ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 89 หลุมศพนกแก้วข้างสระเฟิ่งหวง-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 89 หลุมศพนกแก้วข้างสระเฟิ่งหวง-1

เซียวจิ่นข่านบอกหลิวรุ่ยอิ่งให้ฝังศพในสถานที่ฮวงจุ้ยดีที่สุด เรียกว่าสระเฟิ่งหวง (นกฟินิกซ์)

ว่ากันตามจริง สระเฟิ่งหวงตอนนี้ไม่เป็นดั่งที่ร่ำลือและไม่งดงามเพียงนั้น

แต่อย่างน้อยมันก็เป็นหนึ่งในสิบฉากมหัศจรรย์ของหอทรงปัญญา

แม้จะมีชื่อนี้ แต่กลับไม่มีเฟิ่งหวงในสระ

แม้แต่นกก็น้อยมาก…แต่ยุงกลับเยอะกว่า

จะว่าไปก็แปลก สถานที่อื่นทั่วทั้งหอทรงปัญญาไม่มียุง ดูเหมือนจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ทั้งหมด

สระเฟิ่งหวงก็เล็กเหลือเกิน

เล็กถึงขั้นไม่น่าเรียกว่าทะเลสาบ เรียกได้แค่สระเท่านั้น

ทรงกลมนับว่าเป็นสระ ทรงเหลี่ยมนับว่าเป็นบ่อ

แต่ลักษณะของสระเฟิ่งหวงจะกลมก็ไม่กลมจะเหลี่ยมก็ไม่เหลี่ยม ดูแล้วช่างไม่สบอารมณ์

ทว่าในยุคราชวงศ์และหอทรงปัญญาในยุคแรกเริ่ม สระเฟิ่งหวงนี้ตั้งอยู่ใจกลาง สวยงามไม่เหมือนใคร สีทองอร่าม!

ทุกๆ วันมีแสงไฟและผู้คนหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ในสิบสองชั่วยาม ทุกหนึ่งชั่วยามจะมีน้ำพุพ่นออกมาเพิ่มความสวยงาม

ตอนนั้นตี๋เหว่ยไท่ยังเป็นเด็ก

แม้แต่หนังสือพื้นฐานอย่าง ‘ร้อยสกุลชาวจีน’ ‘คัมภีร์สามอักษร’ ‘ตำราพันอักษร’ ก็ยังท่องจำไม่ได้

หอทรงปัญญาก็ไม่แข็งแกร่งเหมือนตอนนี้

ถึงแม้ตอนนี้จะดูไม่ค่อยสามัคคีกัน แต่ประมุขหอกลับมีเพียงตี๋เหว่ยไท่เท่านั้น

ตอนนั้น มีอยู่เก้าคน

ประมุขหอเก้าคน

บัณฑิตตะวันแพรทองขั้นแปดเก้าคน

นี่คือปรากฏการณ์ที่น่าตกใจแค่ไหน

ซวี พั่ว สวี่ จี๋ เผิน เจียน เจี่ยน เฟิ่ง อี้

ทั้งเก้าสกุลนี้ หนึ่งคนต่อหนึ่งตระกูล ควบคุมดูแลหอคัมภีร์ทั้งเก้าของหอทรงปัญญา

ว่ากันว่า ทั้งเก้าตระกูลนี้เป็นประชาชนรุ่นแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคโบราณ บนสองอาณาเขตของอาณาจักรติ้งซีอ๋องและอาณาจักรเป่ยอ๋อง ดังนั้นพวกเขาจึงได้ชื่อว่าเป็นเก้าตระกูลโบราณหรือเก้าตระกูลใหญ่

แต่ละสกุลจะมีอักษรรูปน้ำประกอบ เนื่องจากช่วงต้นอารยธรรม มนุษย์เลือกพักอาศัยใกล้แม่น้ำ ดังนั้นจึงเพิ่มอักษรน้ำเข้าไปในสกุลด้วย

ผู้อาวุโสที่อยู่สูงสุดของทุกตระกูล ถูกเรียกว่าบรรพบุรุษตระกูล รับตำแหน่งประมุขหอในหอทรงปัญญา

นี่คือกฎที่ถูกถ่ายทอดมารุ่นต่อรุ่น และไม่รู้ว่าไม่เคยเปลี่ยนแปลงมากี่พันปีแล้ว กระทั่งเซียนกระบี่ดาราที่รวมราชวงศ์เข้าด้วยกันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

ตรงกันข้าม ได้ยินว่าเขายังเชิญประมุขหอบรรพบุรุษทั้งเก้าคนมาร่วมทานอาหารด้วย…

เมื่อเทียบกันแล้ว ยุคของห้าอ๋องดูเหมือนจะตื้นเขินเกินไป…

หนึ่งในนั้นผู้ที่อายุมากที่สุดยังหนุ่มกว่าตี๋เหว่ยไท่นัก เช่นนั้นประวัติศาสตร์ของอาณาจักรห้าอ๋องจะเทียบกับหอทรงปัญญาได้อย่างไร

ดังนั้น ห้าอ๋องร่วมกันปกครองจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบของหอทรงปัญญาได้

ทว่าข้างนอกไม่วุ่นวาย แต่กลับไม่มั่นคง

กิจการนับหมื่นปีมักจะเริ่มพังทลายจากชั้นล่างสุดกับส่วนในก่อนเสมอ

หลายสิ่งหลายอย่างมักจะโอ้อวดตนมากเกินไปในตอนแรก ต่อมาจึงตายอย่างอนาถ…

เด็กน้อยที่ชื่อตี๋เหว่ยไท่ เขาโตแล้ว

ไม่เพียงแต่สามารถท่อง ‘ร้อยสกุลชาวจีน’ ‘คัมภีร์สามอักษร’ ได้เท่านั้น ตำรางประวัติศาสตร์ก็อ่านด้วยเช่นกัน

ไม่เพียงแต่สามารถท่องจำหนังสือประวัติศาสตร์เหล่านี้ได้แม่นยำ แม้แต่การวางแผนกลยุทธ์จับพู่กันวาดทิวทัศน์ภูเขาแม่น้ำก็ยังหยิบจับทำได้ตามใจชอบ

นั่นคือสิ่งที่เขาทำ

อาศัยหนึ่งสมอง หนึ่งพู่กัน

เรียงร้อยเป็นหนึ่งประโยค หนึ่งประโยคกลายเป็นหนึ่งคำพูด หนึ่งวรรครวมกันกลายเป็นหนึ่งบทประพันธ์

จากนั้นจึงอาศัยบทประพันธ์แต่ละบทไต่ขึ้นมา

รอยเท้าทุกย่างก้าวแช่อยู่ในน้ำหมึกและ…เลือดสด

ส่วนเขียนบทประพันธ์จนมีเลือดได้อย่างไร ยังไม่ขอเอ่ยถึง…

ไม่ว่าอย่างไรตี๋เหว่ยไท่ก็เดินมาถึงจุดสูงสุดของเขาแล้ว

หอคัมภีร์ทั้งเก้าของหอทรงปัญญาควบคุมโดยตระกูลใหญ่โบราณทั้งเก้าตระกูล ดังนั้นจึงเรียกว่าเก้าคัมภีร์

ผู้ที่มีสกุลนอกเหนือจากนี้ไม่มีโอกาสได้แตะต้องหอคัมภีร์เด็ดขาด

ต่างกับตระกูลโอวของโอวเสี่ยวเอ๋อที่เปิดกว้าง บรรพบุรุษโบราณทั้งเก้าต่อต้านคนต่างตระกูลเป็นอย่างยิ่ง

ภายใต้หอคัมภีร์ทั้งเก้า ได้แก่ ยอดประตูมังกร[1] สามศีลธรรม ห้าจรรยา และเจ็ดคุณธรรม

มีผู้อยู่ในตำแหน่งนั้นๆ หนึ่งคน สามคน ห้าคนและเจ็ดคนตามชื่อเรียก

ตำแหน่งที่ตี๋เหว่ยไท่ไต่เต้าขึ้นมาได้ก็คือยอดประตูมังกร

ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดภายใต้เก้าคัมภีร์

………………

หอคัมภีร์ของตระกูลซวีในตอนนั้น เหมือนแม่น้ำที่ไหลตลอดสี่ฤดูทางใต้

ซวีอี้ที่เคยได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลเชื่อใจซวีไท่โหยวน้องชายของตนเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งป่าวประกาศให้ทั่ว ตอนที่ตนปิดด่านหรือไม่อยู่ ซวีไท่สามารถใช้อำนาจของประมุขหอบรรพบุรุษทำหน้าที่แทนตนได้

แม้แต่การก่อสร้างและแบ่งงานของหอคัมภีร์ตระกูลซวี ซวีอี้ยังมอบให้น้องชายผู้นี้ของตนดำเนินการจนเสร็จ

ไม่เหมือนกับซวีอี้ ซวีไท่ชอบอิสระไม่ถูกกฎเกณฑ์ผูกมัด ชื่นชอบสถานที่คึกคักและสวยงามเป็นที่สุด

เขารับผิดชอบการก่อสร้างและตรวจสอบหอคัมภีร์ของตระกูลซวี ได้รับการขนานนามว่าเป็นหออันดับหนึ่งของหอทรงปัญญา

และยังไม่ต้องพูดถึงทั้งอาคาร ลำพังแค่ห้องโถงรับรองด้านล่างหอ ฤดูร้อนปูพื้นด้วยแผ่นน้ำแข็งหมื่นปียากละลาย ฤดูหนาวก่ออิฐทองแดงผสมน้ำร้อน

ไม่ว่าทั้งสี่ฤดูจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ล้วนอบอุ่นเย็นสดชื่น สบายผิดปกติ

บางครั้งถูกผู้คนขนานนามว่า ‘พระตำหนักฤดูร้อนแห่งผืนพิภพ พระราชวังก่วงหาน[2]บนท้องนภา’

และเนื่องจากซวีอี้ชื่นชอบคนเก่งมีความสามารถ ดังนั้นผู้ที่มาหอทรงปัญญา เกินครึ่งล้วนวิ่งมาที่หอคัมภีร์ตระกูลซวี

ทุกพลบค่ำ แสงไฟสว่างไสว

จะเห็นซวีไท่จัดงานเลี้ยงฉลองบนแท่นสูง เชิญผู้มากด้วยปัญญาในใต้หล้ามาร่วมงานเลี้ยงแทนพี่ชายของเขา

ตอนนั้นเสียงดนตรีดังไม่ขาดสาย ร่ำสุราพูดคุยกันเต็มที่ไม่เมาไม่เลิกรา

สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ แม้จะเป็นอาหารล้ำค่าจานหนึ่งแล้วอย่างไร แต่ก็เหมือนอาหารหมูอาหารสุนัขเท่านั้น…

งานเลี้ยงอยู่บนแท่นสูง สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของหอทรงปัญญาได้ชัดเจน

ด้านล่างมีภูเขาหินและบ่อตกปลา

ถึงแม้ภูเขาหินจะไร้สัตว์วิเศษหายากและดอกไม้สวยแปลกพิสดาร ทว่าหินทุกก้อนสูงตระหง่านแปลกตายิ่งนัก รวมกันเป็นยอดเขา ลักษณะแปลกประหลาดเหล่านั้น วิจิตรงดงามเหนือธรรมชาติ ดั่งดาบสวรรค์ฟาดลงมา

ในสระปลาจิ่นหลี่ (ปลาคาร์ฟ) หนวดยาวเท่าแขนคน ตัวหนาประมาณครึ่งเอวแหวกว่ายไปมา

ซวีไท่ชอบดื่มสุราเป็นที่สุด

เขารินเหล้าในกาลงสระ หลังจากมองปลาจิ่นหลี่เหล่านี้ดื่มสุราจนเมาแล้ว เมื่อเห็นว่าทรงตัวในน้ำไม่ได้ จึงหัวเราะเสียงดังกับแขกเหรื่อ

จากนั้นจับขึ้นมาทำอาหาร เป็นอาหารมื้อหลักในงานเลี้ยง

กลมกล่อมและหอมหวาน รสชาติติดลิ้น

ซวีไท่บอกทุกคนว่า “เนื้อปลานี้เดิมทีกลิ่นคาวมากทีเดียว ไม่ว่าจะใช้วิธีการปรุงแบบใด การกำจัดกลิ่นคาวถือเป็นสิ่งสำคัญ ปลาตัวหนึ่ง หากสามารถกำจัดกลิ่นคาวได้ก็นับว่าสำเร็จแล้วครึ่งหนึ่ง เหมือนปลาจิ่นหลี่ในสระตกปลานี้แหวกว่ายไปมาทุกวัน กล้ามเนื้อแข็งแรง หลังจากกำจัดกลิ่นคาวแล้ว แม้จะเลาะก้างออกเนื้อก็ยังแน่น แต่กำจัดจากภายนอกก็ไม่สู้กำจัดจากภายใน ดังนั้นก่อนจะนึ่งจึงให้ปลาดื่มสุราก่อน เพื่อให้ฤทธิ์สุรากระจายไปทั่วเส้นชีพจรต่างๆ แล้วขยายไปทั่วร่างกาย เพราะฉะนั้น พอปลาตัวนี้เมา ถึงแม้จะกำจัดกลิ่นคาวออกไปแล้ว จากนั้นนำไปนึ่งสักสามเค่อ ดับไฟอังไว้อีกหนึ่งเค่อ แล้วค่อยราดซีอิ๊วเล็กน้อย จึงจะได้รสชาติแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร”

แขกเหรื่อทั้งหลายได้ฟังแล้วต่างชื่นชมไม่ขาดปาก รีบแย่งกันกินเนื้อปลาไม่หยุด…

ตอนนี้ ซวีไท่จึงรู้สึกเหมือนเป็นการเริ่มต้นที่ดี

ขอเพียงมีคนสามารถแย่งเนื้อปลาใต้ครีบปลาในระยะสามชุ่นได้ ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาส่วนที่นุ่มที่สุด จะได้รับภาพเขียนอักษรอันล้ำค่าจากพี่ชายของเขา

เช่นนี้แล้ว ยิ่งทำให้ชื่อเสียงและอิทธิพลของตระกูลซวียิ่งสูงขึ้น

ตอนนี้ งานเลี้ยงบนแท่นสูง ภูเขาหินสระตกปลาจบลงแล้ว…เสียงหัวเราะพูดคุย เสียงดนตรีบรรเลงลอยหายไปตามสายลม

มีเพียงการนึ่งปลาเมาของซวีไท่ที่ได้รับการสืบสานต่อมา แต่เปลี่ยนจากปลาจิ่นหลี่ ล้ำค่าเป็นปลาตะเพียน ปลาโกว่ (ปลาไพค์) และอื่นๆ…ซึ่งชาวบ้านทั่วไปสามารถกินกันได้อย่างทั่วถึง

………………

หอคัมภีร์ตระกูลพั่ว อยู่ห่างจากห้องพักในคืนนี้ของโอวเสี่ยวเอ๋อไม่ถึงหนึ่งลี้

ถูกผู้คนขนานนามว่า ‘หอคัมภีร์เลือด’

มีปีหนึ่ง พั่วหยางหลานชายของประมุขหอพั่วหมิงจู่ๆ ก็แสดงตัวเป็นปรปักษ์ แต่คนอื่นๆ ในตระกูลไม่มีผู้ใดออกมาช่วยผู้นำตระกูลสักคน

ประมุขหอพั่วหมิงถูกบังคับให้สละตำแหน่งด้วยความจนใจ

วินาทีที่ออกจากจวนประมุขหอบรรพบุรุษ เหลือเพียงองค์รักษ์คนหนึ่งที่ติดตามมาด้วยตนเอง

“เจ้าไม่ไปหรือ”

พั่วหมิงถาม

“ไม่ไปขอรับ”

องค์รักษ์ตอบ

“ติดตามข้าแล้วจะมีประโยชน์อันใด เจ้าติดตามเขาไม่แน่อาจจะได้ทำงานใหญ่ หรือเจ้าคิดจะลอบกำจัดข้าทิ้งในที่ลับ เพื่อทำความดีความชอบ”

พั่วหมิงถาม

องค์รักษ์ไม่พูด แต่ชักดาบเหล็กออกมา

“ลงมือเถอะ”

พั่วหมิงกล่าว

แต่องค์รักษ์ไม่ได้ฆ่าเขา แต่ใช้ดาบตัดอวัยวะเพศของตน

“เขาชื่อพั่วหยาง ดังนั้นข้าจึงตัดหยางเพื่อปณิธานแจ่มแจ้ง คราวนี้ท่านเชื่อใจข้าได้แล้วใช่หรือไม่!”

องค์รักษ์กล่าว

พั่วหมิงเห็นดังนั้นก็ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง จึงสาบานเป็นพี่น้องต่างเพศกับเขา

และได้ให้คำมั่นสัญญาว่า หากวันหน้าได้กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง จะแบ่งปันเกียรติและอำนาจร่วมกับเขา

องค์รักษ์ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาพูดเรื่องเหล่านี้”

พั่วหมิงตอนนี้อยู่ในสภาพย่ำแย่เอาการ

ถูกไล่ออกขากหอคัมภีร์ตระกูลพั่ว เร่ร่อนตามท้องถนน

แม้แต่รสชาติของแป้งทอดธรรมดา ยังทำให้เขาอาลัยอาวรณ์ไม่หยุด…

องค์รักษ์หยิบเงินเก็บของตนออกมาซื้อข้าวให้เขา เอ่ยว่า “นี่คือเงินเดือนที่ท่านมอบให้ข้า ยามไม่ได้ใช้ข้าจึงเก็บไว้ ถึงแม้จะไม่สามารถทำให้ท่านได้กินอาหารมื้อใหญ่เหมือนก่อน แต่ท่านจะอิ่มท้องทุกมื้อ ข้าไม่ยอมให้ท่านอดตายแน่นอน”

ในที่สุดหลังจากเรื่องสงบ พั่วหมิงจึงวางแผนกำจัดพั่วหยาง ควบคุมตระกูลพั่วและกุมอำนาจใหญ่ของหอคัมภีร์

เมื่ออนุภรรยาสุดที่รักของพั่วหยางกำลังจะให้กำเนิดบุตร พั่วหมิงจึงปรึกษากับองค์รักษ์

“หากอนุภรรยาคลอดยาก เช่นนั้นพั่วหยางจะต้องเศร้าโศกเสียใจ หรือว่าพวกเราควรอาศัยจังหวะนี้”

พั่วหมิงกล่าว

องค์รักษ์กลับไม่เห็นด้วย เขากล่าวว่า “ท่านประมุขหอยังจำได้หรือไม่ว่าท่านโดนไล่ออกอย่างไร เป็นเพราะเขาสร้างอำนาจไว้ทุกหนทุกแห่ง และเนื่องจากเขาเป็นลูกหลานในตระกูล ท่านจึงประมาทเลินเล่อปล่อยให้เขาผูกมัดจิตใจคนครึ่งค่อนตระกูล ต่อมาเขาเห็นว่าแนวโน้มมีแววสำเร็จจึงออกตัวอย่างเปิดเผย ส่วนคนที่เหลือถึงแม้มีใจอยากจะช่วยท่านต่างได้แต่กล้าโมโหไม่กล้าพูด วันนี้หากท่านอยากช่วงชิงทุกอย่างที่เสียไปกลับมาทั้งหมด เช่นนั้นต้องเริ่มจากสิ่งที่สูญเสียไปก่อน”

พั่วหมิงฟังแล้วจึงเข้าใจแจ่มแจ้ง…หัวเราะเยาะตนเองว่าถูกความแค้นครอบงำทำให้ขาดสติ

ทั้งที่เป็นหนึ่งในเก้าคัมภีร์หอทรงปัญญา ทว่าสู้องค์รักษ์ที่พอรู้หนังสือแต่กลับวางกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสมไม่ได้

พั่วหมิงจึงถามองค์รักษ์ต่อว่าควรเรียกชื่อเสียงของตนกลับมาอย่างไร องค์รักษ์กลับปิดปากเงียบ บอกเขาเพียงว่าตอนที่เขาได้ยินข่าวลือว่ามีสิ่งชั่วร้ายจากหอคัมภีร์ตระกูลพั่ว วันนั้นคือวันที่เขาจะได้กลับไปหอคัมภีร์อีกครั้ง

จากนั้น องค์รักษ์จึงมอบเงินที่เหลือทั้งหมดให้เขา โขกศีรษะคำนับสามครั้ง แล้วจากไป

ไม่ว่าพั่วหมิงจะตะโกนตามหลังเท่าไร เขาก็ไม่หันหน้ากลับมา

องค์รักษ์กลับไปที่หอทรงปัญญาเพียงลำพัง

บอกว่าตนเป็นขุนนางของพระราชวังฝ่ายใน เนื่องจากทำผิดกฎของพระราชวังจึงถูกไล่ออกมา

ตอนนี้ไม่มีที่ไป แค่อยากทำงานฝนหมึกคลี่กระดาษในหอทรงปัญญา เพื่อรอดชีวิตไปวันๆ

ผู้รับผิดชอบการตรวจสอบสั่งให้เขาถอดกางเกงเพื่อตรวจสอบร่างกาย แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าบริสุทธิ์ และองค์รักษ์ก็ยังอ่านออกเขียนได้ สามารถรับใช้เหล่าบัณฑิตผู้ทรงคุณวุฒิได้ จึงรับเขาเข้าทำงาน

กลางดึก เขาแอบย่องเข้าไปในห้องอนุภรรยาของพั่วหยาง

เนื่องจากห้องอนุภรรยาผู้นี้เป็นที่โปรดปรานอย่างมาก เพราะฉะนั้นฮูหยินจึงอิจฉา การป้องกันจึงอ่อนแอผิดปกติทำให้องค์รักษ์ลงมือได้ง่าย

เขาอาศัยจังหวะตอนที่อนุภรรยากำลังนอนหลับฝัน ใช้ยาสลบทำให้นอนหลับลึกขึ้น จากนั้นใช้มีดกรีดที่ข้อมือทั้งสองข้างของนาง แล้วใช้ผ้าขนหนูหมาดๆ เช็ดให้แห้ง ต่อจากนั้นใช้น้ำแข็งห้ามเลือด

หลังจากไม่เห็นคราบเลือดใดๆ แล้ว จึงหยิบปิ่นปักผมสองอันของนางกลับไปยังห้องของตน จากนั้นนำเลือดสัตว์ที่เตรียมไว้เทลงไปตามช่องประตูของหอคัมภีร์ แล้วใช้ปิ่นปักผมอันหนึ่งวางลงไปในกองเลือด

เด็กเฝ้าหอที่เข้าเวรฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ รอให้ถึงเช้าวันถัดไปตอนที่ต้องเปลี่ยนเวรเมื่อเห็นคราบเลือดติดกับปิ่นปักผมหน้าประตูอย่างไม่รู้สาเหตุ จึงร้องตกอกตกใจ ตะโกนว่าผีหลอก!

และองค์รักษ์ที่อ้างว่าตนเป็นขุนนางในวัง ได้ยินว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นไม่น้อย จึงแอบปล่อยข่าวออกไป โดยหันหัวหอกไปที่อนุภรรยาและทารกในครรภ์ของนาง

ฉะนั้น ทุกๆ สามถึงห้าวัน เขาจะทำซ้ำอีกหนึ่งครั้ง

ในที่สุดก็เกิดความวุ่นวายไปทั่วหอทรงปัญญา เก้าคัมภีร์ทุกคนต่างรับรู้ ทำให้พั่วหยางยากที่จะหลีกเลี่ยง

หลังจากที่เขาเห็นรอยโดนมีดกรีดบนข้อมืออนุภรรยาของตน ก็เริ่มสงสัยนางอย่างอดไม่ได้…

แม้เขาจะไม่เชื่อข่าวลือเรื่องผีหรือวิญญาณ แต่ข่าวลือที่ยืดเยื้อยาวนานเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตนเป็นอย่างยิ่ง

นับประสาอะไรกับอนุภรรยาห้องนี้ที่เป็นหญิงโสเภณี ตบแต่งเข้าเรือนย่อมเป็นที่ครหาไม่หยุด

หลังจากนั้น องค์รักษ์ยิ่งรุกหนัก เขานำเลือดเทใส่ท่อยาง แล้วเทลงบนหอคัมภีร์

หินหนึ่งก้อนสร้างคลื่นนับพันชั้น ต่อให้เขาเป็นประมุขหอก็ไม่อาจยับยั้งความโกรธของทุกคน แต่เขายังอาลัยอาวรณ์อนุภรรยาผู้นี้ของตน หนำซ้ำนางกำลังจะคลอดแล้ว

ก่อนที่อนุภรรยาจะคลอดหนึ่งวัน กลางดึกองค์รักษ์แอบเปิดประตูของหอคัมภีร์ด้วยตนเอง เขาฆ่าเสมียนด้วยดาบเดียวเปลื้องเสื้อผ้าจนหมด บิดแขนขาไม่เป็นรูป และยังมีรอยกรีดเต็มตัวเหมือนที่กรีดข้อมืออนุภรรยา จากนั้นจึงเช็ดเลือดและห้ามเลือดเช่นเดียวกัน

สุดท้ายเขาจึงจุดไฟ เผาหอคัมภีร์ จากนั้นตนใช้ปิ่นปักผมอีกอันหนึ่งของอนุภรรยาปักไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของตนฆ่าตัวตาย

ผู้ที่วิ่งเข้ามาเพื่อจะช่วยดับไฟ เมื่อเห็นสภาพการตายของคนทั้งสองกลับไม่กล้าเดินเข้าไปในหอคัมภีร์แม้แต่ครึ่งก้าว…

เพราะองค์รักษ์ได้ลอบสร้างสายลมแห่งความชั่วร้าย เป็นผู้จุดไฟเผาด้วยตนเอง ตอนนี้ทุกคนเห็นเขาถูกฆ่าด้วยปิ่นปักผมของอนุภรรยา ยิ่งทำให้ทุกคนเชื่อว่าอนุภรรยาผู้นี้เป็นปีศาจแปลงกายเป็นคน

ตำแหน่งของพั่วหยางเริ่มสั่นคลอน บวกกับเดิมทีผู้คนที่เป็นกลางหรือสนับสนุนพั่วหมิง หลายปีที่ผ่านมาถูกเขากดขี่ทรมานเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้กลับมีการเคลื่อนไหว

พั่วหมิงได้ยินข่าวเหล่านี้ก็รู้ว่าขุนนางผู้นั้นก็คือองค์รักษ์

ตอนที่น้ำตาตก เขาได้ตัดสินใจแน่วแน่กลับไปหอคัมภีร์ตระกูลพั่ว เขาไม่อาจยอมให้พี่น้องร่วมสาบานของตนตายเปล่าเช่นนี้

เป็นดังคาด ยามที่เขาปรากฏตัว ได้ผลลัพธ์เหมือนตอนที่ทุกคนเรียกพั่วหยาง คนส่วนใหญ่สนับสนุนเขาอีกครั้งในทันที

พั่วหมิงมองพั่วหยางด้วยใบหน้านิ่งเฉยเหมือนแผ่นเหล็ก ทว่าในใจกลับซับซ้อนยิ่งนัก

ถึงแม้เขาจะกลับมาดูแลหอคัมภีร์ของตระกูลพั่วอีกครั้ง ทว่ากลับไม่มีจิตใจที่อยากจะดูแลต่อ

……………………………………………………………………….

[1] ประตูมังกร หมายถึง ผู้ทรงอำนาจ มากบารมี

[2] พระราชวังก่วงหาน วังที่อยู่บนดวงจันทร์ตามความเชื่อจีน

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท