บทที่ 80 ภูผาธารามหัศจรรย์บนแดนสุขสัญจร-2
เสียงใสเสนาะหูนี้ ดังก้องบนแดนสุขสัญจรอันกว้างขวางต่อเนื่องอยู่นาน
มองน้ำแกงที่ช้อนตักขึ้นมา ฟังเสียงไพเราะข้างหู สัมผัสความอุ่นในมือ
ลู่หมิงหมิงโยนช้อนน้ำแกงลงในชามอีกครั้ง จากนั้นวางกลับไปบนโต๊ะช้าๆ ไม่ได้กินสักคำ
สิ่งที่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งแปลกใจคืองานเลี้ยงต้อนรับนี้กลับไม่มีสุรา…
และนี่ก็ลำบากจิ่วซานปั้นหาอยู่พักหนึ่ง
“เดิมการสนทนาด้วยหมากล้อมเป็นศิลปะขั้นสูง อาหารของหอทรงปัญญาจึงใช้รสอ่อนเป็นหลัก ของรสเข้มข้นอย่างสุราขึ้นโต๊ะไม่ได้หรอก”
เหลี่ยงเฟินกล่าวเรียบเฉย
จากนั้นให้กลุ่มผู้ติดตามที่ยืนอยู่ด้านหลังยกชาให้ทุกคนถ้วยหนึ่ง ตัวเขาเองกลับเริ่มดื่มนำไปก่อน
แต่เมื่อกินผลไม้ชิมน้ำแกงนั้นเสร็จ
หลิวรุ่ยอิ่งรู้แล้วว่าเหตุใดคนทั่วใต้หล้าถึงอยากเรียนหนังสือกันหมด…
นึกถึงชั่วชีวิตแห่งการฝึกยุทธ์ นอนกลางดินกินกลางทรายทุกวัน
ยังต้องฝึกฝนทั้งช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดและหนาวที่สุดของปี
มุ่งมั่นเพื่อจุดสูงสุดแห่งวิถียุทธ์เพียงอย่างเดียว จากนั้นตามหาขอบเขตเซียนดาราอันเลื่อนลอยไร้วี่แววให้ได้เป็นอมตะ
แต่ถึงสุดท้ายยังไม่อาจเทียบดอกไม้ในกระจก ดวงจันทร์กลางน้ำ[1]…สัมผัสไม่ได้ทั้งยังมองไม่เห็น!
ชายกำยำล่ำสันล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดา เหตุใดไม่เป็นพวกยกย่องลาภยศสรรเสริญไปเสียเลยเล่า
ทหารเล็กอยากเป็นแม่ทัพ อัครมหาเสนาบดีวาดหวังบรรดาศักดิ์ขั้นสูง
แม้ความคิดการแสวงหาของบัณฑิตจะธรรมดาไปหน่อย แต่ล้ำค่าตรงใช้ได้จริง!
เซียนดารานี้ดี แต่คว้าไม่อยู่จับต้องไม่ได้
ทว่าผลไม้กับน้ำแกงเมื่อครู่กินอิ่มท้องอย่างแท้จริง ตอนนี้ลิ้มชิมในปากยังรู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานอยู่เลย!
“ที่นี่ยังมีภูเขาลูกหนึ่งด้วย?”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นบนที่ราบข้างหน้ามีเงาดำผืนใหญ่
“นี่ก็เป็นหนึ่งในสิบฉากมหัศจรรย์ของหอทรงปัญญา ชื่อว่าพันยอดหมื่นเริ่น แต่ก็เหมือนแม่น้ำไหลสี่ฤดู”
ลู่หมิงหมิงกล่าว
พันยอดอยู่หน้า ประหนึ่งทวนรบจัดเรียงเป็นระเบียบ สื่อถึงฐานะอันมั่นคงแข็งแรงของหอทรงปัญญา
หมื่นเริ่นอยู่หลัง ปรากฏในรูปนกยูงรำแพน ด้านบนสุดยังตั้งระฆังทองแดงขนาดใหญ่ไว้ใบหนึ่ง เพื่อสื่อถึงคำที่ว่าด้านหลังไม่ว่างเปล่า มีสิ่งคอยหนุนดุจระฆัง
“ไม่นึกว่าหมิงหมิงของเรายังจำเรื่องเหล่านี้ได้แม่นขนาดนี้!”
ฮวาลิ่วได้ยิน หันกลับมาพูดพลางยิ้มกับลู่หมิงหมิง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นภูเขาลูกนั้นสูงมากทีเดียว…
อดทอดถอนใจไม่ได้ว่าหอทรงปัญญานี้ก็ไม่ได้สำเร็จขึ้นมาในชั่วข้ามคืน การสั่งสมถ่ายทอดหยั่งรากลึกยิ่ง
ยามนี้ดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะพอดี
แต่ยอดเขาเหมือนมีเมฆฝนเวียนวน ท่ามกลางไอหมอกครึ้มดูวังเวงอยู่บ้างเล็กน้อย
ทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งเห็นมีคนลักษณะเหมือนชาวนาสองสามคน บนหลังสะพายหมวกสานบังแดด บนกายสวมเสื้อลายศิลป์ เท้าสวมรองเท้าหญ้า
ในนั้นมีคนแบกฟืน มีคนหามจอบและอุปกรณ์การเกษตรอื่นๆ เดินมาจากใต้เชิงเขา ก้าวย่างพลางร้องเล่นเต้นระบำ
เสียงเพลงร้องว่า
“ทุ่งนาเขียวชอุ่ม เหล้าอุ่นเบิกบานใจ คนล้วนเป็นกิ่งแหนลอยน้ำ[2] ฉากกั้นเงินม่านไข่มุก กระดิ่งดอกไม้ลู่หาฝน ระบอบเก่าเป็นศาลาของผู้คน ขี่วัวไม่เรียนประวัติศาสตร์ ขึ้นม้าไม่สวดภาวนา ไม่โลภชื่อเสียงเงินทองพระราชวังสูงส่ง ขอแค่มีดอกเหมยเป็นภรรยามีนกกระเรียนคู่เป็นบุตร[3]โดยไม่คำนึงถึงความสงบสุขในโลกหล้า”
“ยอดเลย!”
จิ่วซานปั้นได้ยินเพลงนี้ก็เริ่มฮัมเพลงตามทำนองสอดคล้องกับจังหวะ
แม้หลิวรุ่ยอิ่งสนุกกับบทเพลงนี้ไม่น้อย แต่ด้วยระวังฐานะจึงไม่ได้แสดงออกมา
ที่จริงในใจเขากังวลอยู่บ้างเหมือนกัน…
ชาวนาคนตัดฟืนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เช่าที่นาในสังกัดหอทรงปัญญา
พวกเขาเช่าที่ดินของหอทรงปัญญาทำนาเพาะปลูก หลังผ่านการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงหอทรงปัญญาค่อยซื้อเสบียงกับพับผ้าไหมของพวกเขาไว้ใช้เอง เหมือนผลิตเองเพื่อสนองตนเอง
บทเพลงนี้คนของหอทรงปัญญาต้องเป็นคนสอนพวกเขาแน่นอน
แต่ในคำร้องนี้มันไม่มีความอยากไม่มีความปรารถนา เป็นอิสระไร้ข้อผูกมัดเช่นนี้จริงหรือ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เห็นด้วย
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ สองสามคนนี้โค้งตัวเล็กน้อย ยิ้มทำความเคารพเป็นการทักทาย
“หอทรงปัญญาข้ากล่อมเกลาใต้หล้า แม้แต่คนธรรมดายังสุภาพเรียบร้อยเช่นนี้”
เหลี่ยงเฟินกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
แต่ความรู้สึกไม่สบายใจข้างในกลับรุนแรงขึ้นทุกที…
ฉับพลันนั้น ตรงหน้ากลับมีภาพฉากหนึ่งฉายวาบอีกครั้ง
เขาเห็นเมืองแห่งหนึ่ง
บนประตูเมืองไม่ได้แขวนป้ายชื่อใดๆ จึงไม่รู้ว่าเป็นเมืองอะไรสถานที่ใด
เพียงแต่บนหอประตูเมืองมีธงจำนวนมากปักอยู่ มันไหวเองแม้ไม่มีลม
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ควรทำอย่างไรจึงเดินเข้าประตูเมืองโดยไม่รู้ตัว…
ในเมืองเห็นเพียงหอคอยงามสง่าแห่งหนึ่ง
เมฆหลากสีนับหมื่นชั้นเหมือนลอยจากท้องฟ้าตกสู่พื้นดินอย่างรางเลือน เกิดเป็นไอหมอกสีแดงเข้มเบาบางผืนใหญ่
บนหอคอยสลักรูปนกและสิงห์สาราสัตว์อย่างประณีต แผ่นกระเบื้องเขียวมรกตยิ่งแวววามด้วยหมอกแดงขับเน้น
ถนนที่เหมือนปูด้วยหยกขาวสายหนึ่งสร้างฐานหินทองคำไว้สองฝั่งยาวจรดส่วนลึกที่สุดของหอคอยนั้น
………………
“โฮ่ง…โฮ่งๆ!”
เสียงสุนัขเห่าที่ดังขึ้นกะทันหันดึงความคิดของหลิวรุ่ยอิ่งกลับมา
ยังไม่ทันได้คิด เขาก็เห็นซ้ายข้างหน้ามีคนยืนอยู่
“อาหวง!”
คนผู้นี้สวมชุดบัณฑิตจันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ด หันหลังให้กลุ่มคน
หลิวรุ่ยอิ่งยังจำไม่ได้ แต่โอวเสี่ยวเอ๋อกลับจำสุนัขในอกของคนนั้นได้ก่อน
เป็นเจ้าตัวนั้นที่บังเอิญเจอกลางทางเมื่อหลายวันก่อน อาหวงที่ชอบกินแตงกวาดองและกลอกตาไปมา!
“พวกเราได้เจอกันอีกจริงด้วย!”
คนนั้นได้ยินมีคนเรียกสุนัขของเขา หันกลับมาเห็นโอวเสี่ยวเอ๋อ หลิวรุ่ยอิ่งและจิ่วซานปั้นสามคน
ฉางไต้ซือในวันนี้ถอดเสื้อกันหนาวผ้าปักดอกสีครามตัวนั้นออกแล้ว เผยให้เห็นชุดบัณฑิตจันทราโปร่งเหลืองขั้นเจ็ดบนกาย
“นึกไม่ถึงว่าฉางไต้ซือก็เป็นหนึ่งในเจ็ดหัตถ์เทวะ!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
ลู่หมิงหมิงเห็นเขารู้จักฉางอี้ซานแล้วดูประหลาดใจเล็กน้อย
และฉางอี้ซานเห็นเขาสามคนอยู่กับลู่หมิงหมิง ด้านหน้ายังมีเบญจลักขีนำทางก็รู้สึกเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
คราวนี้คนสองฝั่งพบกันตัวต่อตัว หางต่อหาง ต่างฝ่ายต่างมีความคิดพิจารณาของตัวเอง
“คารวะฉางไต้ซือ!”
เบญจลักขีลงม้ากล่าวพร้อมเพรียงกัน
พวกเขาเห็นฉางอี้ซานอยู่ที่นี่จึงไม่กล้าทำเฉยแม้แต่น้อย รีบลงม้าทำความเคารพโดยมีเหลี่ยงเฟินเป็นผู้นำ ตรงกันข้ามกับการละเลยเหยียดหยามที่ปฏิบัติต่อลู่หมิงหมิงก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
“ไม่พบกันนาน”
ฉางอี้ซานแค่พยักหน้าเล็กน้อย ไม่มีแก่ใจยี่หระคนทั้งห้าสักนิด
จากนั้นเดินตรงดิ่งมาข้างหลัง กล่าวกับลู่หมิงหมิง
“ไม่พบกันนาน”
ลู่หมิงหมิงตอบด้วยประโยคเดียวกัน
เพียงแต่คำไม่พบกันนานของฉางอี้ซานเริ่มต้นด้วยความยโส ตรงกลางมีความอวดตนอีกหลายส่วน แต่ช่วงท้ายจบลงด้วยความสับสนว้าวุ่นอันยากอธิบาย
แต่ไม่พบกันนานของลู่หมิงหมิง กลับมีเพียงความรู้สึกเดียว
นั่นก็คือขมขื่น
ที่จริงบอกว่าขมขื่นยังไม่ถูก
เพราะขมขื่นมักเป็นขั้นของความอ้างว้างจากการสูญเสียบางอย่าง
แต่ลู่หมิงหมิงไม่มีความขมขื่นเช่นนี้ เขาแค่สะเทือนใจเท่านั้น
ถึงอย่างนั้นความสะเทือนใจเช่นนี้กลับเอามาปะปนกับความขมขื่นได้ง่ายดายเป็นที่สุด
สุดท้ายไม่ว่าในใจเจ้ายังมีความคิดถึงอยู่หรือไม่ แต่ตราบใดที่เกิดความสะเทือนใจนี้ ในสายตาของคนอื่นนั่นก็คือมีอยู่
ตามกฎทางโลกทั่วไป ถ้าอยากยืนยันว่าไม่มี ต้องทำได้สามปิดกั้น
ปิดปากไม่เอ่ย ปิดตาไม่มอง ปิดใจไม่คิด
แต่คนไม่ใช่เครื่องจักรที่ไขลานจังหวะเดียวแล้วฟันเฟืองทั้งหลายก็เคลื่อนหมุนได้
ตาหูจมูกปากลิ้นล้วนมีประโยชน์ต่างกัน
มือแขนขาเท้าหัวใจล้วนมีหน้าที่แตกต่าง
เมื่อทำงานร่วมกันแล้ว ต่อให้ใช้โวหารทั้งหมดในโลกหล้าก็ยังพูดไม่ครบ อธิบายไม่ทั่วถึง
แต่ค่านิยมที่เรียกว่าสามปิดกั้นมักใช้เป็นข้ออ้างยอดเยี่ยมของการหลบหนี
ความกล้าหาญที่แท้จริงนั้นเหมือนกับที่เบญจลักขีพูดว่าตัวหมากและกระดานหมากทำจากกระดูกพี่ใหญ่ของตน รวมถึงไม่พบกันนานสี่คำสั้นๆ ของลู่หมิงหมิงเมื่อครู่นี้
สะเทือนใจ แต่เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว
สิ่งที่รู้สึกคือคน เป็นคนในอดีต
ไม่ว่าตอนนั้นมีข้อพิพาทแบบใด
บุญคุณก็ดี โกรธแค้นก็ดี ขีดฆ่าทิ้งทั้งหมด จบเรื่องหนึ่งเรื่องอื่นย่อมจบลงด้วย
ไม่ขอให้เจ้าจดจำบุญคุณของข้า ข้าก็ไม่นึกถึงความแค้นของเจ้าอีก
ต่างฝ่ายลืมกันไปเช่นนี้ ไม่ดีหรอกหรือ
สิ่งที่สะเทือนใจคือเวลา เป็นเวลาในปัจจุบัน
ไม่ว่าก่อนเคยอยู่ร่วมกันนานเท่าไร อย่างน้อยก็มีช่วงเวลาที่เคียงข้าง
สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี ย่อมขีดฆ่าทิ้งทั้งหมด จบสิ้นทุกเรื่องราว
ไม่ขอให้เจ้าจดจำความสุขในตอนนั้น ข้าก็ไม่ถามหาความทุกข์ตอนนั้นเช่นกัน
เพียงแต่ดวงดาวหมุนเวียนโคจร สุดท้ายเจ้ากับข้าต้องได้พบกันอีก และทอดถอนใจให้ความไม่เที่ยงของสวรรค์นี้ด้วยกัน
หลิวรุ่ยอิ่งมองทั้งสอง รู้สึกชั่วชีวิตของคนช่างไร้ความหมายเหลือเกิน…
ไหนเลยจะรู้ว่าลู่หมิงหมิงก็คิดเช่นนี้
ในหลักดูแลสุขภาพของเขาบนกำแพงดินหลังศาลเจ้ามีคำกล่าวหนึ่ง
‘อายุขัยของคน มากสุดไม่เกินร้อยปี นอกจากเจ็บไข้ได้ป่วย ผู้สูงอายุถึงร้อยปีแล้วยังอ้าปากยิ้มได้ มีไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ’
เห็นได้ว่าชีวิตเป็นทุกข์โดยแท้
ยิ่งอยู่จนอายุมากเท่าไร ความทุกข์ที่เผชิญก็ยิ่งมากเท่านั้น
สั่งสมทุกวันเวลาเช่นนี้ ต่อให้อยู่ได้ถึงห้าร้อยปีแล้วมีความหมายอันใด
ถูกความโหดร้ายและการเคี่ยวกรำของวันเวลามัดมือมัดเท้าเช่นนี้ จนถึงสุดท้ายไม่เพียงหมดทางเลือก แม้แต่โอกาสที่จะยิ้มก็ถูกช่วงชิงไป…
แล้วนั่นต่างอะไรกับคนตาย ทำได้แค่กินดื่มถ่ายหนักเบาเท่านั้น
………………
“เตรียมจะกลับมาแล้ว?”
ทั้งสองเงียบไปนาน
นานจนหลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกเหมือนมุ่งไปชายฝั่งทะเลบูรพาจากที่นี่แล้วย้อนกลับมาได้รอบหนึ่ง
หลังจากเงียบอยู่นาน นี่เป็นประโยคที่สองที่ฉางอี้ซานพูดกับลู่หมิงหมิง
“เปล่า”
คำตอบของลู่หมิงหมิงกระชับและหลักแหลมเสมอ
คำน้อย
น้ำเสียงไม่มาก
กระทั่งจำนวนครั้งที่ริมฝีปากบนล่างสัมผัสกันก็ไม่เยอะ
แต่เขามักเลือกถ้อยคำที่เข้าใจง่ายที่สุดได้เสมอ พูดใจความที่ตัวเองต้องการสื่ออย่างตรงไปตรงมา
มีเพียงการตัดส่วนเยิ่นเย้อ ถึงจะสร้างความแตกต่างได้
ในถ้อยคำและประโยคที่ดูธรรมดานี้ กลับเผยให้เห็นการฝึกตนสายบุ๋นของลู่หมิงหมิงทุกจุดชัดเจน
“ยังตีเหล็กอยู่?”
นี่เป็นประโยคที่สามแล้ว
“ใช่”
พวกหลิวรุ่ยอิ่งสามคนรู้คำตอบของลู่หมิงหมิงดีอยู่แล้ว
“แต่เพิ่งรับศิษย์คนหนึ่ง สอนเขาดีดฉิน”
ลู่หมิงหมิงพูดพลางตบไหล่หลิวรุ่ยอิ่ง
ประโยคนี้เหนือความคาดหมายของทุกคน
รูปร่างของลู่หมิงหมิงสูงกว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่น้อย
เขาเงยหน้ามอง เห็นลู่หมิงหมิงก้มหน้ายิ้มให้ตน เขาก็เลยยิ้มด้วย
ในใจหลิวรุ่ยอิ่งมีความอบอุ่นลากผ่านเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งที่สามที่เขารู้สึกถึงความอบอุ่นเช่นนี้
แต่เขายังคงไม่รู้ว่าความอบอุ่นนี้มีประโยชน์อันใดกันแน่
ครั้งแรกเป็นตอนเขาถูกวิชาคลื่นเสียงในหัวเมืองรัฐติง แล้วทังจงซงมอบจี้หยกติดตัวเพื่อรักษาเขาโดยไม่นึกเสียดาย
ครั้งที่สองคือตอนเห็นจิ่วซานปั้นโยนหัวของยอดนักธนูคนนั้นมาให้ในเมืองจิ่งผิง
ครั้งที่สาม ก็คือเมื่อครู่
ตอนที่ลู่หมิงหมิงตบไหล่พูดกับฉางอี้ซานว่าตนเป็นศิษย์ของเขา และยิ้มให้เขาอีกครั้ง
“ดีจริง”
ฉางอี้ซานมองหลิวรุ่ยอิ่ง ยิ้มตอบกลับมาประโยคหนึ่ง
แต่เป็นใครก็ต้องฟังออกถึงความรู้สึกอิจฉาอันเข้มข้นในประโยค ‘ดีจริง’ นี้
เขาอิจฉาอะไรอยู่
หรือบอกว่าลู่หมิงหมิงในตอนนี้ยังมีอะไรให้เขาฉางอี้ซานต้องอิจฉาด้วยหรือ
แม้ขั้นของลู่หมิงหมิงยังอยู่ และยังคงเป็นหนึ่งในเจ็ดหัตถ์เทวะสายบุ๋น
แต่เมื่อเทียบเขากับฉางอี้ซาน สองคนต่างกันราวเมฆและโคลนโดยแท้
ทว่าสิ่งที่ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งและคนอื่นประหลาดใจคืออาหวงกลับไม่ได้กลอกตาใส่ลู่หมิงหมิง ท่าทางยังดูตื่นเต้นสนิทสนมมากด้วย
“สถานการณ์รบของฉางไต้ซือเป็นอย่างไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
ตอนลากันวันนั้น ฉางอี้ซานบอกว่าเขาต้องดวลสุราเมามายกับเจ้าของบ้านนั้นหกสิบวัน
ยามนี้เขาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ไม่รู้ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร
ที่จริงหลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้สนใจเรื่องนี้แต่อย่างใด
เขาแค่อยากพูดอะไรที่ทำให้บรรยากาศหายขุ่นมัวและคึกคักขึ้นเท่านั้น
แต่จิ่วซานปั้นได้ยินแล้วตาเป็นประกาย แทบอยากจะสลับตัวกับฉางอี้ซานสักรอบ ให้คนดวลสุราเมามายหกสิบวันนั้นเป็นตัวเองถึงจะดี
“เหลืออีกหนึ่งวันหนึ่งรอบ”
ฉางอี้ซานยิ้มกล่าว
“หอทรงปัญญามีเรื่องสำคัญเรียกตัวด่วน พนันนี้เลยยังทำไม่สำเร็จ…”
ฉางอี้ซานก็ทำหน้าเสียดาย
“เช่นนี้นับไม่ได้…คราวหน้าต้องเอาอีกหกสิบวันแล้วดวลหกสิบรอบสิดี!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“ฮ่าๆๆ ดียิ่ง! ต้องทำเช่นนี้แน่นอน!”
ฉางอี้ซานถูฝ่ามือหัวเราะลั่น
พูดจบ เขาหยิบแตงกวาดองชิ้นหนึ่งจากในโหลยื่นให้โอวเสี่ยวเอ๋อ สื่อว่าให้นางไปป้อนอาหวง
………………………………………….
[1] ดอกไม้ในกระจก ดวงจันทร์กลางน้ำ หมายถึงสิ่งที่มองเห็นแต่ไม่อาจได้มา
[2] กิ่งแหนลอยน้ำ หมายถึงการระหกระเหินไปเรื่อย อยู่ไม่คงที่
[3] มีดอกเหมยเป็นภรรยามีนกกระเรียนคู่เป็นบุตร หมายถึงใช้ชีวิตสันโดษ