ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 46 แอบอู้สบายกี่มากน้อย-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 46 แอบอู้สบายกี่มากน้อย-1

บนทางหลวงเมืองจี๋อิงมุ่งหน้าไปยังหัวเมืองรัฐติง

หลิวรุ่ยอิ่งพาคนของกรมสอบสวนเดินไปเรื่อยๆ

จะว่าไปแล้ว หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งมาที่อาณาจักรติ้งซีอ๋องเพิ่งได้เดินเล่นสบายใจเช่นนี้เป็นครั้งแรก

บนถนนเส้นนี้ หากนับการเดินในครั้งนี้ก็เป็นรอบที่สี่แล้ว

ช่วงเวลาไม่นาน ทุกคนที่ร่วมเดินทางกลับเปลี่ยนสี่รอบแล้ว

เขาตั้งใจออกเดินทางแต่เช้า เพื่อที่จะได้ฆ่าเวลาส่วนใหญ่อยู่บนถนนเส้นนี้

ความหนาวปลายฤดูใบไม้ผลิผ่านไป สายลมอบอุ่นยามนี้ พัดมาปะทะใบหน้าทำให้เคลิบเคลิ้ม

หลิวรุ่ยอิ่งมองไปรอบๆ ดูเหมือนทิวทัศน์ที่ราชสำนักทุ่งหญ้าจะสวยกว่า

ทุ่งหญ้าในตอนนี้ เพิ่งเริ่มมีหิมะ

ต้นหญ้าอ่อนสีเหลืองกระจายไปบริเวณกว้าง

ไม่มีเสียงรบกวนของม้าวิ่ง หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินกระทั่งเสียงสายน้ำไหล นี่คือสัญญาณบอกว่าหิมะกำลังละลาย

อาณาจักรติ้งซีอ๋อง ฝนน้อยแห้งแล้ง น้ำจากหิมะมีค่าดั่งทองคำ

ข้างทางมีดอกไม้ป่าประดับประดา ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง แมกไม้ในป่ากำลังแตกกิ่งก้านสาขา

บนถนนทางหลวงมีผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย ไม่รู้สึกถึงความวุ่นวายของสงคราม ดูท่าการมาถึงของติ้งซีอ๋องและทัพอีกาดำ ทำให้ประชาชนรัฐติ้งซีมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นหลายเท่า

ทว่าต่อให้ทิวทัศน์สวยแค่ไหน มองมากเข้าก็เบื่อ นับประสาอะไรกับหัวหน้าอาคารฉินที่อยู่ข้างกายกำลังพูดกับตนไม่หยุด ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง

เจ้านี่เหมือนรู้ทุกอย่างในรัฐติง ไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่รู้ และไม่มีเรื่องใดที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

ใหญ่ถึงขั้นฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องเคยมีการยกทัพจับศึกหรือกลยุทธ์อะไร เล็กถึงขั้นในหัวเมืองรัฐติงครอบครัวไหนกลัวภรรยา เขารู้ดีทุกอย่าง

ลำพังแค่จุดนี้ เขาจึงผ่านคุณสมบัติของการเป็นหัวหน้าอาคารฉินของกรมสอบสวนจริงๆ

ทว่าตอนที่หลิวรุ่ยอิ่งถามถึงทังจงซง หัวหน้าอาคารฉินกลับอึกอักเล็กน้อย พูดไม่เป็นภาษาเหมือนมีอะไรปิดบัง

ทันใดนั้นทำให้หลิวรุ่ยอิ่งหมดความสนใจ รู้สึกเบื่อ จึงเร่งความเร็วมุ่งไปข้างหน้า

ยามที่พวกเขามาถึงหัวเมืองรัฐติงก็เกือบจะพลบค่ำแล้ว

“หัวหน้าอาคารฉิน หัวเมืองรัฐติงนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนสนุกบ้าง”

หลิวรุ่ยอิ่งถาม

“เอ่อ…ไม่ทราบว่านายกองหลิวถามถึงสถานที่แบบใด”

หัวหน้าอาคารฉินครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วจึงพูดด้วยความมั่นใจ

หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินหัวหน้าอาคารฉินย้อนถามเช่นนี้ จึงรู้ว่าเขาเข้าใจผิดแล้ว…

“อย่างเช่นร้านอาหารอร่อย สถานที่คึกคักอะไรทำนองนี้”

“อ้อใช่ ในหัวเมืองรัฐติงมีโรงเตี๊ยมพูนโชคหรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งถามในทันใด

ไม่รู้ว่าทำไม เขากลับมีความรู้สึกต่อโรงเตี๊ยมพูนโชคแตกต่างออกไปเล็กน้อย

ในหัวเมืองรัฐติง แน่นอนว่ามีโรงเตี๊ยมพูนโชค

หลิวรุ่ยอิ่งสั่งให้ทุกคนในกรมสอบสวนกลับไปที่อาคารกรมสอบสวนก่อน แต่ตนกลับไปเดินเล่นที่โรงเตี๊ยมพูนโชคในหัวเมืองรัฐติง

หัวหน้าอาคารฉินอยากไปเป็นเพื่อน อยากเลี้ยงข้าวหลิวรุ่ยอิ่ง และจะได้สร้างความสนิทสนมกัน

วิธีการเพิ่มมิตรภาพระหว่างผู้ชายด้วยกันนั้นตรงและเรียบง่าย

หากเจ้าดื่มสุรากับข้าหนึ่งจอก เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นคนรู้จักพูดคุยกันได้แล้ว

หากเจ้าคุยกับข้าสนุก ร่ำสุราจนดึก เช่นนั้นก็คือเพื่อนที่ข้ายอมรับ

แต่ถ้าดื่มจนเมาทั้งคู่ ไม่แน่ว่ามิตรภาพนี้อาจลึกซึ้งกว่าสามีภรรยา

ไม่ว่าอย่างไรคนที่นอนเตียงเดียวแต่ฝันต่างกันนั้นมีไม่รู้เท่าไร คนที่สามารถกลายเป็นเพื่อนกันคอยช่วยเหลือกันมีเยอะกว่าคนที่อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า

หลิวรุ่ยอิ่งปฏิเสธน้ำใจของหัวหน้าอาคารฉิน เดินไปยังโรงเตี๊ยมพูนโชคเพียงคนเดียว

ขณะเดินบังเอิญผ่านโรงเรืองขวัญ ผ่านบ้านของตาเฒ่าเยี่ย

โรงเรืองขวัญปิดแล้ว

เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งอยากจะไปเคาะประตูบ้านของตาเฒ่าเยี่ย เข้าไปถามสารทุกข์สุกดิบ

ตนได้บรรลุขั้นบรมภูมิเทียมก็เป็นเพราะฟังคำชี้แนะของเขาทั้งหมด

ทั้งสองคนถึงแม้จะคุยเล่นกัน แต่พวกเขากลับมีความสัมพันธ์แบบลูกศิษย์อาจารย์อยู่แล้ว

แต่เมื่อนึกถึงนิสัยขวางโลกของตาเฒ่าเยี่ย มือที่ยื่นออกไปก็อดไม่ได้ที่จะชักกลับมา

คราวก่อนตอนอยู่โรงเตี๊ยมพูนโชคที่เมืองจี๋อิง ตนยืนอยู่หน้าประตูมองซ้ายแลขวากลับไม่มีผู้ใดถาม คิดไม่ถึงว่า ครั้งนี้เพิ่งมายืนหน้าประตู ก็มีเสี่ยวเอ้อร์วิ่งเข้ามาประจบต้อนรับนอกประตูร้านทันที

เขาก้มมองชุดนายกองกรมสอบสวนที่สวมอยู่บนร่างกายตนเอง แล้วแอบพูดว่าคิดผิด

นับตั้งแต่การฆ่ากันบนถนนในวันนั้น กรมสอบสวนกับติ้งซีอ๋องและทัพอีกาดำได้ร่วมเดินทางไปยังเมืองจี๋อิง

ในช่วงนี้ จึงนับว่าเป็นเรื่องราวที่แพร่กระจายเร็วที่สุด

และนับว่าเป็นการปั้นน้ำเป็นตัว แต่กลับไม่มีผู้ใดสามารถพูดได้เต็มปาก ล้วนเป็นเจ้าพูดหนึ่งประโยค ของข้าอีกครึ่งหนึ่งแล้วเอามาปะติดปะต่อกัน

ก่อนที่ทุกคนจะพูดออกไปต่างใส่ความคิดของตนเข้าไปอีกนิด จากนั้นพอปากขยับก็กลับกลายเป็นเรื่องจริงทันที

ล้วนว่ากันว่าคำพูดคนดุเหมือนเสือ…จริงๆ แล้วเสือไม่น่ากลัว เมื่อเทียบเสือกับคนที่ปากร้ายใจดำแล้ว เสือน่าสงสารยิ่งกว่า

หลิวรุ่ยอิ่งเคยได้ยินคนจำนวนไม่น้อยในกรมสอบสวนเล่าว่าเรื่องเพียงเล็กน้อยสามารถทำลายชื่อเสียงของคนได้จึงใช้ความตายเพื่อปกป้องตนเอง เช่นนั้นแล้วจึงพิสูจน์ได้ว่าการนินทาคร่าชีวิตคนมากกว่าดาบอันแหลมคมเสียอีกใช่หรือไม่

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าแม่ทัพหัวเมืองรัฐติงเปรียบตนเป็นปีศาจได้อย่างไร เพียงรู้สึกว่าหลังจากนั่งลงแล้ว ดูเหมือนเสียงคำนวณลูกคิดของเถ้าแก่เบาลงมาก

“ใต้เท้าอยากสั่งอะไรขอรับ หากท่านเพิ่งมาครั้งแรก ข้าจะได้ช่วยแนะนำ”

เสี่ยวเอ้อร์รินน้ำชาให้หลิวรุ่ยอิ่งพลางถาม

“อ้อ? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเพิ่งมาเป็นครั้งแรก”

หลิวรุ่ยอิ่งประหลาดใจอยู่บ้าง

“ฮ่าๆ…ชุดของท่านข้าคุ้นเคยมาก และท่านกับใต้เท้าผู้นั้น เขา…เขาหน้าตาไม่เหมือนกัน”

เสี่ยวเอ้อร์เกรงใจเล็กน้อย จึงพูดตะกุกตะกัก

‘ดูท่ากรมสอบสวนรัฐติง จะใช้ชีวิตกันสุขสบายมาก…’

หลิวรุ่ยอิ่งพลางคิดในใจ

ครั้งนี้กลับมาที่หัวเมืองรัฐติง เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ทำงานเสร็จแล้ว พลังฝึกตนก็พัฒนาอย่างเต็มที่

ด้วยความอารมณ์ดี เขาจึงโยนเงินไม่กี่อีแปะให้เสี่ยวเอ้อร์จัดอาหารให้เขาหนึ่งโต๊ะ และยังกำชับเป็นพิเศษว่าขอสุราดีหนึ่งไห

เถ้าแก่วิ่งไปด้านหลังหยิบสุราดอกท้อที่หมักนานสิบห้าปีออกมาด้วยตนเอง นี่คือสุราที่ดีที่สุดในหัวเมืองรัฐติง แพงกว่าสุราประเภทอื่นสิบกว่าเท่า

สุราดอกท้อนี้ ใช้วัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน

ถึงแม้อาณาจักรติ้งซีอ๋องจะมีต้นท้อเยอะมาก แต่ดอกท้อกลับออกดอกนานแล้ว

ทว่าดอกท้อที่ใช้หมักสุราดอกท้อนี้จะต้องเป็นดอกท้อที่มีหิมะ

ซึ่งก็คือวันที่หลิวรุ่ยอิ่งกับฮั่ววั่งเดินทางมายังเมืองจี๋อิง มาทันความหนาวช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิพอดี

โดนหิมะไม่ร่วงหล่น ต้องลมหนาวไม่เหี่ยวเฉา

มีเพียงเพียบพร้อมสองเงื่อนไขนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถใช้ทำสุราดอกท้อได้

น้ำที่ใช้หมักต้องเป็นน้ำที่มาจากหิมะตกในครั้งนี้

ถึงจะรับประกันรสชาติที่ดีได้

แต่เรื่องของสภาพอากาศ ใครเล่าจะพูดได้แม่นยำ

สุราดอกท้อจึงเป็นสิ่งล้ำค่าของคนมีเงินและมีอำนาจในรัฐติงที่แห่กันแย่งชิง

สุราที่เถ้าแก่วิ่งไปเอามาด้วยตนเอง ไม่ผสมน้ำแม้แต่หยดเดียว

เถ้าแก่ไม่พูด เพียงตบเปิดจุกด้วยมือข้างเดียว แล้วรินสุราให้หลิวรุ่ยอิ่ง

ลำพังแค่ใช้มือข้างเดียว หลิวรุ่ยอิ่งก็มองออกว่าเถ้าแก่ผู้นี้ไม่ธรรมดา

ทรงพลังแต่ซ่อนเร้น ควบคุมพลังได้ดี อย่าว่าแต่ตบหินให้แตก แต่สามารถตบกระดูกสันหลังคนให้หักได้ด้วยมือเดียวโดยไม่มีปัญหาใดๆ

ในจอกสุราเล็ก ท่ามกลางสุราหอมอ่อนๆ มีดอกท้อหนึ่งดอกลอยอยู่อย่างเงียบๆ

เขามองเข้าไปในไหสุรา ดีจริง ใช้วัตถุดิบเยอะนัก! สุราหนึ่งไหมีกลีบดอกไม้ไปแล้วครึ่งไห

แต่เถ้าแก่ผู้นี้อุ้มไหสุราแล้วรินสุราใส่จอก ไม่ต่างจากลูกค้าคนอื่นๆ ทว่ากลับรินดอกท้อให้เพียงหนึ่งดอก

ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งประเมินเถ้าแก่ผู้นี้สูงขึ้นหลายส่วน

“ข่มขวัญข้างั้นรึ…”

หลิวรุ่ยอิ่งแอบพึมพำ

เขาในตอนนี้ ไม่ต้องตีหน้าเซ่อเหมือนตอนที่อยู่เมืองจี๋อิง แต่สามารถเดาความหมายจากการกระทำและคำพูดของคนอื่นได้อยู่ไม่น้อย

ชุดนายกองกรมสอบสวน ทำให้โรงเตี๊ยมพูนโชคให้ความสำคัญกับตนไม่น้อย

เถ้าแก่นำสุรามา รินสุราให้ด้วยตัวเองก็เพื่อไว้หน้าตนเอง และการเปิดผนึกดินด้วยมือข้างเดียว รินดอกไม้หนึ่งดอกลงในจอก กลับเป็นการเตือนตนในทางอ้อมถึงแม้จะเป็นคนของกรมสอบสวนอย่าคิดก่อเรื่องในโรงเตี๊ยมพูนโชคเท่านั้น

หลิวรุ่ยอิ่งไม่คิดอะไรมาก วันนี้เขามาที่นี่เพียงแค่อยากผ่อนคลาย นานๆ ทีจะได้พักผ่อนและว่างงานกับเขาบ้าง จึงไม่สนใจแต่อย่างใด เพียงรู้สึกว่าโรงเตี๊ยมพูนโชคแห่งนี้น่าสนใจขึ้นมาแล้ว

เสี่ยวเอ้อร์จัดอาหารมาให้เขาไม่ธรรมดาจริงๆ แต่มีอย่างหนึ่ง…

เป็นไก่ตัวหนึ่ง เนื้อและไขมันกำลังดี ถอนขนสะอาดเรียบร้อย

เนื้อแน่น เนียนนุ่มและชุ่มฉ่ำเหมือนหยกขาวทั้งตัว

อุปกรณ์มีดพร้อม แต่ละชิ้นจัดเรียงอยู่ในจาน ดูมีชีวิตชีวามาก

อาหารชนิดนี้ต้องใช้เวลาในการทำนานเป็นพิเศษ

ต้มนึ่งดีกว่าผัด ไม่มีแม้แต่กลิ่นเหม็นคาว

พ่อครัวกลัวว่าจากทางเดินด้านหลังไปถึงหน้าโต๊ะ กลิ่นหอมกระจายจะทำให้เสียรสชาติ จึงย้ายเตาออกมาตัวหนึ่ง และทำน้ำจิ้มรสเด็ดไว้ข้างโต๊ะ

จากนั้นสะบัดข้อมือ เสียงดัง ‘ฉ่า’ บนเนื้อไก่ที่หั่นเรียบร้อยแล้ว

เนื้อขาวๆ ผสมกับน้ำมันพริก หนังไก่สีเหลืองอ่อนตกแต่งด้วยต้นหอมเล็กน้อย

สุดท้าย ดับเตา เก็บกระทะ แล้วหยิบแผ่นไม้สี่เหลี่ยมออกมาอันหนึ่ง เสียงสับกระเทียมดัง ‘ฉับๆๆ’ ครึ่งชาม เหยาะซีอิ๊วสองสามหยด ผสมน้ำส้มสายชูเล็กน้อย

ตอนที่เสี่ยวเอ้อร์นำน้ำจิ้มมาวางบนโต๊ะ พ่อครัวพยักหน้าให้หลิวรุ่ยอิ่งเล็กน้อย จากนั้นรีบวิ่งกลับไปด้านหลัง

หลิวรุ่ยอิ่งคีบเนื้อไก่ขึ้นมาหนึ่งชิ้น จงใจเลือกที่อยู่ก้นจาน เพราะอยากได้น้ำปรุงรสฉ่ำๆ ของมัน

หลิวรุ่ยอิ่งเดิมไม่ชอบกินกระเทียม แต่เห็นชามเล็กสวยงามที่วางอยู่บนโต๊ะ นึกถึงฝีมือการหั่นของพ่อครัวจึงรู้สึกว่าถ้าไม่กินน้ำจิ้มสักเล็กน้อยจะรู้สึกผิดต่อเขา

ชั่วเวลาเดียว ตะเกียบคีบเนื้อไก่อยู่นาน

โดยไม่รู้ตัว น้ำมันพริกหยดหนึ่งไหลไปตามตะเกียบจนมาถึงข้อมือของตนเอง

ได้ยินคนที่อยู่ข้างๆ หัวเราะ ‘พรืด’

เหมือนกลั้นขำมานานแล้ว เวลานี้ไม่อาจกลั้นมันได้อีก

“คุณหนู ท่านดูเจ้าโง่คนนั้น…ใช้ตะเกียบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งแล้วจ้องมอง หรือว่าต้องพูดขอโทษไก่ตัวนี้หรือ”

เสียงนี้เป็นเสียงของเกาลัดคั่วน้ำตาลอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่รู้ว่าเมื่อไร นางกับคุณหนูเจ้าหมิงหมิงก็มากินข้าวในห้องโถง

เดิมทีเจ้าหมิงหมิงบาดเจ็บเล็กน้อยเพราะผู้ตัดสัมพันธ์จึงไม่อยากลงมาข้างล่าง แต่เพราะกฎที่เคร่งครัดของโรงเตี๊ยมพูนโชค ห้ามนำอาหารขึ้นไปกินข้างบนจึงต้องจำใจลงมา

ตอนที่เกาลัดคั่วน้ำตาลโกรธกำลังจะหาเรื่องเถ้าแก่ เจ้าหมิงหมิงกลับเดินลงมาข้างล่างด้วยตัวเอง

นางไม่อยากให้ผู้ใดต้องลำบากใจเพราะตน

เกาลัดคั่วน้ำตาลเห็นคุณหนูลากสังขารที่บาดเจ็บลงมากินข้าว เบะปากใส่ชายชราด้วยความโกรธ…กระทั่งโยนเกาลัดคั่วน้ำตาลเม็ดหนึ่งที่จะกินในมือไปบนโต๊ะคิดเงิน

แต่เถ้าแก่กลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด ไม่อธิบายและไม่กล่าวโทษ

เพียงใช้ผ้าขนหนูสีขาวราวหิมะผืนหนึ่ง เช็ดเกาลัดที่เละบนโต๊ะให้สะอาด

“อย่าเสียมารยาท!”

เจ้าหมิงหมิงตำหนิ

หลิวรุ่ยอิ่งหันไปมองตามเสียงหัวเราะ

ข้างๆ เกาลัดคั่วน้ำตาลคือแม่นางที่ตนเจอที่จวนผู้ควบคุมรัฐติงไม่ใช่หรือ

ที่แม่นางก็ยังไม่กลับ!

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร สองสามวันนี้กลับคิดถึงนางขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

ถึงแม้ครั้งนั้นจะเจอหน้ากันอย่างเร่งรีบ ทว่าตนกลับจำได้อย่างลึกซึ้ง

เมื่อเห็นน้ำมันพริกไหลมาถึงข้อมือของตนเอง หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกเก้อเขินขึ้นมา

บุรุษทุกคนล้วนอยากแสดงตนบางอย่าง แสดงด้านหล่อและแข็งแกร่งของตนออกมา

ต่อหน้าหญิงงามด้วยแล้วมักเป็นเช่นนี้

แต่ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีอะไรให้แสดงได้จริงๆ

หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าคิดอย่างไร เขากลืนเนื้อไก่ชิ้นนั้นลงไป ไม่สนใจแม้แต่จะเคี้ยว แล้วกลืนกระดูกลงไปทั้งอย่างนั้น

ฉากนี้ กลับทำให้เจ้าหมิงหมิงกลั้นขำไม่อยู่ จึงหันหน้าไปแอบหัวเราะอีกทาง

“นี่! ท่านไม่สำลักหรือ”

เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม

หลิวรุ่ยอิ่งสำลักจริงๆ…ถึงขนาดพูดไม่ออก

แต่เขาไม่อยากอ้าปากคายออกมา…จะดูหยาบคายเกินไป ทำให้หญิงงามตกใจ

เขาจึงหยิบจอกสุราบนโต๊ะขึ้นมา ดื่มรวดเดียว พยายามกลืนเนื้อไก่ลงไป

ผลปรากฏว่ากลืนเนื้อลงไปแล้ว…ทว่าในท้องกลับเหมือนถูกตีกลองรัว เผ็ดร้อนดั่งกองไฟ เดือดพล่านไล่ขึ้นมาข้างบน

สักพักหนึ่ง ใบหน้าของเขาเริ่มแดง

“เมื่อครู่…ทำให้แม่นางต้องขำแล้ว”

ถึงแม้หลิวรุ่ยอิ่งจะตอบคำถามของเกาลัดคั่วน้ำตาล แต่ดวงตากลับจ้องมองเจ้าหมิงหมิงไม่กะพริบ

“นี่ ท่านทำงานอะไร ลายปักบนเสื้อใหญ่มาก ล้าสมัย…”

เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว

ยังไม่ทันพูดครึ่งประโยคหลังจบ นางกลับโดนเจ้าหมิงหมิงถลึงตาใส่

“ตามใจเด็กคนนี้จนชิน ต้องขอโทษคุณชายด้วยเจ้าค่ะ”

อันที่จริงเจ้าหมิงหมิงไม่รู้ว่าควรจะเรียกขานหลิวรุ่ยอิ่งเช่นไร ไม่ว่าอย่างไรนางก็เพิ่งลงจากภูเขาเป็นครั้งแรก

ถึงแม้ตอนที่อยู่บนเขาเรียงรัน มีอาจารย์สอนพวกเขาถึงความเยอะของมนุษย์โดยเฉพาะ

แต่เรื่องมนุษย์สัมพันธ์จะให้อธิบายเข้าใจเหมือนในตำราสองสามบรรทัดได้อย่างไร

ทันใดนั้นก็ไร้ซึ่งคำพูด คิดอยู่ในหัวนานครึ่งค่อนวัน แต่กลับนึกออกคำว่าคุณชายออกเพียงคำเดียว…

เมื่อฟังคำนี้ ประหนึ่งเสียงนางฟ้า อดไม่ได้ที่จะเคลิบเคลิ้มหลงใหล

“ไม่เป็นไรๆ…”

หลิวรุ่ยอิ่งรีบโบกมือพูด

เจ้าหมิงหมิงรู้สึกว่าบทสนทนานี้สั้นเกินไป แต่ในใจกลับไม่เจอหัวข้อสนทนาใดๆ ทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

……………………………………………………………………….

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท