ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 57 เกราะเมฆดำเข้าคู่ชาดแดงงาม-2

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 57 เกราะเมฆดำเข้าคู่ชาดแดงงาม-2

หลิวรุ่ยอิ่งออกจากวังอ๋องแล้วก็ไม่รู้ว่าควรไปที่ใด

แต่เขาไม่อยากกลับโรงเตี๊ยมพูนโชค มันมักทำให้รู้สึกเหมือนสูญเสียเวลาช่วงกลางวันอันล้ำค่าไป

“สหายรุ่ยอิ่ง!”

เสียงที่คุ้นเคยดังทอดมาจากด้านหลัง

พอหลิวรุ่ยอิ่งหันไปมอง พลันรู้สึกแปลกใจระคนดีใจยิ่ง!

ในเมืองติ้งซีอ๋องนี้ คนที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยได้ถ้าไม่ใช่ทังจงซงแล้วจะเป็นใครอีก

“สหายจงซง!”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยพลางยิ้มร่า

ทังจงซงยังแต่งตัวเหมือนตอนเขามาถึงวังอ๋องในยามแรก แต่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นแล้วรู้สึกเหมือนเขาเปลี่ยนเป็นคนละคน

คิ้วตาจมูกปากล้วนเป็นทังจงซงคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่น้ำเสียง การพูดและลักษณะท่าทางกลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง

‘นึกไม่ถึงว่าติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งจะเก่งกาจเช่นนี้ เพิ่งจะไม่กี่วันสั้นๆ ก็ฝึกทังจงซงกลายเป็นเช่นนี้ได้แล้ว’

หลิวรุ่ยอิ่งรำพันในใจ

เขาเพียงคิดว่าทังจงซงประสบเหตุการณ์หลายหลากในรัฐติงแล้วนิสัยเปลี่ยนไป ตอนนี้กลายเป็นลูกศิษย์ของติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งแล้ว ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์แบบใด แต่ทุกการกระทำและคำพูดไม่อาจก้าวร้าวได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

แต่ทังจงซงกลับตระหนักถึงเรื่องนี้ดีเช่นกัน ไม่ว่าบทบาทใด ระดับขั้นไหน เขาล้วนจัดการเข้าถึงได้ดียิ่ง ทำให้คนแทบไม่เห็นพิรุธ

“ใช่แล้ว ข้ารับคำสั่งจากอาจารย์มาส่งระเบียนข้อมูลให้สหายรุ่ยอิ่ง”

ทังจงซงเห็นหลิวรุ่ยอิ่งชี้กองเอกสารข้อมูลบนมือตนจึงออกปากพูด

“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย คิดดูตั้งแต่ลากันที่รัฐติงก็ไม่ได้เจอเจ้านานมากแล้ว!”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

“นั่นสิ ครั้งนี้สหายรุ่ยอิ่งคงต้องพักอยู่เมืองอ๋องหลายวันกระมัง”

ทังจงซงถาม

“ยังไม่แน่ใจหรอก…หลักๆ ต้องดูว่าข้อมูลในมือเจ้าช่วยข้าได้มากแค่ไหน หากน้อยนิดไม่ค่อยมีประโยชน์ ไม่แน่อาจต้องขี่ม้าเร็วไปรัฐเหมิงสักรอบ”

หลิวรุ่ยอิ่งครุ่นคิดและกล่าว

ในเมื่อฮั่ววั่งให้ทังจงซงมาส่งเอกสารเหล่านี้ได้ คิดว่าคงต้องบอกต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวกับเขาหมดแล้วเช่นกัน หลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่ได้ปิดบัง

แต่ใครจะรู้ ฮั่ววั่งแค่ให้ทังจงซงวิ่งเอามาส่งหลิวรุ่ยอิ่งเท่านั้น ไม่ได้อธิบายว่าเพราะอะไรด้วยซ้ำ

ทังจงซงเห็นหลิวรุ่ยอิ่งยังคงเปิดใจกับตนเช่นนี้ ในใจพลันสะเทือนอารมณ์อีกหลายส่วน

“อย่าเพิ่งพูดเรื่องพวกนี้เลย เจ้ากับข้าไม่ได้เจอกันง่ายๆ ต้องดื่มสักสองสามจอกถึงจะดี!”

หลิวรุ่ยอิ่งพูดพลางฉวยโอบไหล่ของทังจงซง

ทังจงซงเกร็งหลังทันที เขาไม่เคยใกล้ชิดกับใครเท่านี้มาก่อน พลันรู้สึกไม่ชินอย่างยิ่ง ดีที่หลิวรุ่ยอิ่งแค่เล่นสนุกเล็กน้อยชั่วครู่ก็ปล่อยมือออก ทำให้เขาโล่งอก

“สหายรุ่ยอิ่งวุ่นกับงานตลอดทาง มาถึงในเมืองอ๋องแล้วต้องเป็นข้าเลี้ยงต้อนรับเจ้าต่างหาก!”

ทังจงซงกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นท่าทางสุภาพเรียบร้อยเช่นนี้ของทังจงซงแล้วไม่ชินเอาเสียเลย นึกถึงตอนคุยตลกหยาบคายไปเรื่อยในคืนที่ทั้งสองเจอกันครั้งแรก เขาอดพูดประโยคหนึ่งในใจไม่ได้ ‘เวลาผันผ่าน โชคชะตาหยอกเย้าคน…’

เวลาชั่วพริบตา หลิวรุ่ยอิ่งพลันรู้สึกจุดลมปราณตำแหน่งที่ยี่สิบสี่และยี่สิบห้าในกายคลายลงทั้งคู่ นี่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งดีใจเหลือล้น! แต่แน่นอนว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาทะลวงจุด รอถึงตอนกลับห้องยามดึกแล้วค่อยตั้งสมาธิ ลองดูว่าสามารถทะลวงจุดลมปราณสองจุดนี้รวดเดียวได้หรือไม่ ถือโอกาสศึกษาเจาะลึกเคล็ดวิชากระบี่อักษรเพลิงของกระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปสักเล็กน้อย

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้อารมณ์กระหายเหล้าของหลิวรุ่ยอิ่งรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เขาร่างภาพในใจไว้แล้วว่าอีกเดี๋ยวตนจะถือเหล้าดื่มรับลมด้วยท่าทีสุขสำราญใจ!

มาถึงโรงเตี๊ยมพูนโชค ตอนแรกหลิวรุ่ยอิ่งอยากได้ห้องส่วนตัวสวยๆ สักห้อง แต่เสียดายเพราะไม่ได้จองล่วงหน้า และตอนนี้เป็นเวลารับประทานอาหารพอดีด้วย ไม่มีห้องว่างเหลือแล้ว ได้แต่หามุมเงียบสงบในโถงใหญ่แล้วนั่งลง

“เมืองอ๋องนี้มีของดีอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“ฮ่าๆ ข้าก็เพิ่งมาครั้งแรก หากวันนี้ไม่ได้มาหาสหายรุ่ยอิ่งเรื่องงาน ข้ายังจะมีโอกาสออกจากวังอ๋องเสียที่ไหน”

ทังจงซงหัวเราะกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งตระหนักได้ว่าคำพูดของตนไร้มารยาทไปหน่อย…แม้เป็นเมืองติ้งซีอ๋อง แต่เขาก็เป็นแขกต่างบ้านอยู่ต่างถิ่นคนเดียว จะเทียบกับรัฐติงได้อย่างไรกัน

“แต่อาหารในเขตติ้งซีอ๋องคล้ายๆ กันหมด…กินไปกินมาก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง แค่เป็นร้านในเมืองอ๋องจึงทำประณีตขึ้นเท่านั้น”

เหมือนทังจงซงดูออกว่าหลิวรุ่ยอิ่งเก้อกระดาก จึงปัดมือพูดแก้หน้าแทนเขา

จากนั้นเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาสั่งกับแกล้มเหล้าสองสามอย่าง และสั่งเหล้าชั้นดีที่โรงเตี๊ยมพูนโชคหมักเองมาอีกสองกา ทั้งสองคนรินเหล้าพูดคุยกันเต็มที่

“เจ้าของร้าน! ในห้องของพวกเจ้ามีหนู!”

เสียงใสเฉียบขาดดังขึ้นจากชั้นบน ในน้ำเสียงเจือแววโมโหยิ่ง

“อะไรนะ โรงเตี๊ยมพูนโชคมีหนูด้วย…”

คำพูดเดียวสะเทือนเป็นคลื่นพันชั้น กระทั่งเจ้าของร้านยังสีหน้าเปลี่ยน…นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ทำลายร้านค้าเชียวนะ! ชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมพูนโชคตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคงเพราะอาศัยความปลอดภัยและความประณีต! หากในห้องมีหนูจริงแล้วเรื่องแพร่ออกไป ถ้าไม่มีใครเชื่อ ก็เหมือนถูกค้อนหนักทุบอก…

“ในห้องพวกเจ้ามีหนูได้ยังไงกัน?!”

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเงาร่างคนหนึ่งยืนถามเจ้าของร้านอยู่หน้าโต๊ะคิดเงิน ด้วยมุมที่เขานั่งอยู่ตรงนี้ทำให้มองเห็นชัดพอดี

ใบหน้ารูปเมล็ดผลซิ่ง[1]ขาวผ่องแต่งเติมด้วยแป้งฝุ่นเพียงนิด ยามนี้ร้อนใจยิ่ง ปลายจมูกผุดเหงื่อเล็กน้อย นางใส่ต่างหูหยดน้ำทองคำบริสุทธิ์หยกเขียวคู่หนึ่ง มันกวัดแกว่งตามร่างกายไม่หยุด

นางกระแทกกุญแจลงบนโต๊ะคิดเงิน

บนข้อมือที่ยื่นออกมาสวมกำไลหยกมันแพะสีขาวลายเก้าเสี้ยว

แต่หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าบนมืออีกข้างของนางก็มีกำไลแบบเดียวกันนี้

ข้อมือนางเรียวงามเยี่ยงนี้…แต่มือของนางกลับยิ่งทำให้คนหลงใหล! ข้อมือคู่หนึ่งกับมือคู่หนึ่งเช่นนี้…เชื่อว่าบนโลกต้องมีบุรุษนับไม่ถ้วนยินดีถูกมือคู่นี้บีบคอตายโดยไม่ดิ้นรนแม้แต่น้อย

หน้าอกนางยืดตรงยิ่ง เอวบางไม่น้อย ขาสวยเรียวยาวสวมอยู่ในรองเท้าหนังพุดตานสองสีปักลายกลีบบัวซ้อน แม้มีรองเท้าหนังกั้น หลิวรุ่ยอิ่งก็เห็นได้ว่าขากับข้อเท้าคู่นี้ต้องไม่ด้อยไปกว่ามือกับข้อมือทั้งคู่ของนาง หรือถึงขั้นเรียบเนียนและขาวผ่องยิ่งกว่า

นอกชุดรัดรูปคล่องแคล่วสวมเกราะหนังซ่อนลายผูกเอวรัดอกสีน้ำตาลแดงตัวหนึ่ง เย็บด้วยด้ายทอง ประดับไพลินและทับทิมขนาดต่างกันหลายเม็ด

นัยน์ตาสว่างไสว หางตายกขึ้น คิ้วงามมุ่นเล็กน้อย ริมฝีปากหยกเม้มเบาๆ

แม้ตอนนี้กำลังโกรธเคือง แต่กลับยิ่งดูน่ารักมีเสน่ห์

หากคนงามเช่นนี้ยิ้มขึ้นมา ไม่รู้จะเป็นภาพแบบใด

สตรีมีเพียงสามท่าทางที่งดงามที่สุด

หนึ่งคือโกรธ สองคือดีใจ สามคือออดอ้อน

แน่นอน หมายถึงหญิงงาม

ที่จริงหญิงงามทำท่าทางแบบใดก็น่ามองทั้งสิ้น…อย่างแรกคือนางต้องยอมให้เจ้าเห็น

แต่สำหรับแม่นางคนอื่นเกรงว่าคงไม่โชคดีเท่านี้

ขอเตือนว่าพยายามทำให้พวกนางเบิกบานไว้เป็นดี…ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามยั่วโมโหพวกนาง ไม่อย่างนั้นตอนแม่หมูแก่ที่ชาวนาเลี้ยงในคอกหวงของกินดุร้ายเพียงใด นางโกรธขึ้นมาก็น่ากลัวเท่านั้น แม่ครัวที่ผัดกับข้าวรมควันโหมไฟอยู่หลังบ้านทุกวัน แต่ไม่สระผมอาบน้ำเกินครึ่งเดือนน่ารังเกียจเพียงใด นางออดอ้อนขึ้นมาก็ชวนพะอืดพะอมเท่านั้น

“คุณหนู ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ขอรับ…โรงเตี๊ยมพูนโชคของพวกเราเปิดกิจการจนถึงวันนี้ ยังไม่เคยเกิดเรื่องอย่างมีสิ่งแปลกปลอมหรือกลิ่นประหลาดในห้องมาก่อน รบกวนท่านนั่งรออยู่ในโถงสักครู่ ข้าจะไปตรวจสภาพการณ์ให้ท่านเดี๋ยวนี้!”

เจ้าของร้านโค้งขอโทษเป็นพัลวัน ให้เสี่ยวเอ้อร์พานางมานั่งในโถงและรินชาสดให้นางจอกหนึ่ง

“น้ำชาจืดเกินไป เอาเหล้าแรงมาไหหนึ่งแล้วเปลี่ยนเป็นชามใหญ่!”

แม่นางผู้นี้กล่าว

ผู้คนรอบๆ อดส่งเสียงประหลาดใจไม่ได้ เมื่อชายเสเพลจอมเจ้าชู้สองสามคนเห็นแม่นางผู้นี้อยากดื่มเหล้า ก็รู้สึกเหมือนสบโอกาสให้ฉกฉวย คิดจะลุกขึ้นเดินมาชวนคุย

‘ตึง!’

เพียงเห็นแม่นางพลันตบกระบี่สั้นชงโคเล่มหนึ่งลงบนโต๊ะ

คนเหล่านั้นเห็นแล้วรีบจัดเสื้อผ้านั่งตัวตรงเรียบร้อยทันที ไม่กล้าแม้แต่ชำเลืองสายตามองไปทางนั้นอีก

“แก่นกระบี่ตระกูลโอว?!”

ทังจงซงกับหลิวรุ่ยอิ่งพูดเป็นเสียงเดียวกัน

ตระกูลโอวเป็นตระกูลทำดาบหลอมกระบี่ที่มีชื่อเสียงแห่งใต้หล้า พวกเขาอยู่ในรัฐเวยใต้และรัฐจวินอาณาจักรผิงหนานอ๋อง

กระบี่ล้ำค่าที่พวกเขาผลิต ตัวกระบี่ดูหนาแน่นแต่ขณะเดียวกันต้องสั้นกว่ากระบี่ทั่วไปเล็กน้อย บริเวณก่อนคมกระบี่ยิ่งกว้างและเรียบลื่นดุจกระจก ทว่าดาบกลับเหมือนของตระกูลอื่น เพียงแต่การทำประณีตกว่ามาก ตรงด้ามจับมีห่วงเจาะทรงสามเหลี่ยมอันหนึ่งเพื่อบ่งบอกความแตกต่าง

‘กระบี่ตระกูลโอว ความยาวครึ่งแขน กว้างเท่าดวงตา หญิงงามแต่งโฉม’

นี่เป็นเพลงพื้นบ้านที่ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนโดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่รู้จักมาตั้งแต่เด็ก ต่อมากลายเป็นสูตรสี่วรรคที่เอาไว้แยกกระบี่แท้จากตระกูลโอว ความหมายคือตระกูลโอวไม่มีกระบี่ยาว ทั้งหมดเป็นกระบี่สั้นที่ยาวเท่าครึ่งแขนผู้ใหญ่ ตัวกระบี่กว้างเท่าระยะหนึ่งดวงตาโดยประมาณ ใสสะอาดดุจกระจก ต่อให้ลูกสาวในบ้านใช้ส่องหวีผมแต่งแต้มใบหน้าก็ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย

ตระกูลโอวใช้ระบบยกตำแหน่งให้ผู้มีความสามารถ ไม่ใช่ระบบส่งต่อรุ่นสู่รุ่น นี่เป็นวิธีที่รับรองได้ว่ามันจะสืบทอดจนถึงปัจจุบัน ฝีมือการผลิตไม่ตกต่ำและไม่สูญเสียความตั้งใจเดิม

ผู้นำตระกูลโอวรุ่นแล้วรุ่นเล่าล้วนคัดเลือกจากเด็กสาวและเด็กหนุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดในตระกูล หลังจากผ่านความยากลำบากและการแข่งขันมากมาย ย่อมแย่งชิงตำแหน่งมาได้ด้วยตนเอง

เทียบกับตระกูลมีอำนาจบางส่วนที่สืบทอดแค่บุรุษไม่ส่งต่อให้สตรี จุดนี้ตระกูลโอวก้าวหน้ากว่ามากอย่างไม่อาจเลี่ยง กระทั่งหากเจ้าไม่ใช่สายเลือดตระกูลโอว ขอแค่เจ้าตั้งปฏิญาณโลหิตตัดขาดกับอดีต ต่อไปจะจงรักภักดีต่อตระกูลโอว เท่านี้ก็สามารถได้รับการแต่งตั้งสกุลโอวแล้ว หากผ่านการทดสอบสามปีแล้วไม่มีความผิดใหญ่ก็เข้าร่วมการคัดเลือกผู้นำตระกูลได้เช่นกัน

และคนหนุ่มสาวที่ถูกคัดเลือกก็จะได้รับกระบี่ชงโคของตระกูลโอวเล่มหนึ่ง ทั้งยังได้ครองชื่อ ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอว ก่อนผู้นำตระกูลทุกรุ่นสละตำแหน่ง พวกเขาจะเลือกชายสามหญิงสามรวมเป็น ‘แก่นกระบี่’ หกคนไปแย่งชิงตำแหน่ง ‘บุตรแห่งกระบี่’ ของผู้นำตระกูลโอว

ในเมื่อกระบี่ชงโคอยู่ที่นี่ เช่นนั้นแม่นางผู้นี้ต้องเป็น ‘แก่นกระบี่’ รุ่นปัจจุบันของตระกูลโอวอย่างไม่ต้องสงสัย ตามกฎแล้ว ‘แก่นกระบี่’ แต่ละรุ่นล้วนต้องออกจากบ้านมาอยู่อิสระด้วยตนเองสามปี และพอผ่านไปสามปีก็ต้องกลับตระกูลโอวเพื่อทำศึกชิงนามครั้งสุดท้าย

“แค่นี้? เห็นข้าเป็นกระต่ายรึ?! ถึงเอาหญ้ามาให้จานหนึ่ง? ไปเชือดไก่สองตัวแล้วผัดเสีย อย่าลืมใส่พริกเยอะๆ ด้วย!”

‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอวผู้นี้เห็นเสี่ยวเอ้อร์ยกผักสีเขียวสดจานหนึ่งมาให้นาง พลันกล่าวด้วยความโกรธจัด

“ฮ่าๆ สหายรุ่ยอิ่งอยากเข้าไปคุยด้วยสักหนหรือไม่”

ทังจงซงกล่าวหยอกเย้าหลิวรุ่ยอิ่ง

“ดื่มเหล้าชามใหญ่ กินไก่ผัดเผ็ดมาก ดูแล้วนิสัยร้อนแรงเหมือนเหล้า ดุเดือดเหมือนพริก ทำไมต้องไปหาเรื่องใส่ตัวด้วยเล่า”

หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มพลางส่ายหน้า ในใจกลับนึกถึงเจ้าหมิงหมิง

‘ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านได้มอบหนังสือข้าให้นางหรือเปล่า…’

นั่นคือ ‘กฎการสัมผัสเสียง’ เล่มหนึ่ง อธิบายว่าตอนเขียนกลอนควรทำให้สัมผัสคล้องจองอย่างไรโดยเฉพาะ วันนั้นเจ้าหมิงหมิงคำนับขอร้องหลิวรุ่ยอิ่งให้อธิบายความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้หลิวรุ่ยอิ่งรับปาก แต่กลับต้องออกจากหัวเมืองรัฐติงด้วยมีเรื่องสำคัญ เขาไม่มีทางเลือกจึงคิดวิธีห่วยๆ อย่างการมอบหนังสือให้เล่มหนึ่งเป็นการขอโทษ

บนหน้าชื่อเรื่องยังมีสี่ประโยคที่หลิวรุ่ยอิ่งเขียนไว้ ‘จำใจวานฝาก ใจข้าคำนึง เฝ้ารอวันกลับ คืนสู่กาลเดิม’

ทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงมุมมืดหน้าทางเข้าโรงเตี๊ยมพูนโชค เขาพูดกับในโถงเสียงดังลั่น

“ดรุณีเยือนติ้งซีลำพัง ภูษาบางชื้นชุ่มหยาดน้ำฟ้า

ขี่กระบี่ชงโคสู่นภา รินสุราแปดทิศอุ่นสายชล

โบราณมาจอมยุทธ์ล้วนเป็นชาย บัดนี้ธารไหลเอื่อยจรดพรมแดน

เกราะเมฆดำเข้าคู่ชาดแดงงาม นงรามร่ายกระบวนจับใจยิ่ง!”

……………………

หน้าประตูวังติ้งซีอ๋อง ผู้คนเบียดเสียดกันแน่น

ล้วนกำลังอ่านประกาศอ๋องแผ่นหนึ่ง

บนนั้นเขียนไว้ว่าติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งอยากเชิญอาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่งให้ทังจงซงศิษย์ของเขา เมื่อผ่านแล้วได้รับการว่าจ้างจะตกรางวัลทองห้าพันชั่งก่อน จากนั้นเงินเดือนเท่ากับขุนนางบุ๋นขั้นสูงสุดในวังอ๋อง

เมื่อประกาศอ๋องออกมาทำให้ทั้งเมืองติ้งซีอ๋องครึกโครมอย่างยิ่ง บัณฑิตมากมายล้วนยืนอยู่หน้าประกาศอ๋องรีบร้อนอยากทดสอบความสามารถ เหมือนกับว่ารถม้าวิจิตร หญิงงามบ้านโอ่อ่าใกล้อยู่ตรงหน้าแล้ว

ทันใดนั้น ชายชราหนวดเครากระเซิงในชุดผ้าฝ้ายขาดคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านหลังกลุ่มคน เขาใช้มือผลักทั้งสองข้างออกเบาๆ ผู้คนทั้งหลายก็แยกออก จากนั้นเดินขึ้นหน้าไป สองนิ้วจับมุมหนึ่งของประกาศอ๋องไว้แล้วดึงมันลงมา

“ครั้งนี้เจ้ากับข้าได้เป็นศิษย์อาจารย์กันจริงแล้ว…”

บัณฑิตจางถือประกาศอ๋อง ใบหน้ามากประสบการณ์ปรากฏรอยยิ้ม

………………………………………..

[1] เมล็ดผลซิ่ง เมล็ดแอปริคอท

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท