บทที่ 50 พู่กันดั่งมีด วาจาบาดลึก-3
ลูกธนูที่ยิงหลิวรุ่ยอิ่ง ต่างจากลูกธนูปกติทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง…
มันมีเพียงตัวธนูอย่างเดียว ไม่มีขนนกทำเป็นปีก
หัวธนูมีขนาด ความหนาบางและความมันวาวพอๆ กับตัวธนู ไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร
เมื่อครู่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นแสงดาราสะท้อนกลับ ที่แท้ก็มีต้นกำเนิดจากสิ่งนี้
ลูกธนูที่ไร้ปีก เหมือนดั่งสัตว์ที่ไร้หาง สูญเสียการทรงตัว
การยิงระยะไกลต้องได้รับผลกระทบแน่นอน แต่การยิงทะลุและความเร็วระยะใกล้กลับส่งเสริมได้มากขึ้น
ธนูดอกนี้ ถึงแม้จะแทงทะลุต้นขาของหลิวรุ่ยอิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้ทำร้ายเขาร้ายแรงนัก เพราะธนูดอกนี้เรียบมาก ไม่มีเงี่ยงใดๆ และไม่มีพิษ แค่เลือดไหลเท่านั้น ยังห่างจากขั้นให้เขายอมจับโดยจำนนอีกไกลนัก
หลิวรุ่ยอิ่งกัดฟันดึงลูกธนูออกจากขา บาดแผลเปิด เลือดไหลพลั่กๆ แต่เวลานี้ไม่อาจห้ามเลือดได้
แต่เขาพบว่าตอนที่ตนเองเพิ่มพลังปราณ ความรู้สึกชาตรงสองมือที่ถูกแทงทะลุเป็นรูเริ่มลดน้อยลง พลังปราณภายในร่างกาย ดูเหมือนจะสามารถยับยั้งพลังของน้ำแข็งที่มาจากปากแผลได้
การค้นพบนี้ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งดีใจไม่น้อย ดังนั้นจึงเค้นสองพลังอินหยางออกมาแม้ว่าร่างกายจะหมดแรง
อันที่จริงต้นกำเนิดนี้มาจากจุดเหม่าที่เพิ่งบรรลุภายในร่างของเขา คืนนั้นเขาใส่พลังปราณบริสุทธิ์จำนวนมากเข้าไปในจุดเหม่า หลังจากเปลี่ยนพลังในจุดเหม่าแล้วจึงถูกเก็บสะสมไว้ที่นี่ แต่การต่อสู้ใหญ่ในครานี้ต้องใช้พลังเยอะมาก ถึงแม้หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่สามารถควบคุมการใช้วิชาต่อสู้และวิชากระบี่โคจรธาตุไฟในจุดเหม่าได้ แต่ก็แทรกซึมเข้าไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ทำให้เขารู้สึกมีกำลังใจอีกครั้ง
ทันใดนั้นจึงหยิบกระบี่บุปผาขึ้นมา พุ่งตรงเข้าหามนุษย์แท่งน้ำแข็ง
มนุษย์แท่งน้ำแข็งเห็นหลิงรุ่ยอิ่งเก็บกระบี่ขึ้นมาอีกครั้ง ขยับฝ่ามือขวาไปข้างหน้า กลายเป็นเกราะน้ำแข็งป้องกันร่างกายในพริบตา
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเกราะน้ำแข็งขวางทาง จึงรีบเปลี่ยนทิศทางของกระบี่ทันที
มนุษย์น้ำแข็งเห็นหลิวรุ่ยอิ่งเคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่ว จึงไม่เข้าใจไปชั่วขณะหนึ่ง…
“ทั้งๆ ที่เมื่อครู่โดนศรเงาปีศาจไปแล้ว เหตุใดนอกจากเลือดไหลแล้วจึงดูเหมือนคนไม่เป็นอะไรเลย”
ที่แท้ ลูกธนูนี้ไม่ใช่ของธรรมดาจริงๆ…
นอกจากรูปร่างที่แปลกประหลาดแล้ว ยังมีพลังอันชั่วร้ายอีก
หัวธนูของศรเงาปีศาจต้องแช่อยู่ในเลือดหัวใจของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงเจ็ดคู่เป็นเวลาสี่สิบเก้าวัน จากนั้นต้องยิงฆ่าคนอีกสามสิบหกคนถึงจะทำขึ้นมาสำเร็จ ต่อจากนั้นทุกครั้งที่ยิงฆ่าหนึ่งคน พลังอันชั่วร้ายจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นทีละนิด
ขณะเดียวกันยามที่โดนธนู เงาปีศาจนับหมื่นนับพันในลูกธนูจะบุกรุกเข้าสู่ภายในร่างกาย รบกวนการโคจรพลังปราณ เพื่อให้เสียพลัง ส่งผลให้ร่างกายอ่อนล้า
แต่หลิวรุ่ยอิ่งยามนี้กลับแข็งแรงมีชีวิตชีวา ว่องไวปราดเปรียว เหมือนคนเหนื่อยล้าเสียที่ไหน
มนุษย์แท่งน้ำแข็งเห็นดังนั้นจึงไม่รอช้า มือซ้ายรวบรวมพลังจนกลายเป็นดาบน้ำแข็งแล้วพุ่งเข้าสังหาร
หลิวรุ่ยอิ่งตอบสนองไม่ทัน โดนดาบน้ำแข็งของอีกฝ่ายทำร้าย แขนซ้ายเกิดบาดแผลลึกเห็นถึงกระดูก…
มนุษย์แท่งน้ำแข็งไม่ให้โอกาสหลิวรุ่ยอิ่งได้หายใจ!
เขากระหน่ำฟันดาบอย่างโหดร้าย ไร้ซึ่งกระบวนท่าสวยงามใดๆ ฟันไปที่หลิวรุ่ยอิ่ง…ขณะเดียวกันมืออีกข้างหนึ่งก็ยิงแท่งน้ำแข็งออกมาไม่หยุด
ดาบน้ำแข็ง แท่งน้ำแข็ง…
หนึ่งที่ลับ หนึ่งที่แจ้ง
หนึ่งไกล หนึ่งใกล้
อาวุธสองชนิดกลับใช้วิธีการต่อสู้ที่ต่างกัน!
หลิวรุ่ยอิ่งต้านไม่ไหว ได้แต่ถอยหลังติดต่อกัน…
ความหนาวเย็นลอยฟุ้งกลางอากาศ ทำให้หลังคาและลูกกรงหน้าต่างมีน้ำค้างแข็งบางๆ หนึ่งชั้น
ในที่สุด หลิวรุ่ยอิ่งก็ถอยจนถอยไม่ได้แล้ว ด้านหลังเป็นเสาประตู
เขาใช้เท้าข้างหนึ่งยันต้นเสา มืออีกข้างหนึ่งหยิบฝักกระบี่ขึ้นมาทำเป็นกระบี่ไร้คมด้ามหนึ่ง เพื่อต้านแท่งน้ำแข็งที่ยิงออกมา
ทันใดนั้น หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกกังวลร้อนรุ่มใจ พลังปราณภายในร่างกายแปรเปลี่ยนพลังไม่ทัน…
เมื่อเห็นมนุษย์แท่งน้ำแข็งฟาดดาบลงมา จึงได้แต่ทำท่าทีจะใช้กระบี่ แท้จริงแล้วกลับเบี่ยงตัวหลบ
“ในที่สุดก็ได้ผลแล้ว!”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจโล่งอก
หากสละศรเงาปีศาจแล้วกลับไม่ได้ผลอันใด เช่นนั้นคงฟุ่มเฟือยเกินไป
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด รู้แต่ว่าพลังความหนาวเย็นที่บาดแผลเริ่มออกอาการ จึงคิดจะเค้นพลังของธาตุไฟในจุดเหม่าออกมา เพื่อปะทะการต่อสู้
ทว่าไม่ว่าตนจะเค้นพลังอย่างไร ในจุดเหม่าเหมือนสระน้ำนิ่ง เงียบสงัด…
สายตาหลิวรุ่ยอิ่งเต็มไปด้วยจิตสังหาร ค่ำคืนนี้เดิมพันด้วยชีวิต!
เขาตะโกนเสียงดังลั่นเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้ตนเอง หยิบวิชากระบี่ธรรมะมีเพียงหนึ่งออกมาใช้อีกครั้ง หมุนม้วนเชื่อมต่อกัน กระบี่แล้วกระบี่เล่า
พลังอันแข็งแกร่ง พัดทรายและก้อนหิน
เจตกระบี่แข็งแกร่ง ลมกระโชกเมฆรวมตัว
หลิวรุ่ยอิ่งพลิกสถานการณ์ในบัดดล ต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างไม่ท้อถอย…
กระโดดเล็กน้อย ก้าวออกไปหลายก้าว
สองมือจับกระบี่ ฟาดฟันลงไป
มนุษย์แท่งน้ำแข็งต่อต้านด้วยดาบ แต่กลับรู้สึกชาเล็กน้อยเมื่อโดนพลังอันน่ากลัวของกระบี่เล่มนี้
เวลานี้พลังการโจมตีด้วยกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่ง แตกต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง
“ฮ่าๆๆ เจ้าอยากได้ ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ของข้าไม่ใช่หรือ มาสิ!”
ระหว่างที่หลิวรุ่ยอิ่งพูด เงากระบี่หมุนวน
มนุษย์แท่งน้ำแข็งใช้ดาบน้ำแข็งฟาดฟันไม่พลาดแม้แต่นิดเดียว ทั้งสองคนเหมือนพายุหมุนห้ำหั่นกันไปมา
ทว่ายอดนักธนูที่อยู่ในความมืด กลับหาโอกาสยิงธนูไม่ได้อีก…
มนุษย์แท่งน้ำแข็งยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งร้อนใจ
เดิมทีคิดว่าจะสามารถจับได้โดยละม่อม คิดไม่ถึงว่าจะยุ่งยากเช่นนี้…
เขาชูดาบน้ำแข็งขึ้น แล้วเพิ่มพลังปราณเข้าไป
ความหนาวเหน็บอันโหดร้ายแผ่ออกมาจากกาย กระจายไปทุกทิศทาง
“รนหาที่ตายเอง!”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งเอ่ย
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ตอบ
เวลานี้เขาต่อสู้ด้วยความโกรธ จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาแปรเปลี่ยนความปรารถนาที่จะตาย! กระบี่ที่แทงเข้าไปไม่น่าเชื่อว่าจะมีรัศมีสีดำจางๆ วนเวียนอยู่…
ปลายกระบี่กระทบกับดาบน้ำแข็ง เกิดประกายไฟพุ่งออกมา น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก…
ยามนี้หลิวรุ่ยอิ่งจิตใจแน่วแน่ มีเพียงจิตสังหารที่ไร้จุดสิ้นสุด
บนท้องฟ้าและใต้พื้นพสุธา
มีเพียงกระบี่ในมือ และคนตรงหน้า…
กระบี่ในมือคือกระบี่สังหาร
ในเมื่อออกจากฝักแล้ว ก็จะไม่เว้นชีวิตใคร
ผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือศัตรู
ในเมื่อเป็นศัตรู เช่นนั้นยิ่งให้อภัยไม่ได้
ต่อให้เจ้าสำนักระดับตะวันแพรทองทั้งสองท่านแห่งหอทรงปัญญาและหอทรงภูมิเห็นฉากนี้ ถึงจะเต็มไปด้วยบทกลอนที่ไพเราะแต่ก็ไร้ประโยชน์…
คำว่า ‘ฆ่า’ คำเดียวมากพอที่จะทำให้ศัตรูหนีหัวซุกหัวซุน หวาดกลัวในเวลานี้
มนุษย์แท่งน้ำแข็งฟันหนึ่งดาบอันหนาวเหน็บ ตัดจิตสังหารรุนแรงที่ปะทะเข้ามาของหลิวรุ่ยอิ่ง
“ธารน้ำแข็งอาชาเหล็ก!”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งพุ่งไปข้างหน้าพร้อมพลังหนาวเหน็บที่เอ่อล้น
จากนั้นสร้างทางน้ำแข็งขึ้นมา ประหนึ่งสายน้ำที่ถูกแช่แข็งในฤดูหนาว
เขาเหยียบธารน้ำแข็งสายนี้ ฟันดาบไปข้างหน้า
ปราณดาบหลอมรวมเป็นหนึ่งกับพลังของความหนาวเย็น สร้างภาพลวงตาเป็นแม่ทัพสวมเกราะเหล็กถือดาบเล่มใหญ่ในมือแล้ววิ่งเข้ามาสังหารตน
ก่อนที่จะประชิดตัว ม้าศึกชูเกือกม้าพลางคำรามออกมาหนึ่งที!
แม่ทัพสวมเกราะเหล็ก ทั้งสองมือยกดาบแล้วฟาดฟันลงมา ชั่วพริบตาเดียวเกือบจะตกอยู่เหนือศีรษะของหลิวรุ่ยอิ่ง
“อ้า!”
หลิวรุ่ยอิ่งตะโกนด้วยความโกรธ ชูกระบี่รับอย่างไม่เกรงกลัว
ระหว่างนั้น แสงดาบปะทะกับกระบี่ดาราของหลิวรุ่ยอิ่ง เมื่อสัมผัสแล้วจึงแตกสลาย…
ทันใดนั้น ม้าศึกหุ้มเกราะและแม่ทัพสวมเกราะค่อยๆ สลายหายไป
หลิวรุ่ยอิ่งควบแน่นไฟในกาย พลังแห่งธาตุไฟอันแข็งแกร่งสามารถทำให้ธารน้ำแข็งของมนุษย์แท่งน้ำแข็งหายไปเกือบครึ่ง…
หลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตน รู้สึกปลาบปลื้มใจขึ้นมาทันที!
“ข้าฝึกสำเร็จแล้ว!”
ในยามคับขัน หลิวรุ่ยอิ่งสามารถบรรลุขั้นที่สามของ ‘ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค’ และเขตแดนของ ‘กายใจรวมเป็นหนึ่ง’ ได้ในท้ายที่สุด
วิชามันตราเจ็ดอักษร อักษรเพลิง สำเร็จแล้ว!
ไฟแห่งการรุดหน้าอย่างกล้าหาญ ถึงแม้จะบดบังตะวัน ศัตรูเนืองแน่น ก็ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาแม้แต่น้อย มีแต่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าทำให้ศัตรูล้มระเนระนาด
พลังปณิธานแน่วแน่เพียงนี้ แม้ตัวตายแล้วจะเป็นอย่างไรเล่า
แม้จะต้องไปยังปรโลก ก็ยังเป็นผีที่ยิ่งใหญ่ได้ดังเดิม!
ปราณกระบี่พลุ่งพล่าน สังหารพญายม!
หลิวรุ่ยอิ่งไม่กลัวความเป็นความตาย ตระหนักถึงสัจธรรมของ ‘กายใจรวมเป็นหนึ่ง’ แล้ว นั่นก็คือไม่ละอายต่อสิ่งใด ขับเคลื่อนความคิดทั้งหมดแล้วลงมือทำ เช่นนั้นถึงจะฉลาดและกล้าหาญอย่างแท้จริง
พูดจาไร้สาระ ดีแต่ทำร้ายชาติ
ดีแต่อ้างบททฤษฎี ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่รู้ว่าสูญเสียดวงวิญญาณบริสุทธิ์ไปเท่าไร
ทว่าผู้ที่ไม่ย่อท้อฝึก ‘กายใจรวมเป็นหนึ่ง’ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากเช่นนี้ ไม่ว่าจะตายกี่ครั้ง ย่อมไม่ละทิ้งความมุ่งมั่นของตนเองเด็ดขาด
เวลาผ่านล่วงเลยไป ไม่อาจลบความเชื่อของพวกเขา ถึงแม้ผลสุดท้ายจะต้องโศกเศร้าจมกองเลือดก็ตาม นั่นคือความนับถือของคนนับหมื่น โศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่! อย่างน้อยก็ทำให้ผู้คนเห็นว่าโลกนี้ยังมีความหวัง ไม่ต้องทนใช้ชีวิตรอดไปวันๆ ตลอดชีวิต
เมื่อฝึกอักษรเพลิงสำเร็จ หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าการโคจรธาตุไฟที่สะสมอยู่ในจุดเหม่านั้นสามารถไหลตามชี่ไตได้อย่างเต็มที่
“เมื่ออักษรเพลิงครบสามขั้น กระบี่ข้าออกจากฝักฟาดฟันนับร้อยครั้ง ทะลวงเวหาผ่าตะวัน กวาดล้างคนชั่วข้างองค์จักรพรรดิ”
หลิวรุ่ยอิ่งท่องวิชากระบี่สำหรับฝึกวิชามันตราอักษรเพลิงในใจ
มีโอกาสเพียงครั้งเดียว
หากกระบี่ออก ศัตรูถอย
หากกระบี่พ่าย ตัวตาย
มนุษย์แท่งน้ำแข็งเห็นกระบวนท่า ‘ธารน้ำแข็งอาชาเหล็ก’ ของตนถูกหลิวรุ่ยอิ่งทำลายได้อย่างง่ายดาย ก็เริ่มกังวลใจเล็กน้อย
เมื่อครู่กระบวนท่านั้นทำให้เขาเสียพลังเยอะมาก…ยามนี้ต้องใช้เวลาในการปรับลมหายใจ
และคราวนี้ตกใจวิชาของหลิวรุ่ยอิ่งเข้าพอดี…
“อักษรเพลิงครบสามขั้น กระบี่ข้าออกจากฝักฟาดฟันเจ้า!”
หลิวรุ่ยอิ่งโคจรมันตราอักษรเพลิง เค้นพลังธาตุไฟในจุดเหม่าออกมาทั้งหมด
หนึ่งกระบี่ทะยานขึ้นฟ้า แก่กล้าช่วงโชติ
ประหนึ่งแผ่นดินไร้ที่สิ้นสุด โจมตีมนุษย์แท่งน้ำแข็งสุดกำลัง
“อ้า!”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งกรีดร้องอย่างน่าสงสาร เลือดเนื้อกระเด็น…
“คิดไม่ถึงว่าระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน…เจ้าจะสามารถฝึกกระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปได้สำเร็จ”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งพูดด้วยความเจ็บปวด
‘คิดไม่ถึงว่ากระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปจะมีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้…พลังฝึกตนของหลิวรุ่ยอิ่งก็พอๆ กับข้า แต่เมื่อเพิ่มวิชากระบี่นี้เข้าไปกลับทำให้ข้าบาดเจ็บได้ถึงเพียงนี้…ไม่เสียแรงที่จางซู่เป็นยอดนักปราชญ์สายบู๊และสายบุ๋นผู้มาก่อนกาลจริงๆ…’
มนุษย์แท่งน้ำแข็งแอบพูดในใจ
ดาบน้ำแข็งในมือเขาค่อยๆ หักเป็นท่อน เส้นลมปราณในแขนทั้งสองข้างได้รับบาดเจ็บ
แม้จะยังมีพลังต่อสู้ แต่หากหลิวรุ่ยอิ่งตัดสินใจเด็ดขาด…ตนจะไม่สามารถถอยได้อย่างสิ้นเชิง และคงต้องตายตกไปพร้อมกัน
เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว
ทันใดนั้นจึงโบกมือทั้งสองข้าง ไอหมอกลอยขึ้น บดบังการมองเห็นของหลิวรุ่ยอิ่ง แล้วดอดหนีไป…
หลิงรุ่ยอิ่งฝึกวิชาใหม่สำเร็จในขั้นต้น กำลังอยากจะแสดงอานุภาพของกระบี่ ด้วยเหตุนี้จึงแหวกม่านหมอกออกหมายจะวิ่งไล่ตามไปซัดเจ้าหมาตกน้ำ
“ฟิ้ว…ฟิ้ว…ฟิ้ว!”
ลูกธนูสามดอกยิงเข้ามาตรงหน้าหลิวรุ่ยอิ่งในระยะหนึ่งฉื่อ คล้ายว่าตักเตือน
หลิวรุ่ยอิ่งใจเย็นลง ไม่ไล่ตามอีก
เขากลับไปที่กำแพงที่อยู่ข้างๆ หยิบระเบิดหลงไฟที่ถูกลูกธนูตรึงไว้ก่อนหน้านั้น ดึงสลักแล้วโยนขึ้นท้องฟ้า
……………………………………………………………………….