ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 44 เก้าหยวนส่องเวหา-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 44 เก้าหยวนส่องเวหา-1

เมืองจี๋อิง ภายในค่ายทหารแนวหน้า

หลิวรุ่ยอิ่งหลับตาครุ่นคิดนานครึ่งค่อนวัน ไม่รู้ว่าควรจะไขขั้นที่สาม กายใจรวมเป็นหนึ่งของ ‘รุดหน้าอย่างกล้าหาญ’ ได้อย่างไร

อันที่จริงตัวอักษรที่เขาเลือกนี้เป็นจุดศูนย์กลางของมันตราเจ็ดอักษรพอดี และยังเป็นคัมภีร์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวิชาบู๊และบุ๋นนับร้อยปี

ขอเพียงสามารถพิชิตตัวอักษรนี้ได้มากพอ เช่นนั้นหกตัวอักษรที่เหลือยิ่งพิชิตได้อย่างง่ายดาย

เล่ากันว่า ตอนนั้นนักปราชญ์บรรพบุรุษที่สร้างวิชากระบี่นี้ชื่อจางซู่

นับตั้งแต่ยุคนั้นจนถึงตอนนี้ เขาเป็นนักปราชญ์เพียงคนเดียวที่ได้รับการยกย่องทั้งเรื่องบุ๊และบุ๋น

เขาอุทิศตนให้กับการพัฒนาวิชาบู๊และบุ๋น ในใต้หล่านี้หาใครเทียมอีกไม่ได้แล้ว

ดังนั้น จึงมีคำกล่าวว่า ‘จอมยุทธ์ในใต้หล้านับหมื่น ศิษย์ของจางซู่มีเกินครึ่ง’

ไม่ว่าเจ้าจะเคยเรียนกับจางซู่มาจริงๆ หรือไม่ แต่ขอเพียงเป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากทฤษฎีวิชาการต่อสู้เช่นนั้นก็สามารถเรียกตนว่าเป็นลูกศิษย์ของเขาได้ครึ่งหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ ถึงได้มีลูกศิษย์ของเขาอยู่ทุกพื้นที่

ตอนนี้ วิชาสายบู๊และบุ๋นอยู่ในช่วงกีดกันกันเอง

สายบุ๋นเกลียดความหยาบกระด้างของสายบู๊ ยากจะเข้าห้องโถงโอ่อ่า

สาบบู๊เกลียดความเน่าเฟะของสายบุ๋น เหมือนแม่สื่อแต่งหน้าทาปากแดง

สถานการณ์นี้ ดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งจางซู่ปรากฏตัวถึงได้หยุดลง

ว่ากันว่า มารดาของเขาคลอดเขาในคืนหนึ่งขณะที่ตั้งครรภ์ได้เพียงห้าเดือน

เช้าวันนั้นบิดาเขาฝันว่า

บนท้องฟ้าจู่ๆ ก็มีก้อนเมฆลวดลายมงคลปรากฏขึ้น จากนั้นเกิดแสงอรุโณทัยนับหมื่นโยชน์ มีเซียนมากมายยืนอยู่บนเมฆมงคล พวกเขาแต่ละคนกอดกระบี่วิเศษในอ้อมอก สวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้าอ่อน ใช้ด้ายสีทองปักสามตัวอักษร ‘บุ๋นบู๊ศิลป์’

จากนั้นเมฆลายมงคลใกล้เข้ามาเรื่อยๆ รอบๆ มีเสียงอื้ออึงดังขึ้นช้าๆ

เวลานี้ หัวหน้าเซียนคนหนึ่งเดินออกมามองบิดาของจางซู่แล้วยิ้มเล็กน้อย

“ไม่ทราบว่าท่านเซียนเสด็จมา…”

บิดาของจางซู่รีบคุกเข่าคำนับ อยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก

เทพเซียนคนนั้นนำดาบวิเศษใส่ไว้ที่มือซ้าย จากนั้นถือตะกร้าใบหนึ่ง มือขวาประสานมุทราร่ายคาถาเบาๆ เมฆมงคลล้นทะลักออกมาราวน้ำตกสายหนึ่ง กลายเป็นบันไดสวรรค์

เทพเซียนถือตะกร้าอยู่ในมือ เดินลงจากบันไดสวรรค์ กล่าวกับบิดาของจางซู่ “รับบุตรชายคนนี้ไว้ด้วยเถิด”

บิดาของจางซู่รีบรับตะกร้า เห็นเด็กทารกบุรุษเพศตัวอ้วนตุ๊ต๊ะคนหนึ่ง กำลังกะพริบดวงตาดำโตมองเขา

“ท่านเทพเซียนมีอะไรอยากชี้แนะอีกหรือไม่”

บิดาของจางซู่มองทารกในตะกร้า แล้วถามเทพเซียนอีก

“ปล่อยอิสระตามใจชอบ”

เทพเซียนกล่าว

จากนั้นไม่ว่าจะถามอะไรอีก เทพเซียนได้แต่ยิ้มไม่พูด

จากนั้นเสียงเริ่มจางหายไปจากข้างหู เทพเซียนเดินขึ้นบันไดสวรรค์ จากไปพร้อมกับเมฆมงคล

ต่อมาบิดาของจางซู่ก็ตื่น พบว่าตนคุกเข่าอยู่ในสวนกลางบ้าน เขารู้สึกว่าฝันนี้ไม่ธรรมดา จึงรีบเล่ารายละเอียดให้ภรรยาที่กำลังท้องอยู่

คิดไม่ถึงว่า เพิ่งจะพูดเรื่องในความฝันจบ ภรรยาก็คลอดในทันใด

บิดาของจางซู่หน้าซีดตกใจ เพิ่งจะห้าเดือนเอง!

หลังจากหมอตำแยอุ้มเด็กที่เพิ่งคลอดออกมา บิดาของจางซู่ก็รีบคุกเข่าอีกครั้ง คำนับท้องฟ้านอกประตูไม่หยุดทุกคนในบ้านต่างตกใจไม่ทราบสาเหตุ

เด็กคนนี้ หน้าตาเหมือนบุตรชายที่เทพเซียนมอบให้ตนไม่ผิดเพี้ยน!

ตอนที่จัดงานเลี้ยงหนึ่งร้อยวัน บิดาของจางซู่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง ทุกคนต่างมีสีหน้าประหลาดใจ

เนื่องจากวันนั้นได้รับบุตรชายมาจากเทพเซียน ทั้งตัวสวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้าอ่อน ดูเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง จึงตั้งชื่อให้เขาว่าจางซู่

จางซู่โชคดีเกิดในตระกูลที่ร่ำรวย ถึงแม้จะไม่ได้เกิดในตระกูลราชวงศ์ขุนนาง แต่กลับกินอยู่สบาย ด้วยเหตุนี้จึงสามารถใช้ชีวิตได้อิสระตามใจจริงๆ

เขาชอบการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ฝึกหอกและกระบองทุกวัน

บางครั้งมีคนมักถามบ่อยๆ ว่า ‘โตขึ้นอยากจะไปที่ไหน อยากจะทำอะไร’

คนทั่วไปพูดด้วย เขามักจะเยาะเย้ยทำเป็นไม่สนใจ

มีเพียงคำถามนี้ ไม่ว่าจะถามกี่ครั้ง ก็จะวางหอกและกระบองแล้วตอบอย่างละเอียด ‘โลกนี้กว้างใหญ่ ไปได้ทุกที่เหตุใดต้องอยู่ในที่เงียบสงบอย่างเดียว ลูกผู้ชายที่ดีต้องอยู่ได้ทุกที่ แม้ข้าจะไม่ได้เป็นจอมทัพ ต่อให้ไม่ดีอย่างไรก็ต้องเป็นจอมยุทธ์พเนจร!’

วันหนึ่ง จางซู่กลับมาจากนอกเมือง เห็นป้ายประกาศแปะหน้าประตูเมืองเต็มไปหมด

ที่แท้มีโจรกลุ่มหนึ่ง ช่วงนี้ก่อคดีในตัวเมืองบ่อย ทางการกำลังประกาศเสนอเงินรางวัล

จางซู่รู้สึกกระวนกระวาย นี่คือโอกาสที่ตนจะได้เป็นจอมยุทธ์ไม่ใช่หรือ ดังนั้นเขาจึงเดินไปฉีกป้ายประกาศก่อนเพื่อรับเงินรางวัลนี้

เขาไม่ต้องการเงินทอง ขอแคมีชื่อเสียงเลื่องลือไกลก็พอ

คิดไม่ถึงว่า เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าป้ายประกาศขัดขวางเขา ให้เขาเขียนข้อความในกระดาษก่อน มีข้อมูลที่แน่ชัดแล้วถึงจะทำได้

จางซู่มองกระดาษแผ่นนี้ ตัวหนังสือเรียงติดกันทำให้เขาปวดตาเป็นอย่างยิ่ง…นับประสาอะไรกับเขาที่มัวแต่ฆ่าฟันไปวันๆ ตัวหนังสือแค่หนึ่งบรรทัดเขาอ่านไม่ออกเกือบครึ่ง

ด้วยความอายและโกรธ เขาจึงทิ้งพู่กันแล้ววิ่งกลับบ้าน

นับจากวันนั้น ทั้งจวนก็ไม่ได้ยินเสียงหอกกระบองอีกเลย แต่เป็นเสียงท่องหนังสือเสียงดังเข้ามาแทน

“ไม่แปลกใจเลยที่พวกบัณฑิตเน่าเฟะพวกนั้นดูถูกวิชาการต่อสู้อย่างเรา ข้าอยากจะเป็นจอมยุทธ์ผู้เที่ยงธรรม แต่กลับเขียนข้อความในกระดาษไม่เป็น…เช่นนั้นคนอื่นไม่ขำจนฟันร่วงหรอกหรือ”

จางซู่จึงเริ่มร่ำเรียนตำราอย่างหนัก สิบปีผ่านไปอ่านตำรามากมายนับไม่ถ้วน เขาพบว่าวิชาบู๊และบุ๋นในทุกวันนี้มีปัญหาใหญ่มาก

วิชาการต่อสู้ล้วนอาศัยการสืบทอดจากอาจารย์ให้ลูกศิษย์ ส่วนใหญ่จะเป็นการสื่อสารด้วยวาจา แล้วจำด้วยใจอีกทั้งคำพูดของคนก่อนหน้านี้ ไม่มีตำราอ้างอิงให้ค้นหา

ผู้ที่ฝึกวิชาการต่อสู้อาศัยความมุ่งมั่น พุ่งชนแบบไม่คิด ไม่ถามถูกผิด ไม่สนใจผลลัพธ์ เหมือนหากุญแจในห้องมืดและงมเข็มในมหาสมุทร

ด้วยเหตุนี้จึงมีคนโชคดีเพียงสองสามคนที่ได้รับโอกาสและจังหวะก่อน เดินในทางที่ถูกต้อง ส่วนอีกหลายคนที่เหลือ กลับต้องทดลองคลำหาทางซ้ำไปซ้ำมากระทั่งสิ้นชีพ

เพราะฉะนั้นครอบครัวที่มีฐานะดีจะไม่ให้ลูกหลานฝึกวิชาการต่อสู้ มีแต่ครอบครัวยากจนกินข้าวไม่อิ่ม ยอมสละร่างกาย ฝึกวิชาการต่อสู้เพื่อให้ตนได้มีฐานะ

แต่วิชาบุ๋นกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง บัณฑิตในใต้หล้าถูกปลูกฝังแนวคิดของการฝึกวิชาการต่อสู้ว่าเป็นความน่าอับอาย คิดว่าคนเถื่อนเท่านั้นที่จะเรียน อยู่ต่ำกว่าคนอื่นเสมอ แต่การศึกษาวิชาความรู้ถึงจะคงอยู่ตลอดไป เป็นสิ่งที่สืบทอดได้ตลอดชั่วลูกชั่วหลาน

แต่ตำราโบราณของบัณฑิต กลับถูกบัณฑิตเน่าเฟะพวกนั้นใช้เป็นเงื่อนไขผูกมัด ยากที่จะใช้งานได้เต็มที่

แต่ละบทล้วนแต่พูดจาไร้สาระ ไม่มีคำที่น่าตื่นตาเลย

ทุกอย่างเต็มไปด้วยคำพูดโอ้อวดขี้โม้ ไม่มีความรู้ที่ลึกซึ้งแท้จริง

วิชาบู๊และบุ๋นทั้งสองสาย ด้านหนึ่งทำมั่ว อีกด้านหนึ่งพูดมั่ว

ถึงแม้จางซู่จะพบปัญหานี้ แต่กลับไม่มีวิธีแก้ ด้วยความจนใจจึงออกท่องยุทธภพ

พอออกไป ก็สิบห้าปี

สุดท้ายเขาจึงเลือกตั้งรกรากที่รัฐซานเหมิน อาณาจักรผิงหนานอ๋องในปัจจุบัน

ในวันเกิดอายุสี่สิบปีของจางซู่ เขากำลังร่ำสุราสนทนาอย่างสนุกสนานกับสหายในเหลาสุรา

และในตอนนี้เอง เขากลับรู้แจ้งกะทันหัน!

ใช้มือแตะเหล้า ใช้นิ้วต่างพู่กัน แล้วเขียนบนกำแพงของเหลาสุรา

สหายตกตะลึงทันที จากนั้นรีบหาพู่กันมาจดบันทึก กลับพบว่าสองสามบรรทัดก่อนหน้านั้นระเหยไปหมด ไม่เห็นแม้แต่เงา…

สิ่งที่บันทึกไว้ได้มีดังนี้ ‘รู้และเข้าใจ ใช่แค่ฟัง แต่ต้องเข้าใจความหมายแฝงอันลึกซึ้ง ผู้ไม่หยิบจับจนคุ้นชินย่อมไม่อาจรู้ได้ ทำ ก็คือการกระทำ อย่าทำเพียงผิวเผิน แต่ต้องคมในฝัก ผู้ที่ไม่ยึดมั่นจนถึงที่สุดย่อมไม่เรียกว่าทำ แต่กระนั้น ความรู้เป็นเงื่อนไขแรกของการกระทำ ความรู้เป็นดั่งผู้คุมหางเสือของการกระทำ ความรู้เป็นเจตคติของการกระทำ การกระทำชี้ขาดความรู้ การกระทำคือการรู้อย่างแท้จริง การกระทำคือพลังแห่งความรู้ ความรู้และการกระทำส่งเสริมกัน ไม่อาจแยกจากกันได้ มิฉะนั้นจะรู้ไม่หมด ทำไม่สุด รู้ว่าเมื่อไรที่ใดเรื่องไหนควรทำ ต้องทำจริง ทำเมื่อไรที่ใดเรื่องไหนควรรู้ ต้องรู้จริง บู๊บุ๋นสองสายดังความรู้และการกระทำ อย่าคิดเหลวไหล อย่าทำบุ่มบ่าม มิเช่นนั้นกายใจไม่อาจรวมเป็นหนึ่ง’

หลังจากเขียนเสร็จ จางซู่จึงกลับไปนั่งหน้าโต๊ะอีกครั้ง พูดกับสหายว่า “ข้าต้องไปแล้ว”

สหายถามเขาว่า “เจ้าจะไปไหน”

จางซู่ยิ้มพลางส่ายหน้า ไม่ตอบ

“มีอะไรอยากพูดอีกหรือไม่ ข้าจะช่วยบอกคนที่บ้านของเจ้า”

สหายถือพู่กันพลางเอ่ยถาม

“ปัญหาของสองศาสตร์ถูกแก้ไขแล้ว ความรู้และการกระทำรวมเป็นหนึ่งเดียว ใจไม่รู้สึกละอายต่อฟ้าดินแล้ว เหตุใดต้องพูดอีก”

จางซู่พูดจบ ยิ้มเล็กน้อยยืดอกนั่งตัวตรงแล้วเอนหลังไป ทว่าไม่มีลมหายใจแล้ว

สหายน้ำตาตก รีบเรียกคนมาช่วย

แต่คาดไม่ถึงว่าตอนที่สหายกลับมา กลับไม่เห็นศพของจางซู่แล้ว

จากนั้น สหายจึงนำคัมภีร์กายใจรวมเป็นหนึ่งตีพิมพ์แสนฉบับ แล้วแจกจ่ายไปตามทางขณะแจ้งข่าวไปยังบ้านเกิดของเขา

ไม่นานนัก ก็ถูกเล่าขานกันไปทั่วทุกสารทิศ สะเทือนใต้หล้า…

ยามนี้ สายบุ๋นมีวิชาต่อสู้ติดตัว ทหารและจอมยุทธ์ก็สามารถอ่านหนังสือออก

วิชาต่อสู้มากมายนับไม่ถ้วนถูกจัดระเบียบอย่างละเอียดและเรียบร้อย คนรุ่นหลังไม่ต้องใช้ร่างกายเพื่อเสี่ยงภัยคลำหาด้วยตนเอง

เหมือนแสงสว่างในห้องประลอง

มีคัมภีร์กายใจรวมเป็นหนึ่งคอยช่วยเหลือ การฝึกวิชายุทธ์เหมือนถูกจุดสว่างในพริบตา

…………………………

กลับมาที่หลิวรุ่ยอิ่ง เขารู้มาก แต่ทักษะการปฏิบัติยังไม่มากพอ…

แต่ตอนนี้ เขาเตรียมพร้อมกลับหัวเมืองรัฐติงในวันนี้แล้ว

เหตุการณ์หมาป่าอาละวาดบริเวณชายแดนคลี่คลายลงแล้ว รอให้เขากลับถึงที่ว่าการรัฐติงรายงานต่อกองบัญชาการทหาร หากไม่มีเรื่องอื่น หลิวรุ่ยอิ่งก็จะเตรียมตัวกลับเช่นกัน อย่างไรก็ตามผู้แทนการตรวจสอบพิเศษตะวันตกเฉียงเหนือ ก็ไม่ได้อยู่แค่อาณาจักรติ้งซีอ๋องเท่านั้น แต่มีเมืองอื่นของรัฐติงด้วย

หลิวรุ่ยอิ่งเดินออกจากกระโจม พลันมองเห็นเงาหลังของทังจงซง เดินตามบิดาของเขาเข้าไปในกระโจมของฮั่ววั่ง

หลิวรุ่ยอิ่งแอบถอนหายใจ

การเดินทางครั้งนี้ ทังหมิงกลับไม่มีความมั่นใจแต่อย่างใด…ขนาดพาทังจงซงไปด้วย คาดว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไปคงไม่อิสระเหมือนก่อนแล้ว

การนอนพลิกตัวกลับไปกลับมาใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ ลุ่มหลงในสุราและนารีใช่ว่าจะทำได้อย่างเต็มที่

ไม่ว่าอย่างไรภูเขาทอดยาวแม่น้ำกว้างขวาง จะสมหวังทุกเรื่องได้อย่างไร

มนุษย์เราชาตินี้ ใครก็ไม่อาจหลุดพ้นจากความคิดที่ว่า

ก้มศีรษะ ลูกหลานห้อมล้อม

เงยหน้า คนอารีย์ยังอยู่

มองข้างหน้า เส้นทางทอดยาว

มองย้อนกลับ อดีตดุจดั่งควัน

“เฮ้ จะกลับแล้วหรือ”

ทังจงซงเห็นหลิวรุ่ยอิ่งและกลุ่มเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนกำลังเก็บสัมภาระ

“ใช่ จะกลับไปรายงานที่หัวเมืองรัฐติง จากนั้นรอดูว่ามีคำสั่งใหม่หรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งตอบค่อนข้างทื่อ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดกับทังจงซงด้วยอารมณ์เช่นไร

“ฮ่าๆ ดีแล้วๆ…”

ทังจงซงพูดจบแล้วจึงเดินไปข้างหลังกระโจม เหมือนจะถ่ายเบา

“พวกเราค่อยเจอกันที่เมืองหลวง ข้ายังคิดถึงแม่นางหน้าอกโตพวกนั้นอยู่เลย!”

ทังจงซงเอ่ย

หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะ พูดว่าย่อมได้คำเดียว

“ปะทะลมไกลเจ็ดจั้ง ต้านลมสูงสามฉื่อ ใครบ้างไม่ยอมจำนน มีเพียงฉี่ใส่หน้าวีรบุรุษเจ้าเท่านั้น!”

ทังจงซงร้องเพลงพึมพำคนเดียว เสียงดังมาจากด้านหลังกระโจม

วันนี้ จวนผู้ควบคุมรัฐติงแจ้งต่อรัฐติงว่าผู้ว่าการหัวเมืองคนใหม่รับตำแหน่งต่อโดยเจียงเหิงเจียว

วันนี้ วังติ้งซีอ๋องแจ้งต่ออาณาจักรติ้งซีอ๋องว่าติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งรับทังจงซง บุตรชายของทังหมิงผู้ควบคุมรัฐติงเป็นลูกศิษย์

……………………………………………………………………….

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท