บทที่ 68 อาทิตย์อัสดงหยาดฝนเลือดแห่งการเดิมพันครั้งสุดท้าย-1
ผู้ลั่นวาจาถามไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นมนุษย์แท่งน้ำแข็งที่ตั้งแผงตำราริมทางโจมตีสังหารเขา หลังจากที่หลิวรุ่ยอิ่งดื่มสุรากับเจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลแล้วออกมาจากโรงเตี๊ยมพูนโชคในคืนนั้นที่หัวเมืองรัฐติง
แม้ว่าในยามนี้เขาไม่ได้สวมหน้ากาก แต่รูปร่าง ความดุดันและน้ำเสียงเหมือนคืนนั้นไม่ผิดเพี้ยน หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกได้ทันทีว่ามันใช่
“โอ้! เจ้าหนุ่มพลังเหลือล้นเสียจริง! ว่าแต่…เพิงนี่แข็งแกร่งเพียงนี้เลยหรือ นึกถึงตอนนั้นข้าสร้างมันไม่ได้ตอกเสาสักต้น.…”
ช่างตีเหล็กผู้หยาบกระด้างมองหลิวรุ่ยอิ่งยืนอยู่บนหลังคาร้านตีเหล็กพลางลูบเคราบนใบหน้าของตนและกล่าว
“ดูเหมือนจะรับงานนี้ไม่ได้เสียแล้ว…”
ช่างตีเหล็กส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาเล็กน้อย
โอวเสี่ยวเอ๋อได้ยินคำพูดเหล่านี้ของช่างตีเหล็กจึงอดเบิกตากว้างไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ตรงหน้าเป็นศัตรูพานพบ ไม่ตายไม่เลิกรา! แต่ท่านยังมีใจมาห่วงว่าเพิงแข็งแรงหรือไม่ งานตีเหล็กนี้จะสร้างรายได้หรือไม่ ผู้ที่มีความสามารถในใต้หล้าล้วนแปลกประหลาดถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เฉกเช่นบางคนมักจะเย่อหยิ่งในพรสวรรค์ความสามารถพิเศษจนสิ่งรอบตัวและทุกคนตรงหน้าไม่อยู่ในสายตา แม้คนเช่นนี้จะน่ารำคาญ แต่ท้ายที่สุดก็สมเหตุสมผล อย่างไรเสียผู้อื่นก็มีพรสวรรค์หนุนหลังอยู่ไม่ใช่หรือ นั่นคือการเหนือกว่าผู้อื่น ไม่ว่าจะมีสติปัญญาเหนือชั้นแต่กำเนิด ไม่ว่าจะมานะสร้างจนโดดเด่นเหนือผู้อื่น ไม่ว่าอย่างไรก็แตกต่างจากพวกเสเพลคนมืดฟ้ามัวดินกลุ่มนั้น
ไม่เอ่ยถึงผู้อื่น โอวเสี่ยวเอ๋อเองก็เป็นคนเช่นนี้
ในบรรดา ‘แก่นกระบี่’ รุ่นปัจจุบันของตระกูลโอว นางถือได้ว่ามีคุณสมบัติดีที่สุด สติปัญญาสูงสุด ตั้งแต่เล็กไม่ว่าจะเป็นด้านร่ำเรียน ฝึกยุทธ์หรือหลอมกระบี่นางเป็นที่หนึ่งทุกด้าน ช่วงนั้นเรียกได้ว่าเด็กน้อยนำโชค ผู้ใหญ่สรรเสริญ ชีวิตมีความสุขยิ่งนัก!
แต่ต่อมา บุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ของนางก็ค่อยๆ กลายเป็นทนไม่ไหว…บางครั้งสหายวัยเด็กรู้สึกว่านางรุนแรงเข้มงวดเกินไปจนแปลกแยกจากนาง เหล่าผู้อาวุโสไม่เคยมอบความไว้วางใจด้วยกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเพราะความไร้เมตตาของนาง และประพฤติตนไม่กลมเกลียวกับสังคมมากพอ
ในตอนแรก นางยังโหยหามิตรภาพ ความรักและความเชื่อใจ แต่นางก็ค้นพบอย่างช้าๆ ว่าบางสิ่งที่สูญเสียไปแล้วไม่มีวันหวนกลับคืน ยิ่งกว่านั้นนางไม่จำเป็นต้องไล่ตามกลับคืนมา แค่มองดูพี่น้องร่วมตระกูล จัดการดูแลสถานที่บางแห่งและนำผลกำไรที่มองเห็นจับต้องได้มาสู่ตระกูลเพียงเท่านั้นก็พอ
เงินทองย่อมมีค่าอย่างแน่นอน แต่ต่อให้เงินทองมากมายเพียงไหนก็เทียบกับยอดอัจฉริยะพรสวรรค์ไร้เทียมทานไม่ได้
เรื่องพรสวรรค์ล้วนไม่มีผู้ใดรู้แจ้ง นี่ไม่ใช่โลกเทพเซียนในนิทานปรัมปรา ก่อนคลอดมารดาดื่มยาต้มชนิดใด หลังคลอดทารกกินยาอายุวัฒนะชนิดใด จากนั้นกลายเป็นคนมีกระดูกรากยอดเยี่ยมและพรสวรรค์โดดเด่นเป็นเลิศ ไม่ว่าจะฝึกฝนหรือใช้ชีวิตล้วนก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
ความเป็นจริงที่แท้จริงก็คือ เด็กหลายคนที่เกิดจากท้องมารดาล้วนแบ่งออกเป็นอัจฉริยะและโง่เขลา สิ่งนี้จะซื้อได้ด้วยเงินหรือแก้ไขด้วยกำลังคนได้อย่างไร
โอวเสี่ยวเอ๋อค่อยๆ คิดจนกระจ่างแล้วเช่นกัน บางคนแตกต่างตั้งแต่ลืมตาแล้ว นางไม่จำเป็นต้องพร่ำบ่นเสียใจ ตราบใดที่ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ตนมีให้ดี เช่นนั้นก็มักจะรู้สึกสบายใจยิ่งกว่าคนอื่นเสมอ เป็นไปตามคาด หลังจากประกาศรายชื่อ ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอวชุดใหม่ โอวเสี่ยวเอ๋อสามคำนี้อยู่ในอันดับต้นๆ ของรายชื่อ
ความสูญเสียที่นางเคยหวงแหนเหล่านั้น หวนคืนกลับมาทั้งหมดในชั่วข้ามคืน แต่สิ่งเหล่านี้กลับทำให้นางยิ่งดูแคลนและรังเกียจ เย่อหยิ่งจองหองอย่างเปิดเผย ไม่เชื่อฟังก็ต่อว่า ไม่ยอมก็ทุบตี ตื่นขึ้นก็ฝึกตน ฝึกเสร็จดื่มสุรา คิดไม่ถึงว่าจะสบายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนถึงเพียงนี้
ดังคาด มนุษย์ต้องใช้ชีวิตตามใจตนเองเสียหน่อย ตามใจตนเองไม่ได้หมายถึงเห็นแก่ตัวเห็นแก่ผลประโยชน์ ละโมบโลภมาก แต่หมายความว่าทุกคนควรให้ความสำคัญกับเรื่องของตน ดูแลควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตนให้มากขึ้น
ต่อให้เป็นกลุ่มหนึ่งก็ประกอบไปด้วยบุคคลทีละคน ตระกูลโอว กรมสอบสวนล้วนเป็นเช่นนี้ อันที่จริงหลายครั้งที่ขัดแย้งกับตนเอง แต่ตราบใดที่สามารถทำให้ตนเองสบายใจ เช่นนั้นทุกสิ่งรอบตัวจะดีขึ้นมากจริงๆ
ตรงจุดนี้โอวเสี่ยวเอ๋อรู้แจ้งแล้ว เพียงแต่สิ่งที่นางทำเป็นเรื่องภายนอกเกินไป ส่วนหลิวรุ่ยอิ่งนั้นแย่ที่สุด แม้แต่ความคิดประเภทนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นแม้แต่น้อย…แต่ระดับของจิ่วซานปั้นกลับเทียบได้กับระดับของช่างตีเหล็กอาวุโสผู้หยาบกระด้างผู้นี้
“ลูกศิษย์ สู้ให้ดี! ข้าไม่เก็บเงินเจ้าค่าฝากตัวเป็นศิษย์ แต่หากเพิงนี้เสียหายเจ้าต้องชดใช้ให้ข้า!”
ช่างตีเหล็กพูดกับหลิวรุ่ยอิ่งที่อยู่บนเพิงหลังคา
“ขอถามท่าน สหายทั้งสองของข้าไม่เคยพบเจอท่านและไม่ทราบว่าล่วงเกินท่านที่ใด ไม่ทราบว่านี่หมายความว่าสิ่งใด”
มนุษย์แท่งน้ำแข็งเป็นคุณชายพันหน้าจริงๆ…ครั้นเห็นหลิวรุ่ยอิ่งกลิ่นอายรอบตัวพลันเปลี่ยนไป ทักษะการแสดงเป็นธรรมชาติยิ่ง
แม้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะมั่นใจเช่นนี้ กลับลังเลอยู่หลายส่วน แต่เมื่อเขาเห็นคนที่อยู่ข้างหลังมนุษย์แท่งน้ำแข็งสะพายธนูบนหลัง ก็ยิ่งมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
หลิวรุ่ยอิ่งก้าวเท้าเบาๆ หมายจะแทงมนุษย์แท่งน้ำแข็งในกระบี่เดียว
มนุษย์แท่งน้ำแข็งเห็นหลิวรุ่ยอิ่งถือกระบี่เข้าสังหารโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ตอนนั้นถึงได้ประจักษ์ว่าตัวตนของเขาถูกเปิดเผยแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้จึงเลี่ยงไม่ได้
แต่ในใจของเขากลับรู้สึกมีเสียงเต้นระรัวดุจตีกลองอยู่บ้าง
ครั้งก่อน ตนอาศัยระดับบรมภูมิ ทั้งยังมีสหายนักธนูคอยช่วยเหลืออยู่ด้วย แต่ก็ยังถูกหลิวรุ่ยอิ่งสังหารตนทั้งสองจนสูญเสียชุดเกราะไป
ครั้งนี้มีบทเรียนจากครั้งก่อน กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปของหลิวรุ่ยอิ่งก้าวขึ้นไปถึงอีกขั้นเรียบร้อย ครั้นมองดูฝ่ายตรงข้าม นอกจากช่างตีเหล็กคนนั้นแล้ว ดูเหมือนยังมีทัพหลังอีกสองคน
มองย้อนกลับมาที่ฝั่งตนเอง ยอดนักธนูถูกเขาเปิดเผยตัวตนแล้ว ตอนนี้ยิ่งเป็นช่วงกลางวันแสกๆ ไม่มีทางหลบซ่อนได้
โอกาสเช่นนี้ คนไม่ได้อยู่เคียงข้างเขา จะสู้อย่างไร โชคดีที่สถานที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากหอทรงปัญญา ไม่แน่ว่าหากล่าช้าอาจพลิกผันได้บ้าง!
ขณะนั้นเองเขาตัดสินใจเลือกกลยุทธ์แล้วพลันถอยกลับไปสองสามก้าว วางสถานการณ์เปิดช่องแนวระหว่างหลิวรุ่ยอิ่ง สองมือหันเข้าหากันด้านหน้าวาดเป็นครึ่งวงกลม ผนึกสร้างโล่น้ำแข็ง
เคลื่อนไหวครั้งนี้ฉลาดยิ่งนัก
โล่น้ำแข็งไม่ได้ต้านทานการเคลื่อนไหวกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่ง แต่กลับสะท้อนแสงแรงกล้าของดวงอาทิตย์จนรบกวนการมองเห็นของเขา
แม้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะอาศัยแรงผลักที่ตกลงมา ปลายกระบี่คมกริบ แต่มนุษย์แท่งน้ำแข็งตัดสินใจใช้กลอุบายและแน่นอนว่าจะไม่สู้กับเขาซึ่งหน้า
เป็นไปตามคาด ผลกระทบจากโล่น้ำแข็ง การมองเห็นของหลิวรุ่ยอิ่งถูกลำแสงเจิดจ้าจนภาพตรงหน้าพร่ามัวจำต้องใช้แขนบดบัง หลังจากรอเขาเปลี่ยนมุมสะท้อนกลับพบว่ายอดนักธนูผู้นั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
‘เวรเอ๊ย! ติดกับจนได้…’
หลิวรุ่ยอิ่งแอบต่อว่าในใจ
แม้ว่ายังมีช่องว่างระหว่างความสามารถของตนกับเขา แต่ด้วยทักษะวิชากระบี่ชั้นยอดของกระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป และการพิชิตพลังธาตุไฟของเขา ครั้งก่อนจึงเอาชนะได้อย่างหวุดหวิด
แต่หากกล่าวถึงประสบการณ์การต่อสู้ครั้งนี้ละก็ หลิวรุ่ยอิ่งพยายามเต็มที่แล้ว แต่กลับตามเขาไม่ทันแม้แต่นิ้วเดียว
มนุษย์แท่งน้ำแข็งเห็นสหายเข้าใจความหมายของตนในพริบตาจึงอาศัยโอกาสที่หลิวรุ่ยอิ่งถูกลำแสงเจิดจ้ารบกวนสายตาหลบซ่อน ตอนนี้จึงรู้สึกโล่งใจ
คราวนี้ จึงใช้โอกาสนี้ยึดพื้นที่และผู้คนครึ่งหนึ่งกลับคืนสู่มือของตนเองได้อีกครั้ง หลิวรุ่ยอิ่งมองดูสถานการณ์ตรงหน้าพลันหัวเราะดังลั่น
“ครั้งก่อนก็เป็นเช่นนี้…เพียงแต่เจ้าเข็นแผงตำราโทรมๆ ครั้งนี้หากยังอยากใช้แผนเดิมซ้ำอีกละก็ เช่นนั้นเจ้าเดินหมากผิดแล้วจริงๆ!”
ระหว่างที่หลิวรุ่ยอิ่งพูด กระบี่พุ่งฟันบ้านฝั่งตรงข้ามร้านตีเหล็ก
“ดึงกระบี่เพลิงสวรรค์ทลายสุริยันสว่าง!”
เมื่อออกกระบี่ แสงสว่างเจิดจ้าหมื่นจั้ง
ผู้ที่ผ่านไปมาพบว่าเหมือนมีดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าสองดวงแต่กำเนิด
เพียงใหญ่หนึ่งดวง เล็กหนึ่งดวง
แต่ ‘สุริยัน’ ดวงเล็กนี้แฝงไปด้วยพลังรุนแรงทำลายล้างยิ่งกว่า ค่อยๆ กลายเป็นแสงกระบี่ตั้งตรง พุ่งตรงขึ้นฟ้าผ่าโลกกว้างใหญ่นี้ออกเป็นสองส่วน
แสงกระบี่กระจายออก ความร้อนกระทบใบหน้า มนุษย์แท่งน้ำแข็งร้อนรนรีบผนึกโล่น้ำแข็งหนาต้านทานอีกครั้ง
อันที่จริงจุดรวมประสาทสองแขนของเขายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าใช้พลังปราณมากเกินไป แต่แสงกระบี่นี้ราวกับลมร้อนซ่อนคมละลายโล่น้ำแข็งหนาทีละน้อยจนเหลือเพียงชั้นบางๆ เท่ากระดาษแผ่นบาง
ทว่าคมกระบี่นั้นเร็วยิ่งกว่าแสงกระบี่
ก่อนแสงกระบี่จะแผ่ซ่าน คมกระบี่สัมผัสกับเสาผนังของบ้านเรือนแล้ว…
ด้วยแรงเสริมจากพลังธาตุไฟ เสาประตูแตกออกราวกับหั่นแตงสับผัก
สูญเสียแรงพยุง บ้านเรือนทั้งหลังจึงถล่มลงมา แม้แต่บ้านรอบๆ แทบทั้งหมดล้วนได้รับผลกระทบเช่นกัน…
แต่ท่ามกลางฝุ่นตลบและเศษกระเบื้องกลับเผยร่างสภาพอนาถของยอดนักธนูที่เตรียมยิง
“จุ๊ๆๆ โชคดีที่เหล่าหวังข้างบ้านเป็นโรคข้ออักเสบมานานหลายปี ครั้นถึงวันเริ่มเข้าฤดูหนาวจึงไปอาณาจักรผิงหนานอ๋องเพื่ออบอุ่นร่างกาย ไม่เช่นนั้นบ้านนี้พังลงจะต้องมีคนตายเป็นแน่!”
ช่างตีเหล็กชี้ไปทางหลิวรุ่ยอิ่งที่ต่อสู้อย่างดุเดือด พูดกับจิ่วซานปั้นและโอวเสี่ยวเอ๋อ
“โรคข้ออักเสบคือสิ่งใด”
จิ่วซานปั้นถาม
“โรคข้ออักเสบเป็นอัมพาตชนิดหนึ่ง แม้จะเรียกว่าโรคข้ออักเสบ แต่ทุกครั้งที่มีอาการมักจะแสบร้อนปวดบวม ไม่ว่าจะโดนลมหนาวชื้นลมปราณร้ายพัดเข้าร่างกาย หรือจะภาวะบกพร่องในร่างกาย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร หากเป็นคนร่างกายแข็งแรงก็ไม่เป็นอันใด แต่เหล่าหวังนั่นบอบบางเหลือเกิน! แต่ก่อนเดินทางไปค้าขายผ้าขนสัตว์ทั่วสารทิศเก็บสะสมทรัพย์สินได้ไม่น้อย แต่กลับแต่งภรรยาหลวงภรรยาน้อยหลายหลัง แต่ละคนมีน้ำมีนวลยิ่งกว่าอีกคน…ปรากฏว่าไปๆ มาๆ เงินเก็บที่มีอยู่เหล่านั้นถลุงไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงโรคภัยไข้เจ็บ ไม่สิ ตอนนี้แก่ชราแล้วจึงเริ่มรักตัวกลัวตายขึ้นมา”
ช่างตีเหล็กเบะปากกล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อนับว่าเข้าใจแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่สนว่าจะสู้เป็นหรือสู้ตายตรงหน้า ตราบใดที่เขาไม่แตะพื้นที่หนึ่งในสามของร้านตีเหล็ก เขาก็ไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
ตอนนี้ยังมีเวลามาพูดคุยเรื่องโรคข้ออักเสบกับจิ่วซานปั้น พูดคุยเรื่องเหล่าหวังเพื่อนบ้านของเขา
“พวกท่าน…”
คำพูดของโอวเสี่ยวเอ๋อติดอยู่ริมฝีปากและเมื่อคิดว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ ทันใดนั้นจึงชักกระบี่ชงโคเตรียมรุดเข้าไปช่วยเหลือ ทั้งสามออกจากเมืองติ้งซีอ๋องจนมาถึงที่นี่ด้วยกัน ตกลงเป็นสหายร่วมกลุ่มแล้วก็คือสหายร่วมกลุ่ม หากขาดไปเพียงหนึ่งคนก็ไม่นับว่ารวมกันเป็นกลุ่ม
คิดไม่ถึงว่าเมื่อตนเตรียมพุ่งไปข้างหน้า ช่างตีเหล็กกลับเอื้อมมือมาขวางไว้
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสองคนนี้คือใคร”
ช่างตีเหล็กถาม
“ผู้น้อยไม่ทราบ”
แม้โอวเสี่ยวเอ๋อจะรู้สึกว่าช่างตีเหล็กระมัดระวังตัวมากเกินไป แต่ก็ยังเคารพเขามากอยู่ดี
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าระหว่างพวกเขามีความขัดแย้งอะไรกัน”
ช่างตีเหล็กถามอีกครั้ง
“ผู้น้อย…ผู้น้อยไม่ทราบ”
โอวเสี่ยวเอ๋อส่ายศีรษะพร้อมกล่าว
“เช่นนั้นข้าคิดว่า เจ้าก็คงไม่รู้ว่าความแค้นเกลียดชังระหว่างพวกเขาไปถึงระดับใดแล้วใช่หรือไม่”
ช่างตีเหล็กถามต่อ
โอวเสี่ยวเอ๋อไม่เอ่ยวาจาใดอีก เพราะนางตอบคำถามนี้ไม่ได้เช่นกัน
“ดังนั้นแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักอีกฝ่ายทั้งสองคน ไม่รู้แน่ชัดว่าระหว่างพวกเขามีความแค้นอะไรต่อกันและไปถึงขั้นไหนแล้ว เจ้าหุนหันพลันแล่นถือกระบี่เข้าไปเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะสร้างปัญหาใหม่เพิ่มให้เขาหรือ”
ช่างตีเหล็กกล่าว
โอวเสี่ยวเอ๋อถูกสิ่งที่เขาพูดใส่จี้จุดจนไม่อาจเงยหน้าขึ้นมาได้…เมื่อครู่ตนหัวร้อนบุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ เพียงรู้สึกว่าอีกฝ่ายสองรุมหนึ่ง ไม่ยุติธรรมต่อหลิวรุ่ยอิ่งจริงๆ ยิ่งกว่านั้นเดิมทีนางเป็นคนที่ช่วยมิตรไม่ช่วยเหตุผล เช่นนั้นจะสนใจใครถูกใครผิดไปทำไม แต่ไหนแต่ไรใครดีกับตนนับว่าถูก ใครไม่สนิทกับตนก็นับว่าผิด!
…………………………………………………………………..