บทที่ 66 คำนับฉินฝากตัวเป็นศิษย์ช่างตีเหล็ก-1
ระหว่างทางจากเมืองติ้งซีอ๋องไปถึงหอทรงปัญญายังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่ต้องผ่านนั่นคือเมืองจิ่งผิง
รอบทิศล้อมรอบด้วยป่ารกร้างสุดลูกหูลูตาไม่เห็นแม้แต่เงาผู้คน หลิวรุ่ยอิ่งและคนอื่นๆ ล้วนเลียบแม่น้ำมาตลอดทาง ครั้นถึงที่นี่กลับเปลี่ยนเส้นทางไปที่อื่น ยอดเขานับไม่ถ้วนไกลๆ ตัดสลับประหนึ่งฟันเขี้ยว สภาพการณ์มืดมนอ้างว้างเย็นยะเยือก ที่อื่นต้นวสันตฤดูแล้ว ที่นี่ยังมีเกล็ดน้ำค้างเต็มไปด้วยหิมะ หญ้าเฉาหักร่วงโรย แม้แต่สัตว์ปีกหรือสิงห์สาราสัตว์คล้ายจะสูญพันธุ์ไปแล้ว
“ที่นี่…ทำไมอึมครึมเพียงนี้เล่า”
โอวเสี่ยวเอ๋อถาม
“เมืองจิ่งผิงตั้งอยู่ศูนย์กลาง เป็นสมรภูมินักยุทธศาสตร์ทหารมาโดยตลอด ที่นี่เป็นสมรภูมิโบราณ…สามกองทัพมักแพ้ย่อยยับ ราษฎรในท้องถิ่นไม่กล้าออกไปข้างนอกในวันครึ้มฟ้าครึ้มฝนเพราะกลัวได้ยินเสียงผีสางคร่ำครวญ เลือดเหล่าทหารสิ้นชีพในสนามรบซึมอยู่ในแผ่นดินหลายปี จนหญ้าแทบจะไม่งอกเงย”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง
มองทิวทัศน์ตรงหน้า พลอยทำให้ความคิดมากมายผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย
ลมเหนือพัดพาทะเลอันกว้างใหญ่ ท้องฟ้าตลบอบอวลด้วยทรายเหลือง ทหารศัตรูฉวยโอกาสบุกโจมตี…พื้นที่ราบกว้างชักธงหลากสี กองทหารม้าหุ้มเกราะหนักควบม้าทะยานบุกโจมตีข้าศึกในหุบเขาธาราแล้ง ลูกธนูแหลมคมร่วงตกลงมาราวหยาดฝน ผู้ที่โชคดีหลบทันกลับถูกเม็ดทรายฟุ้งกระเด็นกระทบดวงตาจนบาดเจ็บ ขุนเขาธาราตกตะลึง เสียงดังอึกทึกดุจฟ้าผ่าพังทลาย
เสียงสงครามรบ…ค่อยๆ หยุดลง สายเกาทัณฑ์ของเหล่าทหารถูกตัดทำลายสิ้น รอยหยักนับไม่ถ้วนบนดาบล้วนเป็นจารึกสุดท้ายของชีวิตที่สูญเสีย ทว่าค่ำคืนอันยาวนานราวกับวิญญาณนับไม่ถ้วนรวมตัวกันบนท้องฟ้าโดยไม่เต็มใจแยกย้ายอยู่นานนัก ทำเอาท้องฟ้าหนักอึ้งจนแทบถล่มลงมา
แสงไฟเย็นยะเยือก สีจันทร์ขาวขุ่น มันคือนรกบนดินอย่างแท้จริง…
จิ่วซานปั้นที่มักจะสอดแทรกมุกตลกก็ไม่เปล่งเสียงเอ่ย เพียงเปิดน้ำเต้าสุราเงียบๆ แล้วเทสุราวนรอบตนเองบนพื้น
“นี่เจ้ากำลังทำสิ่งใด”
โอวเสี่ยวเอ๋อถาม
สถานที่แห่งนี้มืดครึ้มเช่นนี้ เดิมทีทำให้สตรีเช่นนางอึดอัดมากอยู่แล้ว ตอนนี้เห็นจิ่วซานปั้นแสดงท่าทางแปลกๆ ก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกตื่นกลัวเข้าไปอีก
“ที่นี่ไม่ใช่สมรภูมิโบราณหรอกหรือ ข้าเพียงแสดงความเคารพต่อวิญญาณผู้วายชนม์ที่นี่”
จิ่วซานปั้นพูดพร้อมกระดกสุราเข้าปาก
“…โลกนี้มีผีจริงหรือ”
โอวเสี่ยวเอ๋อถาม
“เจ้าคิดว่ามีเทพเซียนหรือไม่”
จิ่วซานปั้นย้อนถาม
“ข้า…ข้าไม่รู้”
โอวเสี่ยวเอ๋อพูดจบก็มองไปทางหลิวรุ่ยอิ่ง ราวกับรอคำตอบจากเขา
“ข้าก็ไม่รู้”
หลิวรุ่ยอิ่งพึมพำหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ทฤษฎีเรื่องผีสางเทพเจ้ามีมาตั้งแต่สมัยโบราณ…ไม่ว่าจะเป็นนิทานบนหมอนข้างเตียงกล่อมเด็กหรือผู้เฒ่าใช้ตักเตือนคนรุ่นใหม่ให้เป็นคนดีไม่กระทำชั่ว ล้วนเป็นนิทานบอกเล่าเพื่อเกลี้ยกล่อมหรือข่มขู่ที่คล้ายคลึงกันทั้งสิ้น
แต่ที่ไม่ต่างออกไปคือผีสางมักจะเป็นฝ่ายชั่วร้าย วิธีรับมือกับมันมีเพียงใช้ความรุนแรงและความชั่วร้ายเข้าสู้ ฉะนั้นจึงมีคำกล่าวที่ว่าผีมักกลัวคนชั่ว แต่ทั้งๆ ที่ผีสางนางไม้เหล่านั้นล้วนเป็นคนจนแสนอาภัพ เพียงเพื่อตอบสนองความปรารถนาที่ยังไม่สำเร็จในโลกมนุษย์เท่านั้น แต่ไยต้องรีบสังหารปลิดชีพพวกเขากันเล่า หลิวรุ่ยอิ่งไม่เคยคิดถึงปัญหานี้อย่างละเอียด เพราะในวัยเด็กเขาก็ถูกหลอกให้กลัวเช่นกัน
ผู้อาวุโสจากกรมสอบสวนเล่าให้เขาฟังว่า ‘คนกลัวตายมักเจอผีง่าย เพราะผีก็เฉกเช่นเดียวกับคน ล้วนกลัวการอยู่ลำพังจึงชอบหาคนอยู่เป็นเพื่อน โดยเฉพาะผีตัวใหม่ผิวบางเนียนนุ่มเช่นเขา!’ เมื่อใดที่พูดถึงตรงนี้จะไม่ลืมใช้มือแข็งกระด้างชักกระบี่จับดาบเป็นประจำจิ้มแก้มหลิวรุ่ยอิ่ง จนอดทำให้เขาตกใจตัวสั่นไม่ได้ จากนั้นทุกคนก็พากันหัวเราะแล้วเดินจากไป ตั้งแต่นั้นมาหลิวรุ่ยอิ่งโอ้อวดตนเองไปทั่วและเตือนตนเองทุกวันว่าไม่กลัวตาย! อย่ากลัวตาย! แต่สิ่งที่ควรกลัวก็ยังกลัวอยู่ดี ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
เวลาผันผ่านไปแล้วไม่ว่าจะกลัวหรือไม่ หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่เคยเจอผีสักครั้ง จึงเกิดสงสัยในคำพูดของผู้อาวุโสอย่างอดไม่ได้
ทุกวันนี้ ในสถานที่หลายแห่งยังล้าหลังจะคิดว่าการเจ็บป่วยคือผีเข้าสิง จึงเชิญนักพรตที่จับผีขับไล่มารชั่วร้ายได้โดยใช้กระบองคบไฟทุบตีร่างกายผู้ป่วย แต่ไม่นานนักผู้ป่วยก็เสียชีวิต จากมุมมองนี้ ทฤษฎีเรื่องผีและเทพเจ้ากลับไร้น้ำหนักพอให้เชื่อ แต่ก็มีคนลิ้นและหูสองข้างขาดในชั่วข้ามคืนเพราะคุยโวโอ้อวดโพล่งวาจาดูหมิ่นผีสางและเทพเจ้า สิ่งนี้ควรอธิบายอย่างไร
หลิวรุ่ยอิ่งโคลงศีรษะ พยายามสะบัดความคิดไม่เป็นเรื่องเหล่านี้ทิ้งไป อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็เป็นถึงนายกองกรมสอบสวนกลาง ไม่ใช่เด็กน้อยที่ต้องใช้ผ้าห่มคลุมโปงนอนตอนกลางคืนและหวังว่าจะรุ่งเช้าเร็วๆ อีกต่อไป
ทะลุผ่านสมรภูมิโบราณผืนนี้ไป มีเนินเขาโล้นเล็กๆ ทอดยาวต่อเนื่อง
ทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งเห็นทั้งสองคนควบม้าทะยานไปทางด้านขวาใกล้กับเนินเขา
“เฮ้!”
จิ่วซานปั้นตะโกนเสียงดังโบกไม้โบกมือไปทางฝั่งนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ทันหยุดห้าม แต่จิตใจกลับเตรียมพร้อมระวังแล้ว โชคดีที่คนทั้งสองได้ยินเสียงตะโกนนี้ เพียงสำรวจดูรอบๆ เล็กน้อยและโบกมือให้อย่างเป็นมิตร
“เจ้าไม่ต้องกังวลถึงเพียงนั้น โลกนี้ยังมีคนดีอีกมาก!”
จิ่วซานปั้นพูดแกมหัวเราะกับหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งมองใบหน้ายิ้มแย้มของจิ่วซานปั้นจึงลังเลที่จะกล่าว แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วก็ช่างมันเถิด เกรงจะไปทำลายเลือดอันเร่าร้อนของเขาเข้า
เมื่อเดินตามเนินเขาไปจนสุดจะพบกับช่องเขา หลังจากทั้งสามควบม้าเข้าไป ยังไปได้ไม่กี่ลี้ ภาพปรากฎแก่สายตาเปลี่ยนไปอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินในทันที
ความหดหู่และความหนักอึ้งก่อนหน้านี้สลายไปจนสิ้น ทำให้ผู้คนเบิกบานสว่างสดใสในทันใด
เมืองจิ่งผิงไม่ใหญ่นัก เดินไปตามถนนสายหลักไม่กี่ร้อยก้าวก็สุดเขตแล้ว
บ้านเรือนในเมืองสลับกันเป็นสัดส่วน ล้วนก่อสร้างด้วยอิฐสีเทากระเบื้องหลังคาสีดำ แม้จะตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ก็มีเอกลักษณ์ของอาณาจักรผิงหนานอ๋อง ใจกลางเมืองมีบ่อน้ำบ่อหนึ่ง น้ำที่ไหลมาจากสารทิศและไหลผ่านทุกครัวเรือน มีต้นไม้สูงตระหง่านข้างบ่อน้ำ ทรงพุ่มต้นไม้กว้างใหญ่ ร่มเงาปกคลุมพื้นที่เกือบหนึ่งในสามของเมือง
“ที่นี่เหมือนหมู่บ้านของข้ายิ่งนัก”
จิ่วซานปั้นพินิจพิเคราะห์โดยรอบ กล่าวอย่างนึกดีใจ
คนต่างแดนจากที่อื่นย่อมต้องหวนนึกถึง แม้จิ่วซานปั้นจะจากบ้านไปได้ไม่นาน แต่ส่วนมากครั้งแรกของทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้
วันเวลาผ่านไปนานก็พลันจืดจาง กระทั่งรู้สึกว่าร่างกายและจิตใจไม่อาจอยู่ในที่แห่งเดียวได้ มักจะต้องการไปยังสถานที่ห่างไกลยิ่งกว่าและหมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกของการอยู่บนท้องถนน
คนมากมายเอาแต่วิ่งเต้นไปตลอดชีวิต มันเป็นความหลงใหลที่กินเวลาไปนานชั่วชีวิต แต่บางคนเดินทางไปเรื่อยๆ จนเริ่มเกลียดชังถนนใต้ฝ่าเท้า เหล่านี้ล้วนเป็นธรรมชาติของมนุษย์
เพียงแต่คนเช่นนี้มักจะมีจุดจบกลายเป็นคนไร้บ้านให้กลับในที่สุด ทำได้เพียงปลอบใจตนเองว่า ‘ใต้หล้ากว้างใหญ่ มหาสมุทรสี่ทิศล้วนเป็นบ้าน’ และจบลงอย่างเร่งรีบ
เมืองนี้แบ่งเป็นฝั่งเหนือและฝั่งใต้ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
โอวเสี่ยวเอ๋อลงจากม้าย่างกรายเข้าไปในเมือง นางกลัวว่าเสียงกีบม้าจะทำลายความเงียบสงบของเมือง จะว่าไปก็น่าแปลก แม้ว่าในเมืองนี้จะครึกครื้นผู้คนเข้าออกมากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดปรายตามองคนจากต่างแดนเช่นพวกเขาทั้งสามคน
‘เช่นนี้ก็ดี…คงเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางแยกถนนสายสำคัญ ชาวเมืองจึงเคยชินกระมัง’
หลิวรุ่ยอิ่งคิดในใจ
“เจ้าดูเหมือนจะชอบที่นี่มาก?”
โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นสีหน้ามีความสุขของจิ่วซานปั้นจึงเอ่ยถาม
“ใช่แล้ว ถนนสายเล็กเชื่อมต่อกัน อยู่ใกล้จนได้ยินเสียงไก่ขันสุนัขเห่า อากาศมีกลิ่นดินชื้นแฉะและมูลวัว เหมือนหมู่บ้านของข้าเปี๊ยบ”
เมื่อพูดถึงความตื่นเต้น จิ่วซานปั้นถึงกับกางแขนราวกับอยากโอบกอดทั้งเมืองจิ่งผิงอย่างไรอย่างนั้น
โอวเสี่ยวเอ๋อแย้มยิ้ม นางก็ชอบที่นี่มาก
นางชอบความเงียบสงบของที่นี่ ชอบความสดชื่นและความสะอาดของที่นี่ เฉกเช่นเดียวกับหมู่บ้านของจิ่วซานปั้น ตลอดชีวิตของผู้คนในเมืองจิ่งผิงแทบจะไม่เคยออกจากที่นี่เลย เกิดแก่เจ็บตายต่างเฝ้ารักษาต้นไม้ต้นนี้และบ่อน้ำนี้ไว้ สิ่งที่แตกต่างคือหมู่บ้านของจิ่วซานปั้นน่าจะแยกออกจากโลกภายนอก แต่เมืองจิ่งผิงเป็นสถานที่สำหรับผู้สัญจรไปมา
ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สลับซับซ้อน แต่กลับสามารถอยู่ลำพังได้โดยไม่ถูกรบกวน หากกล่าวว่าโลกนี้มีแดนสวรรค์ นั่นต้องไม่ใช่สถานที่ที่เรียกกันว่าขุนเขารายล้อมไปด้วยกลีบเมฆ แต่เป็นที่นี่ต่างหาก
“ขอถาม…”
“ทางเหนือมีร้านอาหารและโรงเตี๊ยม”
ก่อนที่หลิวรุ่ยอิ่งจะพูดจบ คนผู้นี้ก็เริ่มพึมพำกับตนเอง
ไม่น่าแปลกใจนักที่คนต่างแดนมาที่นี่เพียงต้องการพักผ่อนและรีบเดินทางต่อ แค่ทานอาหารดื่มชาสักมื้อ หรือแม้แต่นอนหลับพักผ่อนทั้งคืนแล้วจากไปในที่สุด
“ทางใต้มีสิ่งใด”
โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยถาม
นางรู้สึกว่าทางใต้ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ถูก
“ทางใต้หรือ ร้านตีเหล็กน่ะ”
คนผู้นี้เคาะกล้องยาสูบข้างบ่อน้ำพลางกล่าว
ครั้นโอวเสี่ยวเอ๋อได้ยินคำว่าร้านตีเหล็กพลันตื่นเต้นทันที ถึงอย่างไรสกุล ‘โอว’ นี้ไม่ได้เรียกเปล่าๆ เรื่องถลุงเหล็กทำลายทองอยู่ในกระดูกและสายเลือดมาช้านาน ขณะนั้นจึงไม่สนใจคนที่เหลือทั้งสอง รุดหน้าไปทางใต้ตามอำเภอใจจะต้องไปเยี่ยมชมร้านตีเหล็กแห่งนั้นให้จงได้
‘แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง!’
มีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวมาจากด้านหน้าเล็กน้อย แต่เสียงที่มาถึงหูของโอวเสี่ยวเอ๋อฟังดูแล้วราวกับเสียงระฆังดังประสานแสนไพเราะ ฝีเท้าก้าวเร็วขึ้นเรื่อยๆ รอไม่ไหวจนแทบจะเหาะบินอยู่แล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งและจิ่วซานปั้นตามอยู่ด้านหลัง เขาทั้งสองเป็นห่วงสตรีที่วิ่งพล่านไปทั่วสถานที่ไม่คุ้นเคยเพียงลำพังจริงๆ แม้ว่าชาวเมืองที่นี่จะดูซื่อสัตย์ แต่อย่างไรเสียในวังสรรค์ยังมีเทพเซียนชั่วร้าย ฉะนั้นใครจะรับประกันเรื่องนี้ได้เล่า
ทั้งสามคนตามหาเสียงจนในที่สุดก็พบร้านตีเหล็กแห่งนี้ เห็นเพียงร่างชายฉกรรจ์สูงชะลูดประมาณแปดฉื่อเห็นจะได้ หากไม่โน้มตัวเล็กน้อยเพื่อตีเหล็กละก็ ศีรษะคงทะลุเพิงตีเหล็กแห่งนี้ไปแล้ว
ชายฉกรรจ์เปลือยท่อนบน ดูเหมือนจะตีเหล็กในร้านเพียงลำพัง จวบจนทั้งสามเข้าใกล้ ไม่มีสหายร่วมงานออกมาต้อนรับใดๆ
หยาดเหงื่อเกาะตามไรผม หน้าผาก ช่วงคอและแผ่นหลังกระจุกแล้วกระจุกเล่า ครั้นมองโดยละเอียดดูเหมือนว่าไม่ได้อาบน้ำแปรงผมมานานแล้ว
“ทั้งสามท่านมีธุระใดหรือ”
คนผู้นี้ไม่ได้หันกลับมา แต่ทุบค้อนหลอมเหล็กบนมือไม่หยุดพลางเอ่ยถาม
หลิวรุ่ยอิ่งและจิ่วซานปั้นไม่รู้จะตอบเช่นไร แต่โอวเสี่ยวเอ๋อกลับอุทิศกายใจให้ทักษะทุบของเขาไปจนสิ้น ดวงตาเผยความประหลาดใจ ตกอยู่ในภวังค์
“นะ…นี่!”
แม้แต่โอวเสี่ยวเอ๋อ ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอวก็ยังไม่เคยเห็นทักษะตีเหล็กยอดเยี่ยมเช่นนี้มาก่อน หินเหล็กรูปทรงประหลาดชิ้นหนึ่งถูกทุบตีและขึ้นรูปด้วยมือของชายฉกรรจ์อย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นแท่งเหล็กหยาบลวกๆ จากนั้นทั้งเคาะตีทั้งหักซ้ำไปมาเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่าขั้นตอนนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงตระกูลโอว แม้แต่ช่างตีเหล็กทั่วหล้าก็ทำตามขั้นตอนเหล่านี้ทั้งสิ้น เพียงแต่คนผู้นี้มีจังหวะการเหวี่ยงค้อนที่เป็นเอกลักษณ์เสมอ ประหนึ่งก้อนเหล็กในมือเขาไม่ใช่ของตายแต่เป็นจิตวิญญาณที่มีชีวิต ในแต่ละจังหวะการทุบของเขาเหมือนสื่อสารกับก้อนเหล็กไว้ล่วงหน้า มักจะเคาะในตำแหน่งที่เหมาะสมพอดี ครั้นเป็นเช่นนี้ หนึ่งทุบของเขากลับมีค่าเท่ากับการทุบสี่ถึงห้าครั้งของช่างตีเหล็กทั่วไปทีเดียว
หากหลอมก้อนเหล็กไม่มากพอ จะสูญเสียความเหนียว หากหลอมมากไปจะเปราะและแตกหักง่าย ดังนั้นเวลาที่ใช้ทุบตีมากไปหรือน้อยไปก็ไม่ดี และเนื่องจากคุณสมบัติหินเหล็กแต่ละก้อนต่างกัน แม้แต่หินเหล็กชุดเดียวกันผลิตในที่เดียวกันก็ยังแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ฉะนั้นอาชีพช่างตีเหล็กจึงไม่เคยเป็นอาชีพที่สามารถทำได้ตามตำรามาโดยตลอด
เจ้าอาจจะบอกว่ามันยาก แต่หากพบอาจารย์ที่ดีอุทิศตนเพื่อการสอนก็จะก้าวหน้ารวดเร็วแน่นอน เจ้าอาจจะบอกว่ามันไม่ยาก หากคุณสมบัติและความเข้าใจของตนยังไม่ดีมากพอ เช่นนั้นไม่ว่าผู้ใดก็อับจนหนทาง อย่างไรเสียหากเจ้าเขียนบทประพันธ์ได้แย่ก็ยังสามารถขอให้อาจารย์ช่วยขัดเกลาได้ หากทักษะการบู๊ไม่เชี่ยวชาญ เช่นนั้นฝึกฝนอยู่ตลอด ความขยันจึงจะสามารถลบจุดอ่อนได้
แต่การตีเหล็กแตกต่างออกไป หากมีเพียงความฉลาดแต่ไม่มีร่างกายกำยำก็ใช้ไม่ได้ ถึงอย่างไรเตาหลอมมีอุณหภูมิสูงมากและค้อนตีเหล็กก็หนักมาก หากไม่ได้ดึงกล่องสูบลมสองสามครั้งตนอาจทรุดตัวด้วยความเหนื่อยล้าก่อนจะยกค้อนขึ้นเหนือหัวด้วยซ้ำ แล้วจะสร้างกระบี่เทพไร้เทียมทานได้อย่างไร
ในทำนองเดียวกัน หากใช้ได้เพียงพละกำลังดันเครื่องกระทุ้งสุดชีวิตขณะล้อมโจมตีเมืองมันได้ผลแน่นอน แต่หากใช้วิธีเดียวกันรับมือก้อนเหล็กในมือ เช่นนั้นก็หนีเสือปะจระเข้ บอบช้ำทั้งสองฝ่าย ไม่เพียงตีเหล็กไม่ได้ แม้แต่แขนอาจจะบาดเจ็บจากแรงกระแทกกลับ สุดท้ายได้ไม่คุ้มเสีย…
โอวเสี่ยวเอ๋อมองฝีมือและท่วงท่าของชายฉกรรจ์ คล้ายกับมีเอกลักษณ์และเป็นธรรมชาติทีเดียว แม้ขั้นตอนจะเหมือนร้านอื่น แต่การควบคุมแรง มุมกวัดแกว่งค้อนและความถี่ในการกระแทกล้วนถูกเขาควบคุมอย่างเคร่งครัด นางยังค้นพบว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้จะยกค้อนขึ้นเหนือศีรษะเจ็ดชุ่นแปดเฟิน[1]ทุกครั้งและทุบต่อเนื่องเกือบร้อยครั้งไม่คลาดเคลื่อนเพียงนิด
………………………………………………………………..
[1] เจ็ดชุ่นแปดเฟิน ประมาณ 2.22 เซนติเมตร