บทที่ 78 สองถึงหกเบญจลักขี-3
“โอ้โฮ! เช่นนั้นคงต้องดื่มให้เต็มที่อีกสองสามจอก! ก่อนหน้านี้ข้ายังเศร้าใจอยู่บ้างเพราะไม่มีวาสนายากได้พบพาน ไม่นึกว่าไกลสุดขอบฟ้ากลับใกล้แค่เอื้อม!”
จิ่วซานปั้นกอดไหเหล้าจะลงจากม้าอีกครั้ง ตั้งท่าเตรียมดื่มกับลู่หมิงหมิงให้เมาแล้วค่อยหยุด!
ลู่หมิงหมิงยื่นมือดันไหเหล้าไว้ พาให้กายจิ่วซานปั้นที่หยัดขึ้นเล็กน้อยกลับไปนั่งบนหลังม้าดังเดิม ขยับตัวไม่ได้
“อาจารย์หมิงหมิง ไม่ทราบท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดประมุขหอตี๋ของหอทรงปัญญาถึงต้องส่งผู้คุ้มกันข้างกายเขาเดินทางมาหาข้า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
คำว่าอาจารย์นี้ ในใจมีความเคารพนับถือมากขึ้นหลายเท่า
“ข้าไม่รู้…”
ลู่หมิงหมิงส่ายหน้ากล่าว
“แต่ข้าต้องอธิบายเรื่องพวกเขาหกคนให้เจ้าฟังเสียหน่อย…”
ลู่หมิงหมิงกล่าว
“หกคน? ห้าคนไม่ใช่หรือ เบญจลักขี?”
โอวเสี่ยวเอ๋อเอ่ยถาม
“ตอนนี้เบญจลักขีมีห้าคนถูกแล้ว แต่เดิมพวกเขาเป็นหกพี่น้อง ห้าคนตรงหน้าเจ้า คือเจ้ารองถึงเจ้าหก”
ลู่หมิงหมิงกล่าว
“พี่ใหญ่เล่า ไม่มาหรือ”
จิ่วซานปั้นพูดพลางเปิดผนึกดินไหเหล้า ฉับพลันกลิ่นหอมเตะจมูก ทำให้ลิ้นในปากเขาสั่นรุนแรง
“พวกเขาหกพี่น้องเกิดในตระกูลหมากล้อม เป็นที่รู้กันว่าหมากล้อมนี้เป็นหนึ่งสายหลักแห่งวิถีบุ๋น และพ่อของพวกเขาก็ถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับแคว้นแล้ว เพียงแต่โชคร้าย ทั้งชีวิตไม่เคยมีวาสนาได้เป็นอันดับหนึ่ง…มักจะแพ้ในรอบครึ่งแรก ภายหลังเขามีครอบครัว เกษียณมาอยู่ชนบทและเริ่มใช้ชีวิตเรียบง่ายธรรมดา”
“เช่นนั้นพวกลูกชายของเขาเข้าสู่เส้นทางหมากล้อมอีกครั้งเพื่อสานฝันให้พ่อ?”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถามขัดคำของเขา
เห็นได้ชัดว่าเสื้อผ้าบนกาย ‘เบญจลักขี’ ก็คือสีเข้าคู่ขาวดำในหมากล้อม มองปราดเดียวย่อมรู้ได้
“หลังเกษียณเขากับภรรยาเลี้ยงดูบุตรหกคน แต่ด้วยเงามืดในใจตน กลับห้ามไม่ให้เหล่าบุตรชายแตะต้องเรื่องใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับหมากล้อมอีก แม้แต่สิ่งที่ทำให้คิดเชื่อมโยงก็ไม่ได้ ในบ้านห้ามมีสีขาวดำ ถึงขั้นห้ามแตะกระทั่งลูกแก้วที่เด็กเขาเล่นกัน”
ตอนลู่หมิงหมิงเอ่ยถึงตรงนี้ เขาถอนหายใจยาว
หลิวรุ่ยอิ่งฟังออกถึงความจนใจและเศร้าสร้อยจากในนั้น
ไม่รู้ใครเคยบอกไว้ว่าคนเราเอาชนะธรรมชาติได้
แต่ในความเป็นจริงต่อให้ธรรมชาติจามแค่ทีเดียว ก็ไม่รู้จะทำให้คนมากมายเท่าไรตายอยู่กลางภูเขา
แม้บอกว่าทุกเรื่องล้วนเหลือโอกาสรอดชีวิตอยู่ ทว่าตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันนี้มีสักกี่คนที่คว้ามันไว้ได้
ลู่หมิงหมิงสูงส่งเป็นจันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ด หนึ่งในเจ็ดหัตถ์เทวะสายบุ๋น คิดว่าตอนนั้นต้องเป็นคนยอดเยี่ยมองอาจพร้อมด้วยเกียรติยศนับพันหมื่นเป็นแน่
แล้วลองดูตอนนี้ ผมเผ้ากระเซิงหน้าตามอมแมม เสื้อผ้าเนื้อหยาบขาดรุ่งริ่ง
ตีเหล็กมานานปีสองนัยน์ตาถูกรมควันจนแดงก่ำ สันหลังที่ตรงและแข็งแกร่งก็โค้งงอเล็กน้อย
แม้บอกว่าสิ่งที่มีอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอกไม่อาจบ่งชี้อะไรได้ โดยเฉพาะบัณฑิตทั้งหลายที่หลงคิดว่าตัวเองสูงส่งเลิศเลอมักจะใฝ่ฝันถึงชีวิตสันโดษเปี่ยมกลิ่นอายชนบทเช่นนี้
ประหนึ่งคิดว่าหากมือที่จับพู่กันถือม้วนตำรานี้ ไม่เปื้อนกลิ่นคาวดินโคลนสักหน่อยก็จะขาดทุนอยู่บ้าง
แต่อย่างน้อยลู่หมิงหมิงก็ตีเหล็กเป็น และยังตีได้ดีมากด้วย
คนส่วนใหญ่ได้แต่แห่กันไปทำนู่นทำนี่แต่ไม่ได้ดีเด่อะไร
คนที่ไปทำไร่ไถนา หญ้ายังสูงกว่าก้านถั่วเสียอีก สุดท้ายหิวตาย
คนที่อยากปลูกต้นไม้ เห็นผลไม้เต็มสวนกลับหยิบไม่ถึงสักลูก สุดท้ายหิวตายเหมือนกัน
คนที่มีรสนิยมยิ่งกว่ากลับปลูกแค่ดอกไม้
แต่สุดท้ายหากได้ตายภายใต้กลิ่นหอมพร้อมกลีบดอกไม้เต็มปาก ก็ถือว่าสง่างามทรงเกียรติ ดูมีความเฉพาะตัวมากกว่าสองคนแรก
ตอนมีชีวิตก็เปรียบเทียบ ตายแล้วก็เปรียบเทียบ
ตรงไหนถึงจะเป็นจุดสิ้นสุด
แม้แต่ประมุขหอตี๋ก็คงบอกได้ไม่ชัด…อย่างไรตัวเขาเองก็วัดฝีมือกับท่านนั้นในหอทรงภูมิทางใต้ทั้งโจ่งแจ้งและลับหลังมาไม่รู้กี่ปีกี่หนแล้ว!
บุ๋นไม่มีอันดับหนึ่งอะไรกัน
คนที่พูดก็คือคนบาปอันดับหนึ่งแห่งสายบุ๋นตลอดกาล
แค่มองก็เป็นประเภทตัวเองอยากเป็นที่หนึ่งแต่ไม่ได้เป็น เลยปั้นสีหน้าท่าทางเหมือนยุติธรรม…เช่นนั้นจะไม่ทำให้คนรุ่นหลังที่เรียนบุ๋นวิวาทกันเองจนตายแล้วค่อยหยุดหรอกหรือ
คนเป็นที่หนึ่งไม่ว่าจิตใจเขาทะนงเพียงใดล้วนต้องโค้งตัวแสร้งทำท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน
คนไม่ได้เป็นที่หนึ่งมองอยู่ข้างล่างก็ไม่เห็นว่าน่าเคารพนับถือสักเท่าไร ถ่มน้ำลายกล่าวประโยคหนึ่ง ‘บุ๋นไม่มีอันดับหนึ่ง ภูมิใจอะไร’ แล้วก็ปฏิเสธผลงานชิ้นเอกที่คนอื่นทุ่มเทเขียนอย่างหนักในพริบตา
เช่นนี้วนไปวนมา แม้เป็นวงจรตายตัว แต่สุดท้ายยังคงนุ่มนวลกว่าสายหมากล้อมเยอะ อย่างไรก็รักษาหน้าไว้ได้ทั้งสองฝ่าย ไม่ถึงกับมีใครลำบากใจจนเกินไป
“ดังนั้นต่อมาเขาจึงให้ลูกชายทั้งหกของตนไปเรียนบุ๋นกันหมด ภูมิใจกับการใช้ภาษาสวยหรูทุกวัน มองแล้วให้ความรู้สึกยากอธิบาย แต่การให้ความรู้พื้นฐานเพื่อสร้างความสนใจนั้นปลูกฝังได้จริง ทว่าสายเลือดในกระดูกเขาไม่ว่าอย่างไรก็เปลี่ยนไม่ได้…สุดท้ายวันหนึ่ง ลูกชายทั้งหกเลิกเรียนแล้วกลับบ้านช้าไปครึ่งชั่วยาม เมื่อพ่อสอบถามแล้ว ก็ยังล้วงเอาเม็ดหมากขาวดำสองสามตัวออกจากกระเป๋า…”
ลู่หมิงหมิงกล่าวต่อ
เขาห่อสัมภาระของตัวเองเสร็จแล้วเช่นกัน แบกมันไว้บนไหล่ เดินตามอยู่ข้างม้าหลิวรุ่ยอิ่งกับคนอื่นๆ
‘เบญจลักขี’ เห็นทั้งสี่ออกเดินทางแล้วก็ขึ้นม้าอีกครั้งทันที เดินอยู่ข้างหน้าโดยไม่แม้แต่หันกลับมามอง
พวกเขาดูแคลนหลิวรุ่ยอิ่งเป็นทุนเดิม ส่วนตระกูลโอวก็ไม่คิดสนใจเหมือนกัน
แม้มีอดีตกับลู่หมิงหมิง แต่นอกจากเย้ยหยันเหน็บแนมก็ขี่ม้าแยกกันนานแล้ว…ไม่มีอะไรให้พูดเปิดใจ
“เมื่อพ่อผู้ชราเห็น เขาป้องกันแล้วป้องกันเล่ากลับใจสลายหาใดเปรียบ…คิดว่านี่คือลิขิตสวรรค์ หนึ่งคือไม่ทำ สองคือถ้าทำต้องทำให้สุด เขาจึงถ่ายทอดสิ่งที่เคยเรียนรู้มาทั้งชีวิต คิดไม่ถึงพรสวรรค์ด้านหมากล้อมของลูกชายทั้งหกสูงกว่าตนมากนัก ไม่กี่ปีทั้งหกคนก็เข้าไปอยู่ในจุดสูงสุดของสายหมากล้อมแล้ว”
ตอนลู่หมิงหมิงพูดถึงตรงนี้ก็หยุดมองกลุ่มคนในชุดขาวดำตรงหน้าเล็กน้อย ลดน้ำเสียงลงและเอ่ยทุ้มต่ำ
“ข้าไม่รู้ว่าต่อมาเกิดอะไรขึ้นกันแน่…แต่หลังจากนั้นพี่ใหญ่ของพวกเขาก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย และในการแข่งหมากล้อมนับแต่นั้นมา ไม่ว่าผลของการทายเดิน[1]เป็นอย่างไร ห้าคนนี้ล้วนต้องถือหมากขาว และใช้หมากขาวของตัวเองเท่านั้น…”
ลู่หมิงหมิงพูดจบก็ถอนหายใจ
“ดังนั้น…หมากขาวนั้น…”
หลิวรุ่ยอิ่งอยากพูดแต่ยั้งไว้ บางคำพูดเขาไม่รู้ว่าควรเอ่ยหรือไม่
“หมากขาวนี้คือกระดูกของพี่ใหญ่ข้า ขอบรองกระดานหมากก็ด้วย”
คนหลังสุดในกลุ่มคนชุดขาวดำทั้งห้าหันกลับมาพูดกะทันหัน
เหมือนกับที่หลิวรุ่ยอิ่งเดาในใจทุกประการ
“ขอถามชื่อเสียงเรียงนามท่านทั้งห้าได้หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งประสานมือเอ่ยถาม
แม้ห้าคนนี้ไม่เป็นมิตรกับเขานัก แต่ใครจะคาดคิดว่าเบื้องหลังกลับมีอดีตน่าสะเทือนใจเช่นนี้
สายเลือดใกล้ชิด ขาดไปหนึ่งก็ไม่สมบูรณ์…
ตอนเด็กหกพี่น้อง โตมาหกครอบครัว
ก่อนเคยเดินร่วมเส้นทางหกคน บนโต๊ะอาหารมีตะเกียบหกคู่
แต่กลางทางมีคนหนึ่งย้อนกลับกะทันหัน นี่ไม่ทำให้ห้าคนที่เหลือสับสนอย่างยิ่งหรอกหรือ
ยามจ้องมองดวงอาทิตย์ เป็นใครก็รู้สึกถึงแสงและคลื่นความร้อนที่มันส่งออกมาทั้งนั้น
เมื่อมองเห็นที่นาสวนผลไม้ ย่อมจินตนาการได้ถึงความพยายามที่จะสุกงอมและเบ่งบานในฤดูใบไม้ร่วงของพวกมัน
คนอื่นมองแล้ว หกพี่น้องขาดไปหนึ่งก็ยังมีอีกห้าคน ไม่เจ็บไม่คัน
แต่สำหรับห้าคนที่เหลือ กลับเหมือนธารน้ำไหลเชี่ยวไม่ขาดสายข้างหน้าแตกแยกแห้งเหือดไปทั้งอย่างนั้น
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้หยั่งลึก ทว่าจริงแท้ยิ่งและกำลังขยายออกไปไม่สิ้นสุด…
มือกำกระดูกของพี่น้องคนสนิททุกวัน แล้วตอนลงหมากจะเป็นความเจ็บปวดแบบใด
สิ่งที่ซับซ้อนอย่างการยืนหยัดหรือหมดหวัง โกรธแค้นหรือโกหก ใจกว้างหรือให้อภัย วาดหวังหรือเศร้าสลดล้วนไม่ใช่ความอบอุ่นที่ละลายน้ำแข็งได้ กลับจะเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่อาลัยอาวรณ์ต่อโลกใบนี้อีกแล้วด้วยซ้ำ
หลิวรุ่ยอิ่งเคยพบเจอคนเจ็บปวดเช่นนี้มามาก
พวกเขามักใช้สิ่งอื่นทำให้ตัวเองละทิ้งความรู้สึก…ไม่โลภทรัพย์สิน ไม่มักมากในกาม ไม่ติดพนัน ก็ติดสุรา
คนที่เผชิญหน้าอย่างไร้กังวลและพูดเสียงดังฟังชัดได้เหมือนห้าคนนี้กลับหายากโดยแท้…
แค่จุดนี้จุดเดียว ต่อให้เทียบกับยอดฝีมือแห่งยุคก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย!
“เหลี่ยงเฟิน[2] วันซาน[3] ฟางซื่อ[4] เตาอู่[5] ฮวาลิ่ว[6]!”
เพียงเห็นคนในชุดขาวดำผู้นี้กล่าวพลางชี้พี่น้องของตนรอบหนึ่ง สุดท้ายถึงชี้ตัวเอง
‘เบญจลักขี’ สองถึงหก
ตั้งชื่อด้วยการเดินหมากล้อมทั้งหมด
‘เหลี่ยงเฟิน’ เป็นรูปแบบตายตัว
ภาพรวมสงบนิ่ง ประโยชน์เสมอกัน ไม่ได้ไม่เสีย เหมือนบทบาทของพี่รองผู้เป็นหัวหน้า
สี่คนที่เหลือเป็น ‘ดวงตา[7]’ ทั้งหมด ล้วนเป็นจุดต้องห้ามที่อีกฝ่ายลงหมากไม่ได้
รูปงอ รูปจัตุรัส รูปปังตอ รูปปลาตะเพียนต่างมีความเฉพาะตัว
“ข้างหน้ายังห่างจากหอทรงปัญญาอีกเท่าไร”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
ทุกคนมาถึงทางเข้าออกอีกฝั่งของเมืองจิ่งผิงแล้ว
“ผ่านที่ราบนี้ไปก็ถึงแล้ว”
ลู่หมิงหมิงชี้ข้างหน้ากล่าว
“ที่ราบนี้มีชื่อหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เพราะสนามรบโบราณนอกช่องเขาด้านหลังเกิดการเข่นฆ่ามากเกินไป ผู้คนเชื่อว่ามันผิดต่อหลักทำนองคลองธรรม จึงปล่อยให้มันรกร้างอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่ที่ราบตรงหน้านี้ กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง
………………………………………….
[1] ทายเดิน ใช้ในกรณีผู้เล่นหมากล้อมสองฝ่ายฝีมือเท่ากัน หากผู้ถือหมากดำทายถูกว่าหมากขาวในมืออีกฝ่ายเป็นเลขคู่หรือคี่จะได้ใช้หมากดำซึ่งเป็นตัวเดินก่อน หากทายผิดจะได้ใช้หมากขาวแทน
[2] เหลี่ยงเฟิน สองเท่า ภาพรวมบนกระดานของทั้งสองฝ่ายเสมอกัน
[3] วันซาน สามจุดงอ
[4] ฟางซื่อ สี่จุดจัตุรัส
[5] เตาอู่ ห้าจุดปังตอ
[6] ฮวาลิ่ว หกจุดปลาตะเพียน ตามชื่อเรียกของไทย
[7] ดวงตา เป็นจุดตรงกลางห้องที่ล้อมโดยหมากสีใดสีหนึ่ง หากลงหมากไปยังไงก็โดนกิน