ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 53 พู่กันดั่งมีด วาจาบาดลึก-6

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 53 พู่กันดั่งมีด วาจาบาดลึก-6

ยามนี้ หลิวรุ่ยอิ่งนึกเสียใจที่ไม่ได้สวมชุดราชการออกมา…หากใส่ชุดราชการของนายกองกรมสอบสวน มีหรือจะเจอเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แม้แต่บัณฑิตในชุดบรรพตตาดเขียวขั้นสี่จะต้องหุบปากคนแรกแน่นอน

พวกเขาเหล่านี้ก็เป็นเช่นนี้

ปกติมักพูดจาที่เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์และคุณธรรม แต่นั่นล้วนพูดให้ผู้อื่นฟัง สั่งให้ผู้อื่นทำ หากเจ้าเอามีดไปจ่อคอหอยเขา รังแต่จะขี้ขลาดมากกว่าใครอื่น

ในกรมสอบสวนกลางที่เจ้าหน้าที่สอบสวนสืบข่าวนับไม่ถ้วนเป็นปกติทุกวัน มีขุนนางบุ๋นสองสามคนกัดฟันแน่นไม่ปริปาก บางครั้งก็เจอคนโหดเหี้ยม แต่มีความมั่นใจสูง เนื่องจากมีคนคอยหนุนหลัง ต่อต้านได้สองสามวัน จากนั้นก็มีสารให้เข้ามารับคน

แล้วพร่ำบอกว่าพวกเขาห่วงใยประเทศชาติ ควรจะพูดว่าสงสารตนเองมากว่า

ดอกไม้ร่วงหล่น น้ำตาไหลริน ดอกไม้ผลิบาน น้ำตาก็รินไหล คนมาแล้ว น้ำตาร่วงเผาะ คนจากไป น้ำตาก็ร่วงเผาะ ไม่เคยมีช่วงเวลาแห่งความสุขเลย

ดูเหมือนความลำบากของทั้งใต้หล้าจะแบกอยู่บนตัวเขาเพียงผู้เดียว…อันที่จริงทั้งหมดรวมกันหนักเท่าเปลือกแตงโมเท่านั้น แต่เมื่อผ่านเข้าไปในจิตใจที่คับแคบของพวกเขาถึงกลับกลายเป็นหนักมโหฬาร

“เจ้าไม่สำรวมเจ้าเข้ามาก็เรียกแม่นางไปที่บ้านของเจ้าแล้ว ข้าเป็นชาวยุทธ์ไม่เรียนหนังสือ แต่ยังเข้าใจเรื่องพวกนี้ ซ้ำยังรู้ว่าชายหญิงไม่ควรอยู่กันสองต่อสอง ชายหญิงไม่ควรอยู่ในห้องเพียงลำพัง!”

หลิวรุ่ยอิ่งพูดให้ตัวเองเป็นชาวยุทธ์จนถึงขั้นสุด สั่งสอนพวกเขาแล้วถึงคลายความหงุดหงิดใจลงได้

“เอ่อ…ที่บ้านข้ามีบิดาโง่เง่าอยู่ด้วย!”

บัณฑิตบรรพตตาดเขียวขั้นสี่อธิบาย

“บิดาโง่เง่า? บิดาเจ้าเลี้ยงดูเจ้า เจ้ากลับเรียกท่านว่าบิดาโง่เง่า เสียเงินเลี้ยงดูเจ้า ส่งเจ้าเรียนหนังสือจนจบ เจ้ากลับบอกว่าท่านโง่เง่าหรือ ข้าว่าเจ้านั่นแหละที่โง่เง่าถึงจะถูก! อีกอย่าง บิดาของเจ้าอยู่บ้านแล้วอย่างไรเล่า อย่างมากก็แค่สองชายหนึ่งหญิง ก็จะไม่ผิดหลักคำสอนเหมือนที่พวกเจ้ากล่าวหรือ”

หลิวรุ่ยอิ่งยิ่งพูดก็ยิ่งสบายใจ ตอนนี้เหมือนจะไม่ได้ช่วยแก้สถานการณ์ให้เจ้าหมิงหมิงอย่างเดียวแล้ว

เจ้าหมิงหมิงเห็นหลิวรุ่ยอิ่งโต้คารมกับบัณฑิตเหล่านี้ไม่ถอย รู้สึกทึ่งในตัวเขายิ่งขึ้น

“เป็นแค่คำพูดแสดงความถ่อมตนเท่านั้น…ไม่ได้ว่าเขาโง่เง่าจริงๆ เสียหน่อย”

ตอนนี้ มาดของบัณฑิตบรรพตตาดเขียวขั้นสี่หายไปครึ่งหนึ่ง…น้ำเสียงต่ำลงไม่น้อย

“อ้อ เช่นนั้นหมายความว่าพวกเราชาวยุทธ์ไม่รู้จักถ่อมตัวอย่างนั้นหรือ…อย่างเช่นฆ่าห้าคนก็ฆ่าห้าคน จะไม่พูดเกินจริงและไม่พูดน้อยกว่านี้เด็ดขาด!”

หลิวรุ่ยอิ่งมองลูกสมุนบัณฑิตหญ้ากำมะหยี่ขาวขั้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆ บัณฑิตบรรพตตาดเขียวขั้นสี่ผู้นี้ แล้วพูดไปเรื่อยเปื่อย ขู่พวกเขาให้ตกใจ

เมื่อพูดประโยคนี้จบ หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีกะจิตกะใจต่อปากต่อคำกับเขาต่อแล้ว ไม่ว่าอย่างไรตนอยากพูดกับเจ้าหมิงหมิงมากกว่านี้ จากนั้นค่อยกลับไปซ่อมหนังสือ

“มองไม่ออกเลยว่าท่านก็เก่งเหมือนกันนี่!”

เกาลัดคั่วน้ำตาลมองหลิวรุ่ยอิ่งพูดไล่คนน่ารำคาญพวกนั้นออกไป ตอนนี้ดีใจยิ่งนัก แล้วเอ่ยชมเขาหนึ่งประโยค

“คุณชายจะซ่อมหนังสืออะไรหรือ”

เจ้าหมิงหมิงถาม

อ่านหนังสือง่าย ซ่อมหนังสือยาก

แต่หากจะพูดว่าตนซ่อมหนังสือเป็น คงไม่มีผู้ใดสู้ปรมาจารย์ที่หมกมุ่นอยู่ในสายงานนี้นานหลายปี

เจ้าหมิงหมิงไม่เข้าใจว่าการซ่อมหนังสือคืออะไร แต่รู้สึกว่าเป็นงานที่น่าสนใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

หลิวรุ่ยอิ่งหยิบหนังสือที่ตนคัดลอกด้วยตัวเองออกมา พลางอธิบายว่าแท้จริงแล้วตนต้องการเย็บเล่มหนังสือ

ตอนนี้ไม่หลบคนช่วยงานในร้านแล้ว เขาเรียกคนหนึ่งมาถามว่าควรซื้ออุปกรณ์อย่างไร

เจ้าหมิงหมิงเดินตาม นางอยากจะดูว่าอุปกรณ์ที่ใช้ซ่อมหนังสือเป็นสิ่งของแปลกใหม่เช่นไร

“ท่านลูกค้า ท่านอยากซื้อชุดใหญ่หรือชุดเล็กขอรับ”

คนช่วยงานในร้านถาม

“อืม…ชุดใหญ่!”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอะไรคือชุดใหญ่ชุดเล็ก เพียงรู้สึกว่าชุดใหญ่น่าจะดีกว่าชุดเล็ก ฟังแล้วดูดีกว่าชุดเล็ก และมีราศีกว่า!

“ชุดใหญ่มีทั้งหมดยี่สิบห้าชิ้น”

คนช่วยงานในร้านหยิบกล่องหนึ่งออกมาจากในตู้ หลังจากเปิดแล้วถึงกับทำให้หนังศีรษะหลิวรุ่ยอิ่งชา…

ชุดอุปกรณ์ยี่สิบห้าชิ้นถูกวางเรียงทีละชิ้น แต่ละอย่างมีลักษณะแปลกตา บางอันคล้ายเครื่องทรมานยามที่กรมสอบสวนใช้สอบสวน

หลิวรุ่ยอิ่งพอจำได้ มีอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น…สว่าน แปรง ค้อน กรรไกร..แล้วจึงมองข้างๆ อีก กระทั่งยังมีเคียวเล็กเล่มหนึ่ง

“นี่…ล้วนเอามาใช้ซ่อมหนังสือใช่หรือไม่ แต่ละอย่างควรใช้งานอย่างไร”

เจ้าหมิงหมิงเบิกตาโต รู้สึกเหลือเชื่อเช่นกัน จึงถามคนช่วยงานในร้าน

เป็นจริงดังคาดหญิงงามมักเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตา

เกรงว่าบนโลกนี้ไม่มีผู้ใดจะพูดว่า ‘ไม่’ กับใบหน้าของเจ้าหมิงหมิง

“แม่นางผู้นี้ เคียวเอาไว้ใช้ตัดกระดาษ และสิ่งที่คล้ายก้อนอิฐเรียกว่าที่ทับหนังสือ หลังจากเย็บเล่มเสร็จแล้วจะใช้ยึดวัตถุที่มีน้ำหนักมาก ค้อนทั้งสามทำมาจากไม้ เหล็ก และเหล็กพันผ้าฝ้ายชนิดพิเศษ หลักๆ ตอนใช้งานจะดูความหนาบางของหนังสือเป็นหลัก เนื้อกระดาษ วัสดุของตัวยึด เป็นต้น แปรงไว้ใช้กดกระดาษให้เรียบ และแปรงที่มีขนาดเท่านี้เอาไว้ใช้ทาแป้งเปียก…”

คนช่วยงานในร้านหันไปอธิบายให้เจ้าหมิงหมิง แต่กลับละทิ้งหลิวรุ่ยอิ่งที่เป็นผู้ซื้อไปโดยสิ้นเชิง

“อันนี้คืออะไร กินได้หรือไม่”

เกาลัดคั่วน้ำตาลชี้ไปยังสิ่งที่มีลักษณะคล้ายแป้งพลางถาม

“นี่คือแป้งเปียก แป้งเปียกที่ผลิตจากโถงรื่นรมย์ของพวกเราใช้แป้งข้าวเหนียวเป็นส่วนผสมหลัก ป้องกันแมลงและมีกลิ่นหอม สามารถรักษาได้เป็นร้อยปี”

คนช่วยงานในร้านกล่าวแนะนำอย่างภาคภูมิใจ ถึงอย่างไรป้ายร้านโถงรื่นรมย์ก็ไม่ได้ได้มาง่ายๆ เช่นกัน

“ข้าขอแป้งเปียกสองสามห่อก็พอ…”

หลิวรุ่ยอิ่งพูดอย่างเขินอาย

ชุดใหญ่ชุดเล็กอะไร…เขาไม่เอาทั้งนั้น!

อุปกรณ์เหล่านั้นหากเขาทำเป็นแล้ว คาดว่าคงจะลืมวิชากระบี่จนหมดสิ้น…ซ่อมตำราวิชากระบี่แต่กลับลืมวิชากระบี่…เช่นนั้นการเย็บเล่มจะมีความหมายใดเล่า สู้ซื้อแค่แป้งเปียกอย่างเดียวจะดีกว่า นำตำราฉบับคัดลอกมาทาติดกันก็พอ จะว่าไปแล้ว แค่อยากทำให้มันติดกันไม่กระจัดกระจายเท่านั้นเอง

“ฮ่าๆๆ ชาวยุทธ์ซื้อแป้งเปียก เหมาะสมกันจริงๆ!”

เสียงที่ทำให้คนรู้สึกรำคาญดังมาจากด้านหลังอีกครั้ง

เป็นบัณฑิตบรรพตตาดเขียวขั้นสี่ผู้นั้น มาพร้อมกับลูกสมุนของเขาอีกสี่คน เดินเข้ามาพลางพูด เห็นได้ชัดว่าได้ยินบทสนทนาของหลิวรุ่ยอิ่งกับคนช่วยงานในร้านแล้ว

หลิวรุ่ยอิ่งที่ใช้เสียงเพี้ยนของคำว่า ‘บิดาโง่เง่า’ กับ ‘คร่ำครึ’ มาต่อว่าก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับโดนเขาใช้คำว่า ‘แป้งเปียก’ มาต่อว่ากลับ

หลิวรุ่ยอิ่งคร้านจะสนใจจึงไม่พูดอะไร

“ชาวยุทธ์ซื้อแป้งเปียก ควรจะอธิบายอย่างไรดี”

บัณฑิตบรรพตตาดเขียวขั้นสี่แสร้งทำเป็นถามลูกสมุนที่อยู่ข้างกาย

“ชาวยุทธ์ซื้อแป้งเปียก แน่นอนว่าต้องเอาไปกินให้อิ่มท้อง! ชาวยุทธ์นอนกลางดินกินกลางทราย ย่อมลำบากไม่น้อย!”

ลูกสมุนคนหนึ่งเอ่ย

“อืม ไม่เลว! บนเส้นทางจอมยุทธ์ นอนกลางดินกินกลางทราย ชาวยุทธ์ซื้อแป้งเปียกกินเพื่ออิ่มท้อง! คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกลอนคู่แรก!”

บัณฑิตบรรพตตาดเขียวขั้นสี่พูดกับลูกสมุนอย่างสะใจ

หลิวรุ่ยอิ่งคิดไม่ถึงว่าบัณฑิตไร้สาระผู้นี้จะแต่งเรื่องทำให้ตนดูแย่ลง เช่นนี้ยังจะนับว่าเป็นศิษย์ผู้สง่าของสำนักไหน เป็นสุภาพบุรุษได้อย่างไรเล่า

“นี่ ชาวยุทธ์ ดื่มแป้งเปียกแล้วอย่าลืมมาบอกข้าด้วยว่ามีรสชาติอย่างไร!”

“ใช่แล้วๆ ข้าเคยได้ยินแต่นักปราชญ์ดื่มหมึกเพิ่มความงามในท้อง คิดไม่ถึงว่าแป้งเปียกเหนียวๆ ที่ติดหนังสือ จะทำให้อิ่มท้องได้เช่นกัน!”

“ตอนนี้ดูท่าหนังสือเล่มนี้นอกจากซ่อนบ้านเรือนทองและหญิงงาม[1]แล้ว ยังมีธัญพืชอีกล้นเหลือ!”

เมื่อเห็นหลิวรุ่ยอิ่งไม่พูด ทั้งห้าคนจึงยิ่งกำเริบเสิบสาน

แม้จะเห็นหลิวรุ่ยอิ่งถือกระบี่อยู่ในมือ แต่พวกเขาไม่เชื่อว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะกล้าฆ่าคนจริงๆ โดยเฉพาะบัณฑิตบรรพตตาดเขียวขั้นสี่ผู้นั้นที่ตระกูลพอมีอิทธิพลในหัวเมืองรัฐติงอยู่บ้าง ปกติจะถือดีว่าบิดาไปมาหาสู่กับผู้ควบคุมรัฐทังหมิงอยู่บ้าง จึงไม่มองคนทั่วไปอยู่ในสายตา จิตใจคับแคบโหดร้ายเป็นที่สุด

“ร่ำเรียนวิชาลำบาก เพื่อบิดาโง่เง่า บัณฑิตโอ้อวดเพราะบิดาขลาดเขลา”

หลิวรุ่ยอิ่งไม่เงยหน้าด้วยซ้ำ พูดคำกลอนคู่ล่างที่คล้องจองขึ้นมา

ไม่เพียงแต่คล้องจองสัมผัสกันพอดี ความหมายโต้แย้งกันโดยสมบูรณ์ กระทั่งยังเสียดสีคำกลอนคู่แรกของเขา

คำกลอนคู่แรก บนเส้นทางจอมยุทธ์ นอนกลางดินกินกลางทราย จอมยุทธ์ซื้อแป้งเปียกกินเพื่ออิ่มท้อง

คำกลอนคู่ล่าง ร่ำเรียนวิชาลำบาก เพื่อบิดาโง่เง่า บัณฑิตโอ้อวดเพราะบิดาขลาดเขลา

ทั้งห้าคนพูดไม่ออกทันที…

พวกเขาคิดไม่ถึงว่าจอมยุทธ์คนหนึ่งจะว่องไวเรื่องสำบัดสำนวนเช่นนี้

เจ้าหมิงหมิงที่อยู่ข้างๆ หัวเราะขึ้นมา รู้สึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งจัดการได้ยอดเยี่ยม ทำให้นางหายโกรธ!

ส่วนเกาลัดคั่วน้ำตาลพูดตรงไปตรงมายิ่งกว่า ทำพวกเขาหน้าถอดสีไปเลย

หลิวรุ่ยอิ่งพูดจบแล้วจึงจะไปจ่ายเงิน เจ้าหมิงหมิงกำลังจะกลับเช่นกัน

คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตบรรพตตาดเขียวขั้นสี่จะโกรธเดือดดาล แม้แต่การรักษาภาพลักษณ์ก็แสร้งทำไม่ไหวแล้ว หยิบแท่นฝนหมึกอันหนึ่งขึ้นมาแล้วทุบไปที่หลิวรุ่ยอิ่ง

หลิวรุ่ยอิ่งไม่หันกลับไป มือขวายื่นไปทางหลังหู รับอย่างมั่นคง

ทันใดนั้นจึงหยิบพู่กันด้ามหนึ่งที่แขวนอยู่บนชั้นวาง จุ่มน้ำหมึกแล้วแวบหายตัวไปทางห้าคนนั้น

ทั้งห้าคนรู้สึกว่าหลิวรุ่ยอิ่งหมุนวนอยู่รอบตัวพวกเขาสองสามรอบ เร็วเหมือนลมกรด แต่หลบไม่ทัน จึงโดนกับดักเข้าแล้ว

ตอนที่ได้สติ หลิวรุ่ยอิ่งเดินไปคิดเงินที่โต๊ะบัญชีแล้ว

บัณฑิตหญ้ากำมะหยี่ขาวขั้นหนึ่งทั้งสี่คนก้มหน้าดู ชุดเครื่องแบบตรงหน้าอกของตนถูกเขียนด้วยอักษรขนาดใหญ่หนึ่งตัว

“หน้าด้าน”

“ไร้”

“ยาง”

“อาย”

ทั้งสี่คนอ่าน

“ช้าก่อน ข้างหลังก็มี!”

บัณฑิตบรรพตตาดเขียวขั้นสี่ผู้นั้นพูด

“บัณฑิตไร้คนนับถือ!”

เขาพูดทั้งสี่คำที่อยู่ด้านหลังทั้งสี่คนขึ้นมา

“ถูกแล้ว หมายความว่าพวกเจ้าเป็นบัณฑิตไร้คนนับถือ หน้าด้านไร้ยางอาย!”

หลิวรุ่ยอิ่งพูดด้วยความโมโห

ถ้าทั้งห้าคนนี้ยังเข้ามาก่อกวนความวุ่นวายอีก ไม่แน่ตนอาจจะไม่เกรงใจจนชักกระบี่ออกมา

“เอาของทื่อมาโจมตีนายกองกรมสอบสวน”

แค่ข้อนี้ก็มากพอให้พวกเจ้าเดินไม่รอดแล้ว

“เหตุใด..เหตุใดไม่มีตัวหนังสือบนตัวข้า”

บัณฑิตบรรพตตาดเขียวขั้นสี่ผู้นั้นจับชุดเครื่องแบบดูนานครึ่งค่อนวันก็หาไม่เจอ

“อยู่ตรงนี้!”

“หลิวรุ่ยอิ่ง? หมายความว่าอย่างไร…”

คนหนึ่งมองเห็นตัวอักษรบรรจงขนาดเล็กสามตัวอยู่ที่คอเสื้อของเขา

“สีและวัสดุเสื้อผ้าเจ้า เหมือนฝาปิดถังอุจจาระข้าไม่ผิดเพี้ยน! ชาวยุทธ์นอนกลางดินกินกลางทรายกลัวของหาย จึงคุ้นชินจับมันมาเขียนชื่อไว้ เมื่อครู่มือไวไปนิด รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตามากจริงๆ ขอโทษที่ล่วงเกิน!”

หลิวรุ่ยอิ่งพูดจบแล้วประสานมือคำนับ เดินออกจากโถงรื่นรมย์ ไม่สนใจเสียงตะโกนด้วยความโกรธแทบขาดใจที่ดังอยู่ด้านหลัง…คนผู้นี้หลังจากเลื่อนขั้นเป็นบัณฑิตบรรพตาดเขียวขั้นสี่แล้ว ก็ไม่เคยเจอความอัปยศอดสูใดๆ มาก่อน วันนี้หลิวรุ่ยอิ่งกลั่นแกล้งเช่นนี้ ทำให้เขาโกรธจัดจริงๆ

‘ที่แท้เขาก็ชื่อหลิวรุ่ยอิ่ง…’

เจ้าหมิงหมิงพึมพำในใจ

ริมถนน หลิวรุ่ยอิ่งถือแป้งเปียกกำลังจะบอกลากับเจ้าหมิงหมิง คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมิงหมิงกลับเอ่ยถามก่อน“คุณชายหลิวเมื่อครู่โต้กับคนพวกนั้นสนุกมากจริงๆ ไม่ทราบว่าวิธีเหล่านี้ไปเรียนมาจากที่ใด”

“เอ่อ…แม้ว่าข้าจะไม่นับว่าเป็นบัณฑิต แต่ก็เคยอ่านผ่านๆ…สิ่งเหล่านี้ล้วนเอามาจากหนังสือ”

หลิวรุ่ยอิ่งกระดากอายเล็กน้อย…ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยแสดงตัวว่าตัวเองมีความรู้อะไร หนึ่งคือไม่มีโอกาส สองคืออายมาก

“แต่ก็พอมีตำราเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่ใช่หรือไม่”

เจ้าหมิงหมิงถาม

“มีอยู่แล้ว”

หลิวรุ่ยอิ่งตอบ

“เช่นนั้น..ถ้ามีโอกาสหวังว่าคุณชายหลิวจะชี้แนะ!”

เจ้าหมิงหมิงพูด และยังโค้งคำนับให้หลิวรุ่ยอิ่งเล็กน้อย

“อืม…ได้ๆ ไม่มีปัญหา!”

สิ่งที่ต้านทานได้ยากที่สุดคือการตอบรับคำขอของหญิงงาม…หลิวรุ่ยอิ่งรีบโค้งคำนับกลับทันที

“ข้าชื่อเจ้าหมิงหมิง!”

เจ้าหมิงหมิงมองเงาหลังหลิวรุ่ยอิ่งเดินออกไปพลางพูด

“เจ้าหมิงหมิง…ห้องโถงโล่งนั่งย้อนอดีต ดื่มชาพูดคุยจนเมามาย ชื่อไพเราะยิ่งนัก!”

………………………….

หลังหลิวรุ่ยอิ่งกลับไปที่อาคารกรมสอบสวนก็รีบตามหาผู้สั่งการกองที่ไปรับตนเมื่อคืน ถามหารถเข็นแผงตำราของมนุษย์แท่งน้ำแข็งว่าวางอยู่ที่ใด หลังจากรู้แล้วเขาจึงรีบไปตรวจสอบ ความคิดอันน่ากลัวผุดขึ้นมาในหัวและยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

“ที่แท้…”

หลิวรุ่ยอิ่งไปที่โถงรื่นรมย์ก่อนหน้านี้ พูดล้อชุดเครื่องแบบบัณฑิตขั้นสี่ผู้นั้นว่าเหมือนผ้าปิดฝาถังอุจจาระของตน อันที่จริงก็ใช่ว่าจะไม่มีมูล

เขารู้สึกอยู่เสมอว่าสีและวัสดุคุ้นตาเป็นอย่างมาก

หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งตรวจสอบรถเข็นแผงตำราของมนุษย์แท่งน้ำแข็งเมื่อคืนอย่างละเอียดแล้ว ช่องว่างจุดหนึ่งของชั้นล่างสุด มีเศษผ้าชิ้นเล็กติดอยู่ วัสดุและสีเหมือนบรรพตตาดเขียวที่สวมใส่อยู่บนตัวของบัณฑิตขั้นสี่ผู้นั้นไม่มีผิด…

บัณฑิตในโถงรื่นรมย์เป็นลูกผู้ดีหยิ่งทะนงจองหอง และไม่มีพลังฝึกตนแม้แต่นิดเดียว ตอนที่หลิวรุ่ยอิ่งรับแท่นฝนหมึกที่เขาทุ่มเข้ามาก็รู้สึกได้

ทว่า…ในเมื่อพบเศษผ้าของชุดเครื่องแบบแล้ว เช่นนั้นเงาที่อยู่ข้างหลังจะปรากฏขึ้นมาเอง…

คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตที่โอ้อวดว่าตนนั้นขาวสะอาดบริสุทธิ์ ใช้ชีวิตเรียบง่ายจะมีจิตใจโหดเหี้ยมคาดเดาไม่ได้เช่นนี้

พู่กันดั่งมีด ลอบทำร้ายในห้องมืด วาจาบาดลึก สัญญาณเตือนภัยสงคราม…

……………………………………………………………………….

[1] ซ่อนบ้านเรือนทองและหญิงงาม หมายถึง เมื่อได้รับชื่อเสียงโด่งดังแล้วจะนำมาซึ่งความร่ำรวยและหญิงงาม

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน