บทที่ 47 แอบอู้สบายกี่มากน้อย-2
“คนกินไก่ ท่านชื่ออะไร!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลไม่เสียแรงที่เป็นคนไม่คิดอะไร ตั้งฉายาให้หลิวรุ่ยอิ่งไวยิ่งนัก
“ข้าชื่อหลิวรุ่ยอิ่ง”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเรียกเช่นนี้ดูหยาบกระด้างเกินไป…แต่ก็เข้าใจความเขินอายของเจ้าหมิงหมิง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ตัดบทพูดของเกาลัดคั่วน้ำตาล ปล่อยให้นางพูดไป
“ท่านก็พักที่โรงเตี๊ยมนี้หรือ ข้าขึ้นลงทุกวัน เข้าออกหลายครั้ง เหตุใดไม่เคยเห็นท่านเลย”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถามต่อ
“ข้าไม่ได้พักที่นี่”
“ไม่พักที่นี่แล้วท่านมาที่โรงเตี๊ยมทำอะไร! หรือว่าจะมาขโมยของ!”
หลิวรุ่ยอิ่งตกใจคำพูดของเกาลัดคั่วน้ำตาลไม่น้อย ขณะเดียวกันเขานับถือความคิดของนางเป็นอย่างยิ่ง
“ทำไม ข้าพูดผิดหรือ หมาป่าตัวหนึ่งถ้าไม่อยากกินกระต่าย เช่นนั้นมันจะเข้ามาเดินเล่นในรังกระต่ายทำไม หรือว่าอยากจะมาพูดกับกระต่ายว่าไม่เจอกันนานเช่นนั้นรึ”
หลิวรุ่ยอิ่งอยากจะโต้กลับ หลังจากฟังประโยคนี้แล้วจึงเงียบไป…
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องนี้หากอยู่ในหมู่ปีศาจของภูเขาเก้ายอด มันก็มีเหตุผลจริงๆ
โลกมนุษย์ไม่ต่างจากภูเขาเก้ายอด อย่ามองตนเองสูงส่งเกินไป
เมื่อเทียบกันแล้ว ภูเขาเก้ายอดถึงแม้จะโบราณอยู่บ้าง แต่ความโบราณนี้กลับเป็นตัวแทนของแก่นแท้พอดี
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ฐานะของนายและบ่าวสองคนนี้ แค่มองเป็นสาวน้อยที่มีความคิดประหลาดคนหนึ่งเท่านั้น
“ข้ามากินข้าวดื่มสุรา”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ถือว่าเป็นเรื่องแปลกเรื่องหนึ่ง…”
“อย่าพูดมั่วซั่ว!”
ในที่สุดเจ้าหมิงหมิงก็พูดห้ามอีกครั้ง…นางไม่รู้ว่าหากปล่อยต่อไป เด็กคนนี้จะพูดจาอะไรที่ทำให้คนตกใจอีก
“ฮ่าๆ แม่นางผู้นี้ไม่ต้องตื่นเต้น แต่สาวใช้ของท่านเป็นคนจริงใจและตลกยิ่งนัก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาอยากจะคุยกับเกาลัดคั่วน้ำตาลอีกสองสามประโยค ด้วยเหตุนี้จะทำให้เจ้าหมิงหมิงประทับใจในตนเองมากขึ้นไม่ใช่หรือ
ด้วยโอกาสประจวบเหมาะ หลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่อยากเสียเวลา
ถึงแม้ได้ถามแค่ชื่อว่าเป็นใคร มาจากไหนก็ดีแล้ว
“น้องสาว กินข้าวดื่มสุราเป็นเรื่องปกติ ไม่ทราบว่าแปลกตรงไหน”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นการกระทำและคำพูดของเกาลัดคั่วน้ำตาลเหมือนเด็ก รูปร่างเล็กน่ารัก จึงเรียกนางแบบนั้นทันที
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่า เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับมีอายุมากกว่าเขาอีกเท่าตัว
“กินข้าวไม่เป็นไร ไม่ว่าใครก็ต้องกิน…ท่านเห็นมดริมทางหรือไม่ก็ยังต้องหาน้ำผึ้งไม่ใช่หรือ แต่เหล้านี้ ไม่ใช่สิ่งของจำเป็น หรือเรื่องสำคัญแต่อย่างใด…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับไม่สนใจคำเรียกขานของหลิวรุ่ยอิ่งที่เรียกนาง
“นั่นคือสุราใช่หรือไม่”
เกาลัดคั่วน้ำตาลชี้สุราดอกท้อที่อยู่บนโต๊ะของหลิวรุ่ยอิ่งแล้วถาม
สายตาของเจ้าหมิงหมิงมองตาม พร้อมด้วยใบหน้ามีความหวังเช่นกัน
“ใช่แล้ว พวกเจ้า…ไม่เคยดื่มมาก่อน”
“ไม่…ก่อนออกจากเรือนผู้ใหญ่ในเรือนไม่ให้ดื่ม หลังจากออกเรือนแล้วไม่รู้ว่าดื่มอย่างไร”
เกาลัดคั่วน้ำตาลส่ายหน้า เบะปากพูด
“ท่านเป็นชาวยุทธ์ใช่หรือไม่”
เกาลัดคั่วน้ำตาลขยับตัวเข้าหาทันที ถามเสียงเบาว่า
“หืม เจ้าพูดว่ากระไร”
“ไอหยา เช่นนั้นก็คือชาวยุทธ์แบบนั้น! รบราฆ่าฟัน ไร้บ้านเป็นหลักแหล่ง ทำแต่เรื่องชั่ว! ได้ยินว่าชาวยุทธ์ชอบดื่มสุรายิ่งนัก…”
หลิวรุ่ยอิ่งมองเจ้าหมิงหมิง พบว่าแม่นางผู้นี้เหมือนกำลังรอคำตอบของตน
ไม่รู้ว่าตัวตลกสองคนนี้โผล่มาจากไหน
ต่อให้เป็นลูกคุณหนูบ้านหลังโตไม่ค่อยออกจากเรือน ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เมื่อได้ยินนางถามเช่นนี้ หลิวรุ่ยอิ่งจึงให้ความสนใจ บอกว่าตนเป็นชาวยุทธ์
“โอ้! เช่นนั้นท่านฆ่าคนกี่คนแล้ว!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
หลิวรุ่ยอิ่งอยากแกล้งนางให้ตกใจ จึงพูดไปเรื่อยเปื่อยว่าหนึ่งร้อยคน
“โอ้…”
คิดไม่ถึงว่าจำนวนเช่นนี้กลับทำให้เกาลัดคั่วน้ำตาลไร้ความรู้สึกใดๆ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่า ก่อนที่เกาลัดคั่วน้ำตาลจะกลายร่าง สิ่งมีชีวิตหนึ่งร้อยตัวเป็นแค่อาหารไม่ถึงหนึ่งเดือนของนางเท่านั้น เช่นนั้นแล้วจะทำไห้นางตกใจได้อย่างไร
“อยากดื่มสุราหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม ขณะเดียวกันก็มองไปที่เจ้าหมิงหมิง
ใช้สุรากระชับความสัมพันธ์ เป็นวิธีเก่าที่ใช้เป็นประจำ
เพราะมันใช้ได้ดี เป็นวิธีที่ดีดังนั้นคนจึงใช้เยอะ คนใช้เยอะจึงกลายเป็นวิธีการแบบเก่า
อย่าว่าแต่เจ้าหมิงหมิงกับเกาลัดคั่วน้ำตาลที่ไม่รู้เรื่อง แม้แต่แม่นางในโลกมนุษย์ที่รู้เรื่องเหล่านั้นจะทำอย่างไรได้
หลิวรุ่ยอิ่งถึงแม้จะไม่ใช่คนดื่มจัด แต่หลังจากที่ได้ร่ำสุรากับทังจงซง เขาพบว่าบรรยากาศและความสนุกเพิ่มขึ้นมากทีเดียว มีแต่สุราเท่านั้นที่จะสร้างบรรยากาศได้
สุราดอกท้อที่วางอยู่บนโต๊ะ
กับหญิงงามที่นั่งอยู่ตรงหน้า
สุราดีกับหญิงงาม ไม่ใช่ข้อสอบปรนัย แต่เป็นวิธีการบวกเพิ่ม เป็นวิธีการบวกเพิ่มที่ผู้ชายทำเป็นทุกคน
วิธีบวกเพิ่มไม่ได้พิถีพิถันเรื่องลำดับก่อนหลัง สุราดีกับหญิงงามก็เช่นกัน
ทว่าหลายคนมักจะวางสุราดีได้ด้านหน้า เพราะสุราดีสามารถทำให้คนงามยิ่งงาม หากจะพูดว่าก่อนหน้านั้นมีตำหนิอยู่บ้าง แต่เมื่อประดับด้วยสุราดีเช่นนั้นจึงเหลือแต่ความเย้ายวน
สุราคือบุปผาในคันฉ่อง พระจันทร์ในวารี[1]
เมื่อดื่มเข้าท้อง รู้สึกอบอุ่นหัวใจในพริบตา เริ่มมึนเมา
มันคือความฝันเดียวที่คนเราสามารถควบคุมได้ เป็นป้อมปราการสุดท้าย
เป็นยาวิเศษชนิดหนึ่ง สามารถรักษาโรคที่หมอที่ดีที่สุดมองข้าม
หลิวรุ่ยอิ่งจำได้ว่าที่กรมสอบสวนเคยมีผู้อาวุโสคนหนึ่งเคยบอกกับตนว่า ดื่มสุราเป็นวิชาความรู้อย่างหนึ่ง การใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในความในหรือความมึนเมาคือพลังอย่างหนึ่ง
ทุกคนสามารถแต่งเรื่องจินตนาการที่งดงามและก้าวไปข้างหน้าให้ตนเองได้ แต่อาจจะมีวันหนึ่งเจ้าจะพบว่ามันคือภาพลวงตา…ถึงแม้เจ้ารู้สึกถึงหยดเลือดสุดท้ายก็ไม่อาจเป็นจริงได้ ยามนี้สุราจึงเป็นตัวช่วยเสริมให้เจ้าผ่านมาได้ เนื้อตัวล้วนเต็มไปด้วยบาดแผล
มันคือเวลาที่ผ่านอดีตมาทีละนิด
จากปลายลิ้นสู่โคนลิ้น จากลำคอถึงกระเพาะ
รอยเหี่ยวย่นของเจ้าเรียบหาย ทุเลาความเจ็บปวดของเจ้า ลืมความปรารถนาของเจ้า ลดความผิดหวังของเจ้า
บนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดทำได้เช่นนี้
“ดื่มอย่างไร ข้าดื่มไม่เป็น…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดอย่างกลัวๆ
หลิวรุ่ยอิ่งรินสุราให้ตนเองเต็มจอก
เขาอยากเลียนแบบเจ้าของร้าน ใช้พลังควบคุมดอกท้อในไหเพื่อให้พวกมันออกมาเพียงหนึ่งดอก จะได้แสดงฝีมือต่อหน้าเจ้าหมิงหมิง
คิดไม่ถึงว่ากลับไม่ง่ายเหมือนที่เห็น
ทว่าต่อหน้าหญิงงามจะเสียหน้าได้อย่างไร
ดอกท้อหนึ่งดอกลอยอยู่ในจอกสุรา เขาทำสำเร็จในท้ายที่สุด
“ดื่มสุรายังต้องให้คนสอนหรือ ดื่มน้ำอย่างไรก็ดื่มสุราอย่างนั้น ดื่มน้ำเป็นก็ดื่มสุราเป็น!”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด พลางเงยหน้าดื่มหมดจอก
ดูเหมือนจะดื่มเก่ง แต่แท้จริงแล้วตนเองดื่มเหล้าไม่เคยเกินครึ่งฝ่ามือ…
“ลองหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งชี้ไปที่ไหสุราแล้วถาม
เกาลัดคั่วน้ำตาลเริ่มหวั่นไหวเล็กน้อย มองไปที่เจ้าหมิงหมิงเพื่อขออนุญาต
หลังจากเจ้าหมิงหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า
ไม่ว่าอย่างไรก็อยู่ในโรงเตี๊ยมพูนโชค ไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไร และนางถึงแม้จะไม่รู้จักชุดข้าราชการของหลิวรุ่ยอิ่ง แต่อาศัยแค่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ก็ยากที่ใครจะปฏิเสธเขา นับประสาอะไรกับกฎที่เคร่งครัดในเขาเรียงรัน และเจ้าหมิงหมิงที่ลงมาจากภูเขาในครั้งนี้ก็อยากลองดูสักครั้งจริงๆ…
เจ้าหมิงหมิงยกจอกสุราขึ้นมา มองดอกท้อที่ลอยอยู่ตรงกลาง เหม่อลอยเล็กน้อย
“คุณหนูเหตุใดท่านถึงดื่มไม่หมดเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลชูจอกสุราเปล่ากลางอากาศแล้วส่ายไปมาต่อหน้าเจ้าหมิงหมิง
เจ้าหมิงหมิงแลบลิ้นออกมาก่อน แล้วเลียแผล็บๆ พบว่าไม่มีรสชาติใดๆ จากนั้นจึงดื่มจนหมด
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นแม่นางสองคนนี้บอกว่าเพิ่งเมาสุราเป็นครั้งแรก ดื่มหนึ่งจอกลงไปกลับสีหน้านิ่งเหมือนเดิม เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่ง
แท้จริงแล้วตัวของเจ้าหมิงหมิงกับเกาลัดคั่วน้ำตาลก็ไม่รู้ว่าเหล้าดีกรีแรงของมนุษย์ สำหรับอสูรอย่างพวกนางแล้วกลับจืดอย่างมาก นอกจากจะเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าแล้วกลับไม่เมาเลยด้วยซ้ำ
ดื่มไปดื่มมา บนโต๊ะมีไหสุราเปล่าสี่ห้าไห ครึ่งหนึ่งในนั้นคือเจ้าหมิงหมิงกับเกาลัดคั่วน้ำตาลที่เป็นคนดื่ม
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกมึนเล็กน้อย และสิ่งที่เขาอยากจะถามกลับพูดไม่ออก รู้สึกร้อนใจอย่างช่วยไม่ได้ ใครจะรู้ว่า พอร้อนใจ กลับยิ่งเร่งให้ดื่มหนักขึ้น…
“โรงเตี๊ยมพูนโชคที่นี่เงียบเสียจริง…”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดพึมพำกับตนเอง
“ไม่ทราบว่าคุณชายพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
นี่คือเจ้าหมิงหมิงพูดประโยคแรกกับหลิวรุ่ยอิ่งในคืนนี้
และเป็นประโยคแรกที่นางพูดกับหลิวรุ่ยอิ่งครั้งแรกในชีวิต
“เมืองจี๋อิงก็มีโรงเตี๊ยมพูนโชคเหมือนกัน แต่ที่นั่นกลับคึกคักกว่าที่นี่…ลูกค้าดื่มสุราก็ใจป้ำ มีการร้องงิ้วทุกคืน”
หลิวรุ่ยอิ่งย้อนความทรงจำ
“อย่างนั้นท่านร้องสักท่อนหนึ่งได้หรือไม่”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งก็เริ่มเมา ตอบลงตกทันที
แต่ในหัวของเขาจำท่อนร้องไม่ค่อยได้จริงๆ…พอคิดไปคิดมามีเพียงสุราบงกชท่อนหนึ่งที่พอจำได้ เนื้อร้องก็เหมาะสมกับบรรยากาศพอดี
หลิวรุ่ยอิ่งวางจอกเหล้า เริ่มร้อง
เดิมเสี่ยวเซิงไม่คิดจะขายศักดิ์ศรี
คนแปลกหน้าในต่างเมืองเพิ่งเคยเจอครั้งเดียว
เหตุใดชายชุดขาวถึงนำสุราบงกชมาให้
ดื่มไม่ครบสามพันจอกจะไม่หยุด
คิดคำไพเราะเสนาะหูจนท่องขึ้นใจ
เหตุใดเมื่อพบแม่นางท่านกลับพูดไม่ออก
เกรงกลัวโอกาสหลุดลอยอีกครั้ง
แม้ไม่ได้เลื่องชื่อลือเลื่อง
ทว่าพรสวรรค์เหลือล้น
ดั่งเฉากั๋วจิ้วแลกปิ่นทองเพื่อเมาสุรา
ดื่มด่ำกลางฉากรัก
แม่นางท่านอย่าได้รำคาญที่ข้าพร่ำไม่หยุด
มาพินิจเรื่องเลวร้ายกับท่านดีกว่า
ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเศรษฐีจะพาลโกรธใช้อำนาจบาตรใหญ่
ใต้หลังคาเรือนได้แต่อดกลั้นความอัปยศอดสู
………………………….
ภายในจวนผู้ควบคุมรัฐ รัฐติง
ทังจงซงกลับมาแล้ว
ฮั่ววั่งให้เวลาเขาเก็บของหนึ่งวัน จากนั้นเดินทางไปยังวังติ้งซีอ๋องเพื่อไปหาเขา
คนที่สายตาเฉียบแหลมล้วนดูออก นี่ไม่ใช่การรับเป็นศิษย์แต่อย่างใด
แค่อยากจับทังจงซงไว้ข้างกาย ต่อไปในภายภาคหน้าไม่ว่าจะทำอะไรจะได้คิดพิจารณาเยอะกว่านี้
วิธีการกักตัวประกัน เป็นวิธีการเก่ามากเช่นกัน
และทังจงซงกลับไม่ได้เก็บสิ่งใด แต่เขียนจดหมายในห้องไม่หยุดตลอดช่วงเช้า…
มีบางเรื่อง เขาต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนจากไป
ตอนบ่าย เขาอาศัยเวลาว่างยามที่เผียวเจิ้งหงส่งจดหมายออกไปทีละฉบับ มาที่ห้องของบิดาและมารดาของเขา
ทังจงซงยืนเงียบ ไม่พูดสักคำ ทังหมิงก็ยืนมองเขาเงียบๆ ไม่พูดสักคำ
ทังหมิงรู้ดี บุตรชายของตนเปลี่ยนจากลูกเจี๊ยบกลายเป็นหงส์แล้ว และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เกิดมาดวงไม่ดี…ตนก็ไม่มีอะไรจะพูด ทุกอย่างคิดว่าซงเอ๋อร์ก็รู้อยู่แก่ใจ
โจวอวิ๋นอวิ่นไม่ร้องไห้อย่างน่าแปลกใจ…แม้แต่น้ำตาก็ไม่มีสักหยด ซึ่งเหนือความคาดหมาย
เพียงแต่ยื่นจี้หยกให้ชิ้นหนึ่ง
“ตาเฒ่าเยี่ยส่งกลับมา ลืมให้เจ้ามาตลอด หลังจากวันนั้นเป็นต้นไปจงห้อยติดตัวไว้ เจ้าไม่เคยห่างบ้านไปไกลตั้งแต่เด็ก”
ทังจงซงหลังจากรับจี้หยกจากมารดาแล้ว ก็รีบคล้องคอทันที
“คุณชาย!”
เสียงของเผียวเจิ้งหงดังขึ้น ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว
“ส่งครบแล้วใช่หรือไม่”
ทังจงซงขมวดคิ้วถาม
“ส่งครบแล้วขอรับ”
เผียวเจิ้งหงตอบ
“ไปเลือกแมลงที่เจ้านำกลับมาเอาสองตัวที่แข็งแรงที่สุด ร้องเสียงดังที่สุด ใช้เชือกมัดแล้วแขวนบนรถ เดินทางตอนกลางคืนช่างเงียบเหลือเกิน ทรมาน!”
ทังจงซงพูดประโยคนี้อย่างมีพลัง เสียงดังสะท้อนไปทั่วจวนผู้ควบคุมรัฐ จงใจให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน
……………………………………………………………………….
[1] บุปผาในคันฉ่อง พระจันทร์ในวารี อุปมา สิ่งสวยงามจับต้องไม่ได้ ภาพลวงตา