝ้ายามเท่านั้น พวกเขายังไม่เคยผ่านศึกรบสุดชีวิต ไม่ทราบความโหดร้ายของสนามรบ ดังนั้นท่านอ๋องดูแล้วจึงรู้สึกว่าเฉื่อยชาไปบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อโหย่วเจี้ยนกล่าวอธิบาย
ฮั่ววั่งยิ้มหลังจากได้ยินและกล่าว “แท้จริงแล้วเจ้าผู้ว่าการหัวเมืองเฮ่อปล่อยให้ทหารใหม่ขาดประสบการณ์กลุ่มหนึ่งมาเฝ้าค่ายทัพกลางของเจ้า สมแล้วกับที่เป็นทหารผ่านศึกรบกับทหารหมาป่าอย่างดุเดือดมาหลายปี ช่างกล้าหาญฝีมือเหนือชั้นเสียจริง!”
เหตุใดเฮ่อโหย่วเจี้ยนจึงไม่ได้ยินความไม่เชื่อและความไม่พอใจในน้ำเสียงของฮั่ววั่งเลยเล่า
ขณะนั้นจึงเอ่ยอธิบายออกไปอีกครั้ง “ส่วนใหญ่เป็นทหารรบเก่งกาจ ผู้ห้าวหาญซึ่งนำโดยผู้สั่งการหัวเมืองสองท่าน ทั้งหมดล้วนตั้งทัพประจำการอยู่แนวหน้า ด้วยวิธีนี้สามารถรับประกันได้ว่าหน่วยของกระหม่อมมีกำลังพลสู้รบที่แข็งแกร่งที่สุดต้านทานการโจมตีทหารหมาป่าได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่ววั่งได้ฟังก็พยักหน้าอย่างครุ่นคิด ดูเหมือนจะรู้สึกว่าคำกล่าวของเฮ่อโหย่วเจี้ยนสมเหตุสมผล
ในขณะนั้นก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก หัวข้อสนทนาทั้งหมดล้วนเปลี่ยนแนะนำขนบธรรมเนียมและประเพณีชายแดนให้หลิวรุ่ยอิ่งแทน
หลิวรุ่ยอิ่งก็ฟังด้วยความสนใจยิ่ง โดยเฉพาะรายละเอียดเกี่ยวกับราชสำนักทุ่งหญ้ายิ่งทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ สุดท้าย เพียงแค่รู้สึกว่าเฮ่อโหย่วเจี้ยนที่นั่งทำใจดีสู้เสือและคารวะสุราน่าสมเพชเล็กน้อย
………………………..
ฟ้าสางวันรุ่งขึ้น
ไก่ขันยังไม่ถึงสามรอบ
เสียงกีบม้ารวดเร็วดังสนั่นจนปลุกหลิวรุ่ยอิ่งให้ตื่นขึ้น
ครั้นหยัดกายลุกขึ้นจัดข้าวของเรียบร้อยจึงออกจากกระโจมไปดูก็พบว่าทังหมิงมาถึงแล้ว
ฮั่ววั่งนั่งอยู่กลางกระโจมใหญ่แล้ว ความใจดีเป็นมิตรต่างจากเมื่อวานลิบลับ
สีหน้าเคร่งขรึม สายตาเฉียบคม จริงจังไม่ยิ้มแย้ม
ครั้นเห็นหลิวรุ่ยอิ่งเข้ามาเพียงพยักหน้าเล็กน้อยถือเป็นการทักทาย จากนั้นล้วงเอาจดหมายฉบับนั้นที่หลิวรุ่ยอิ่งเคยอ่านไปแล้วออกจากอ้อมอก
“ทังหมิง ข้าเรียกเจ้ามาถึงที่นี่เพราะสิ่งนี้ ควรจะอธิบายคำกล่าวในจดหมายว่าอย่างไร”
ฮั่ววั่งถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมโยนจดหมายลงไป
ทันทีที่ทังหมิงหยิบขึ้นมาอ่านคร่าวๆ หัวใจพลันเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง…
ราวกับก้อนหินที่มองไม่เห็นกดทับลงบนหัวใจทำให้เขาหายใจไม่ออก แม้แต่ริมฝีปากก็เริ่มสั่นเทาไม่หยุด สมองขาวโพลน
ในกระโจมไร้ความอบอุ่น แต่เม็ดเหงื่อของทังหมิงผุดจากข้างในจนเปียกชุ่มไปทั้งหน้าอก
ราวกับมีเข็มทิ่มแทงหลัง กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เพียงรอให้อัสนีบาตพิโรธผ่าลงกลางกระหม่อม
‘จดหมายฉบับนี้ไปอยู่ในมือท่านอ๋องได้อย่างไร…เช่นนี้แล้วทุกอย่างจะไม่ถูกเปิดโปงหรือ คิดว่าเขาเฮ่อโหย่วเจี้ยนก็ไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรเช่นกัน!’
ทังหมิงครุ่นคิดในใจ
แต่การกล่าวโทษบ่นว่าไปก็ไร้ประโยชน์ใดๆ อีกทั้งไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจริงๆ
ตนเองเริ่มข้อพิพาทแล้วยุติด้วยตนเอง
เดิมทีต้องการสิ่งนี้เพื่อซื้อความสงบสุขให้ตนเองเป็นเวลาอย่างน้อยสิบปี ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะกลายเป็นมีดแล่เนื้อสัตว์สับแยกชิ้นร่างกายตนเองแทน
“ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ทราบเรื่องนี้มากนักใช่หรือไม่”
ฮั่ววั่งโน้มตัวไปข้างหน้าและเอียงไปทางซ้ายเล็กน้อยถ่ายน้ำหนักไปที่แขนซ้ายยันที่วางแขนเก้าอี้ไว้พลางเอ่ยพูด
หลังจากทังหมิงได้ยินสิ่งนี้พลันตกตะลึง กระทั่งมืดแปดด้านอย่างสิ้นเชิง
เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับฮั่ววั่งและทราบว่าท่านอ๋องกำลังหาทางออกให้ตนเอง
ทว่ามีเจตนาอะไรเล่า
ไม่ผิด
ตอนนี้ฮั่ววั่งไม่ต้องการฆ่าทังหมิง แต่ว่านี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยให้ทังหมิงทำให้รัฐติงรวมเป็นปึกแผ่น ครองแผ่นดินจีนกลายเป็นกษัตริย์แห่งกษัตริย์อย่างที่ต้องการปรารถนาทุกอย่าง
จะฆ่าไก่ไยต้องใช้มีดฆ่าวัว[1]
แต่หากอยากให้วัวตกใจกลัว เช่นนั้นจำเป็นต้องใช้มีดวัวฆ่าไก่
เฮ่อโหย่วเจี้ยน
ตระกูลนี้เกิดและเติบโตในรัฐติงมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
เข้าร่วมทัพตั้งแต่วัยเยาว์ รับใช้ทังหมิงมาโดยตลอด เดิมทีก็ไม่ได้โดดเด่น
เพียงแต่การเดินทางล่าสัตว์ในช่วงสารทฤดูครั้งนั้น เฮ่อโหย่วเจี้ยนที่เพิ่งเข้าร่วมทัพได้ไม่นานยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูค่าย
ใครจะไปคิดว่าเขาจะยืนกรานหัวชนฝาว่าเกินช่วงเวลาแล้ว ภายในค่ายถูกปิด ขวางทังจงซงที่เที่ยวสนุกจนกลับจวนดึกดื่นไว้ด้านนอกประตูค่าย
แม้ว่ายามนั้นเขาจะสั่งการให้ทังจงซงเข้ามาในค่ายด้วยตนเอง แต่หลังจากเกิดเรื่องกลับห้ามเจ้าหน้าที่ทหารที่ต้องการลงโทษเฮ่อโหย่วเจี้ยนไว้
นับจากนั้นเป็นต้นมา เฮ่อโหย่วเจี้ยนขึ้นสู่ตำแหน่งสูงโดยไม่เปลืองแรงจนกระทั่งเข้าครองอำนาจทางการทหาร
ทังหมิงต่างจากทังจงซงตรงที่เชื่อว่าหลักการใช้ผู้คนคือการให้ความสำคัญกับมิตรภาพมาเป็นอันดับแรก
เฮ่อโหย่วเจี้ยนสามารถขวางบุตรชายผู้ควบคุมรัฐได้ในยามดึกดื่น คนทั่วไปเพียงรู้สึกว่าเขาโง่เขลาไม่ฉลาดเอาเสียเลย
แต่ประจวบเหมาะที่ทังหมิงถูกใจลักษณะนิสัยเช่นนี้ของเขาเข้าพอดี นับแต่นั้นจึงใช้ให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ
เฮ่อโหย่วเจี้ยนในตอนนี้ แม้ทังหมิงจะสั่งให้เขาบั่นมารดาบังเกิดเกล้าของตนเอง เกรงว่าเขาจะชักดาบออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ภักดีและกล้าหาญเช่นนี้ ทังหมิงจะสลัดทิ้งไปง่ายๆ ได้อย่างไร
แต่ต่อหน้าท่านอ๋องแล้วไม่มีทางออกอื่นใดนอกเสียจากเสียเรือเพื่อรักษาขุน ยิ่งกว่านั้นราวกับจะเป็นไปตามความปรารถนาของท่านอ๋องเช่นกัน
ทังหมิงคุกเข่าใต้กระโจมและหลับตาลง
เขาหมดสิ้นหนทางจริงๆ…
“ท่านอ๋อง…ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐไม่ทราบจริงๆ กระหม่อมยื่นร้องขอต่อใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐให้จัดสรรเงินทองในนามปลอบขวัญกำลังใจทหาร สำหรับม้าและสตรีนารี…เป็นเพราะกระหม่อมภาคภูมิใจในวาสนาจึงยืนกรานเรียกร้องต่อใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐพ่ะย่ะค่ะ”
ในขณะนี้เอง เฮ่อโหย่วเจี้ยนที่เดิมทีคุกเข่าด้านหลังทังหมิง จู่ๆ ก็เงยหน้ายืดอกกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นแผ่นหลังของเขาจากด้านหลัง
แม้ว่าจะคุกเข่าแต่ความดุดันไม่ต่างจากตอนที่ดูแผนที่ในวันนั้นสักนิด
เฮ่อโหย่วเจี้ยนก็ฉลาดปราดเปรื่องเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะกล่าวโทษว่าเป็นความผิดตนเองทั้งหมด แต่ก็ไม่ยอมรับว่าตนเองสมคบคิดกับศัตรู
การแอบสมคบคิดลับกับศัตรูต่างแดนต่างจากลักษณะการตบรางวัลเมื่อเรื่องจวนตัว ทั้งสองต่างราวฟ้ากับดิน ราวปุยเมฆกับโคลนตม
ฮั่ววั่งไม่ได้คาดหวังว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปถึงเช่นนี้ แต่ตนเองจำต้องดำเนินบทสนทนานี้ต่อไป
“ครั้นกล่าวมาเช่นนี้ เป็นเจ้าที่ตัดสินใจเองหรือ ทว่าเหตุใดข้าจึงได้ยินมาว่าเงินทอง สมบัติ ม้า และสตรีเหล่านี้ล้วนต้องส่งไปให้ราชสำนักฝั่งตรงข้ามเล่า”
ทางเลือกสุดท้าย ฮั่ววั่งจำต้องบังคับเปิดเผยความจริง
หลังจากเฮ่อโหย่วเจี้ยนได้ยินกลับไม่แก้ต่าง แต่ก้มหัวคำนับอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง
อันที่จริงฮั่ววั่งไร้หลักฐาน แต่เนื้อหาในจดหมายฉบับนี้ ตลอดจนสิ่งที่เห็นและได้ยินตลอดทางและความรู้สึกที่ทหารในทัพมอบให้เขา ยิ่งทำให้เขามั่นใจยิ่งนักว่าการรุกรานชายแดนของทหารหมาป่าครั้งนี้ ไม่ใช่วิกฤตการณ์ชายแดนที่เกิดขึ้นกะทันหัน แต่เป็นเป็นสิ่งที่วางแผนไว้เป็นเวลานาน
ผู้ที่สามารถกระทำสิ่งนี้ได้ต้องเป็นทังหมิงอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ฮั่ววั่งเพียงต้องการให้เฮ่อโหย่วเจี้ยนเป็นแพะรับบาป เขียนเสือให้วัวกลัวเท่านั้น สำหรับการบิดเบือนรายละเอียดเหล่านั้น เขาไม่ได้มีเวลาและความตั้งใจล้วงลึกเรื่องนี้
ครั้นเผชิญความสามารถแข็งแกร่งที่แท้จริง วิธีการเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร
ทหารหัวเมืองรัฐติงทั้งหมดรวมกันยังไม่เพียงพอบุกสังหารทัพอีกาดำในคราเดียวเสียด้วยซ้ำ เจ้าทังหมิงเสี่ยงชีวิตร่ายรำเพลงดาบตะขอคมเขี้ยวสามหอรบก็ใช่ว่าจะสามารถต่อกรกับกระบี่เดียวของฮั่ววั่งได้
ยิ่งไปกว่านั้นฮั่ววั่งและหลางอ๋องต่างตระหนักถึงความสำคัญกันและกันดี ในระยะอันใกล้นี้สงครามจะไม่ปะทุขึ้น
ความสมดุลเปราะบางประเภทนี้ ไม่มีผู้ใดอยากทำลายมันก่อน
ดังนั้นฮั่ววั่งเพียงต้องการขจัดความคิดเจ้าเล่ห์เพทุบายเหล่านั้นของทังหมิง ให้เขาปกครองรัฐติงอย่างซื่อสัตย์กว่านี้ ด้วยวิธีนี้ตนเองก็จะสามารถบรรลุความลับแห่งกระบี่ดาราได้อย่างสบายใจ
เพราะเหตุนี้ เฮ่อโหย่วเจี้ยนจำต้องตาย
เพียงแต่ฮั่ววั่งไม่คาดคิดว่าเขาจะออกมารับหน้าและรับโทษด้วยตนเองทั้งหมด สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้ผู้คนยกย่องเพิ่มขึ้นสามส่วน ขณะเดียวกันก็ทำให้ฮั่ววั่งหวาดกลัวและรังเกียจทังหมิงยิ่งขึ้น
ผู้ที่สามารถฝึกผู้ใต้บังคับบัญชาให้เชื่องเช่นนี้ หากมีใจคิดคด การพลิกฟ้าดินก็ไม่ใช่เพียงความคิดเท่านั้นหรือไม่ แม้ว่าตบะวิทยายุทธ์ของทังหมิงด้อยกว่าตนเองมากนัก แต่ความสามารถเอาชนะใจผู้คนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
บำเพ็ญตบะวิทยายุทธ์จนถึงขีดสุด ไม่มีอะไรมากไปกว่ามีศัตรูนับล้านเท่านั้น
แต่ความปรารถนาใจคนในใต้หล้ากลับสามารถสร้างแนวโน้มสถานการณ์ที่ไม่อาจต้านทานได้
ตอนนี้จำเป็นต้องตัดแขนเขาหนึ่งข้างจึงจะเลิกรา
ฮั่ววั่งขอให้หลิวรุ่ยอิ่งรุดหน้ามาจัดการเรื่องนี้พร้อมกัน หนึ่งคือก่อนหน้านี้ตนเองเคยสัญญาไว้ สองคือฉวยโอกาสนี้ใช้เวลากับหลิวรุ่ยอิ่งให้มากขึ้น
เดิมทีเขาสัญญากับหลิวรุ่ยอิ่งว่าหลังสงครามจะตรวจสอบเฮ่อโหย่วเจี้ยนอีกครั้ง ไม่คาดคิดว่าจดหมายฉบับนั้นกลับมาตกอยู่ในมือของตนเองราวกับง่วงนอนแล้วเจอหมอนหนุน
เวลาไม่คอยท่า สวรรค์ประทานโอกาส
“ถ่ายทอดราชโองการอ๋อง: ผู้ว่าการหัวเมืองรัฐติงเฮ่อโหย่วเจี้ยนแอบสบคบคิดกับราชสำนักทุ่งหญ้า ปลุกปั่นขวัญกำลังทหาร สร้างความวุ่นวายแก่ชายแดนของข้า ความผิดไม่อาจให้อภัย ดังนั้นวันนี้ในยามเซิน[2]จะถูกบั่นเศียรต่อหน้าสาธารณชน บั่นแยกชิ้นส่วนศพ สับเนื้อให้แหลก อย่างไรก็ตาม ด้วยความเมตตาของข้าคำนึงถึงความดีความชอบการศึกในอดีต เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลของเขา นอกจากนี้ ทังหมิงผู้ควบคุมรัฐติงจ้างคนไม่ตรวจสอบ เชื่อฟังถ้อยคำใส่ความ ความผิดฐานละเลยหน้าที่ ถูกปรับเงินเดือนหนึ่งปี ถูกโบยด้วยกระบองทหารห้าสิบที”
หลิวรุ่ยอิ่งคัดลอกพระราชโองการที่กล่าวมาข้างต้นไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่คำเดียวตอบกลับหนังสือราชการมอบให้คุกหลวง
ช่วงบ่ายวันนั้น เขาเห็นด้วยตาตนเองว่าผู้ว่าการหัวเมืองเฮ่อโหย่วเจี้ยนผู้ครองอำนาจทางการทหารรัฐติงเกือบสิบปีและสั่งการกองทัพทหารนับหมื่นถูกทัพอีกาดำนำตัวไปหน้าประตูค่ายของตนเอง
ในค่ายมีญาติคนสนิทของเฮ่อโหย่วเจี้ยนไม่น้อย ไม่อาจระงับความเศร้าโศกและความขุ่นเคืองได้ รวมกลุ่มโจมตีปล้นชิงนักโทษลานประหาร แต่ทั้งหมดเสียชีวิตภายใต้ดาบทมิฬของทัพอีกาดำอย่างไร้ทางเลือก
“ช่วยข้าเรื่องหนึ่ง”
“ขอรับ”
“ช่วยข้านำสิ่งนี้มอบให้ใต้เท้าผู้ควบคุมรัฐ”
ก่อนการประหารชีวิตเฮ่อโหย่วเจี้ยนได้ยื่นกระดาษข้อความเล็กๆ ให้หลิวรุ่ยอิ่ง
จากนั้นยิ้มให้เขาพลางกล่าว “ตอนนี้เจ้าก็รายงานผลง่ายขึ้นแล้วกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้อยู่ชมฉากประหารชีวิต
เขาเพียงได้ยินเสียงมีดหลายเล่มในกระโจมสับไม่หยุดตลอดช่วงบ่ายไปจนค่ำ
เนื้อจะละเอียดมากเพียงไหนกัน…
เสียงมีดค่อยๆ เงียบไป หลิวรุ่ยอิ่งมาถึงกระโจมทังหมิง
ครั้นเห็นเขานอนอยู่บนเตียงและมีหมอกำลังทายาให้
กระบองทหารห้าสิบทีของทัพอีกาดำ ไม่ใช่เรื่องที่จะทนกันได้ง่าย
ยิ่งไปกว่านั้น เขาทังหมิงไม่กล้าใช้วิชาปกป้องร่างกาย เนื้อกายสวยงามเช่นนี้เปลือยเปล่าและถูกโบยห้าสิบที
หากกล่าวถึงการลงโทษด้วยกระบองหรือกระดานไม้ หลิวรุ่ยอิ่งคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี
กรมสอบสวนกลางยังมีแม้กระทั่งตำราเรียนคล้ายกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งเล่ม
เขาเคยเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าสหายรับผิดชอบใช้เครื่องมือสอบสวนทรมานนักโทษวางกระดาษไว้บนก้อนอิฐ จากนั้นฝึกใช้กระบองตีซ้ำๆ กระทั่งฟาดกระบอกจนอิฐแตกละเอียดแต่กระดาษยังอยู่ดีจึงจะนับว่าผ่านเกณฑ์
กระบองที่ฝึกในลักษณะนี้จะไม่ทิ้งร่องรอยบนพื้นผิว แต่กระดูกและกล้ามเนื้อจะแตกหักอยู่ภายใน
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นผิวกายทังหมิงปริแตกและเลือดไหลซิบไม่หยุด แต่กล้ามเนื้อและกระดูกกลับไม่ได้รับบาดเจ็บ พักฟื้นระยะหนึ่งก็จะหายดีเหมือนดังปกติ
เมื่อคิดดูแล้วทัพอีกาดำออมมือให้เช่นกัน
อันที่จริงสำหรับสถานะของทังหมิงเช่นนี้ กระบองทหารนี้สะท้อนให้เห็นความเสียหายต่อในหัวใจของเขายิ่งกว่า
ผู้ควบคุมรัฐติงผู้มีเกียรติ ถกกางเกงเปลือยก้นต่อหน้าสาธารณะ เกรงว่าความภาคภูมิใจในตัวเองจะพังทลายลงก่อนที่จะใช้กระบองกระมัง…
หลิวรุ่ยอิ่งส่งกระดาษข้อความของเฮ่อโหย่วเจี้ยนให้เขาแล้วหมุนตัวกลับไปยังกระโจมของตนเอง
“นายกองหลิวคุ้นชินกับค่ายทหารนี้แล้วหรือไม่”
“ทูลท่านอ๋อง ทุกอย่างราบรื่นดี เพียงแต่หลงใหลในสภาพอากาศและประเพณีบริเวณชายแดนรัฐติงพ่ะย่ะค่ะ”
หลิวรุ่ยอิ่งประสานมือคารวะกล่าวตอบ
“ฮ่าๆ…ลางบอกวสันต์คล้อยต้อนรับหิมะปกคลุมทั่วนภา จึงไม่แปลกที่แมลงวันจะหนาวตาย”
ฮั่ววั่งกล่าวจบเดินเฉียดไหล่หลิวรุ่ยอิ่งไป
ทังหมิงสั่งให้หมอออกไปและคลี่กระดาษข้อความ
ครั้นมองปราดเดียวดวงตาพลันแดงรื้น เขาฝืนหยัดกายลุกขึ้นโค้งคำนับสามครั้งไปทางประตูค่าย
ข้อความกระดาษของเฮ่อโหย่วเจี้ยนมีเพียงหนึ่งประโยคเท่านั้น
ชาติหน้าฉันใดฟังเสียงระฆังใบเดียวกัน
……………………………………………………………………
[1] จะฆ่าไก่ไยต้องใช้มีดฆ่าวัว เปรียบเปรยการทุ่มใช้กำลังมากมายเพื่อผลลัพธ์อันน้อยนิด ไม่คุ้มค่ากับที่ได้ลงแรงไป
[2] ยามเซิน ช่วงเวลาประมาณ 15:00-17:00 น