บทที่ 91 หลุมศพนกแก้วข้างสระเฟิ่งหวง-3
นับตั้งแต่นั้นมา เผินชีก็เงียบไม่พูดไม่จา
ถึงแม้จิตใจจะกลับมาแล้ว แต่ไม่อยากขี่ม้าวิ่งเล่นอีกแล้ว
เขาไปที่ไหนก็มักจะนั่งเกี้ยว สองเท้าไม่ยอมเหยียบพื้น
ดื่มแต่หยาดน้ำฟ้า ไม่ดื่มน้ำบ่ออีกต่อไป
หลังจากเผินหย่งตายแล้ว เขาสืบทอดตำแหน่งประมุขหอบรรพบุรุษภายใต้การสนับสนุนของทุกคน ทว่าเขากลับไม่แต่งงานตลอดชีวิต
หลังจากเขาตายไป ทุกคนทำตามคำขอสุดท้ายของเขาโดยนำศพใส่ลงไปยังบ่อที่แม่หญิงผู้นั้นฆ่าตัวตาย
จวบจนปัจจุบันนี้ กลายเป็นบ่อที่รวมตัวของผีเสื้อและนกกางเขน หนึ่งในสถานที่มหัศจรรย์ของหอทรงปัญญา
ทุกครั้งเมื่อถึงฤดูร้อน มักจะมีผีเสื้อปกคลุมทั่วพื้นและนกกางเขนที่บินวนเวียนอยู่เหนือบ่อน้ำ ติดต่อกันไม่ขาดสายทำให้คนรู้สึกแปลกใจไม่หยุด
ต้นน้ำของบ่อผีเสื้อและนกกางเขนเชื่อมต่อกัน ซึ่งก็คือสระเฟิ่งหวง
ตอนนั้นนอกจากเก้าคัมภีร์แล้วยังเป็นศูนย์รวมชีวิตของหอทรงปัญญา
วันที่ก่อตั้งหอทรงปัญญาขึ้นมา ตระกูลบรรพบุรุษทั้งเก้าจะมีบทกวีหลักหนึ่งบท สลักอยู่บนป้ายวิญญาณซึ่งอยู่ใต้น้ำ
แต่ตอนนี้ เหลือเพียงเศษของบทกวี ซึ่งไม่รู้ว่าตระกูลไหนเป็นคนทำ
ทว่ายังคงเห็นเนื้อหาอยู่ ‘วุ่นวายผันแปร ฟ้าดินเปิดกว้าง ถ่ายทอดคำสอน หอทรงปัญญาก่อเกิด บ้านเมืองสงบ ทั่วหล้าสันติ แดนสุขสัญจรรุ่งโรจน์ รู้แจ้งเก้าคัมภีร์ หอคัมภีร์สูงสง่า เมฆาซ้อนทับ ผู้มากปัญญาไม่ขาดสาย…’
………………
เมื่อใช้สระเฟิ่งหวงเป็นจุดศูนย์กลาง ทิศเหนือใต้ออกตกประหนึ่งเมืองหลวงแห่งหนึ่ง แบ่งเป็นสี่หัวเมืองใหญ่
เมืองอุดรเน้นตลาดขายเนื้อเป็นหลัก
บัณฑิตไม่ประหวั่นพรั่นพรึง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์หายาก หรือสัตว์เลี้ยงตามบ้าน ล้วนมีครบทุกอย่าง
ในเมืองแห่งนี้สองตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือตระกูลฝานและตระกูลจาง ฝานไคว้ และจางเฟยหัวหน้าตระกูลได้ลงทุนด้วยเงินก้อนโต
แต่ลูกหลานในบ้านก็ไม่เว้น ล้วนไม่เรียนหนังสือ
นอกจากกิจการขายเนื้อแล้ว ยังรับเลี้ยงม้าและแข่งม้า
ลูกศิษย์ของเก้าคัมภีร์มักจะมาเล่นพนันม้าเพื่อความสนุก ทำให้พวกเขาทั้งสองคนทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
ต่อมาจึงยื่นมือเข้ามาแทรกเรื่องการค้าขายข้าวโพด เกลือและเหล็ก ควบคุมราคาสูงต่ำของตลาด เข้าถึงทั้งทางน้ำและทางเรือ พื้นที่ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับพ่อค้าทั้งสอง
ถึงแม้คนของเก้าตระกูลจะดูถูกพวกเขา แต่พวกเขากลับสะสมทรัพย์สินจำนวนมหาศาล สร้างหอชมวิว ถ้ำเก็บสมบัติ ที่เหลือยังมีรถม้า เสื้อผ้า เครื่องประดับ เป็นต้น ไม่ต่างจากผู้นำของตระกูลบรรพบุรุษทั้งเก้า
ยามที่หอทรงปัญญาเกิดความโกลาหล ตระกูลฝานและตระกูลจางเป็นฝ่ายเสนอตัวออกเงินจำนวนมากเพื่อรักษาชีวิต ปัจจุบันชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่ในแดนสุขสัญจร โดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นลูกหลานของสองตระกูลนี้
เพียงแค่พวกเขาไม่ได้ทำกิจการค้าขายไปทั่วหล้า แต่กลับไปปลูกผักทำไร่ใช้ชีวิตที่สุขสงบ
เมืองทักษิณมีหอนางโลมโรงขับร้องตั้งเรียงราย เสียงหยอกล้อและเสียงดนตรีบรรเลงไม่ขาดสายตลอดวัน
คนป่าเถื่อนทางใต้ที่แข็งแกร่งกำยำเกลื่อนกลาดอยู่บนถนน ผู้สาปสรรแดนพายัพพ่นคำสาปแช่ง
หญิงงามในหอนางโลมแย้มยิ้มเขินอาย ใบหน้าจิ้มลิ้มแดงระเรื่อ ปากสีชาดดุจตะวันยอแสง คิ้วโก่งดั่งพระจันทร์เสี้ยว มวยผมสวยประดุจปีกจั๊กจั่น
ยามที่หอนางโลมไม่รับแขกในเวลากลางวัน ก็จะลงมาเดินเล่นตามท้องถนน
จับกลุ่มสามถึงห้าคน สวมเสื้อแขนยาวสีมรกตพลิ้วไหว กระโปรงโบกสะบัดส่งกลิ่นหอม
สิบนิ้วเรียวราวหน่อไม้หยก มือถือกังหันลมหรือน้ำตาลปั้น
ทุกฤดูหนาว เมื่อหิมะตกหนัก เหล่าบัณฑิตของหอทรงปัญญาชอบปาหิมะเล่น หยอกล้อกันสนุกสนาน
ดึงดูดเสียงปรบมือโห่ร้องจากบุรุษรูปงามและสตรีเลอโฉม แต่ละคนเหงื่อชุ่มเสื้อคลุมไหล่ ต้องเล่นให้หนำใจถึงยอมเลิกรา
จากนั้นเมื่อหนุ่มรูปงามที่เล่นสนุกถูกใจตน จึงโอบไหล่เดินขึ้นไปชั้นบน
จี้หยกวางอยู่บนโต๊ะ สายรัดเอวผ้าไหมซ่อนอยู่ในมือ
ยามนางเปลือยกายผิวขาวเนียนราวหิมะ
แขนนวลละเอียด กลิ่นกายหอมแม้ไร้เครื่องประทินผิว
แม้ความงามแห่งเยาว์วัยจะหายไปตามกาลเวลา ทว่าก็ยากที่จะไม่ถวิลหา…
ฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วงทางทักษิณนี้ไม่รู้ว่ายืนหยัดนานเพียงใด จวบจนทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่
เมืองบูรพาอุดมไปด้วยอาหาร และสุรารสเลิศ โดยเฉพาะสุราดีอย่าง ‘ชีวิตดั่งฝันแสนสั้น’ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
ผู้หมักสุรานำน้ำที่ละลายจากหิมะชั้นล่างสุดของแดนสุขสัญจรในฤดูหนาวสุดมาใช้หมักสุรา เมื่อได้ดื่มหนึ่งจอกช่วงกลางฤดูร้อน จะรู้สึกเย็นสดชื่นทั่วทั้งร่างกายทันที ดับความร้อนอบอ้าวจนสิ้น โดยเฉพาะเมื่อซวีไท่โปรดปรานด้วยแล้ว ดังนั้นทุกปีจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการ
เคยมีบัณฑิตได้กลิ่นสุราก็เมามายไม่รู้เรื่องถึงสามวัน หลังจากสร่างเมาแล้ว หัวสมองเบาสบาย เขียนผลงานได้อย่างลื่นไหลราวกับมีเทพช่วย
ทั้งยังเคยมีคนเคยดื่มสุราจนตื่นรู้ สามารถเขียนตำราเคล็ดวิชา ‘เมามายในห้วงฝัน’ ได้เล่มหนึ่ง
ถึงแม้จะเป็นวิชาฝึกยุทธ์ แต่การใช้ถ้อยคำสำนวนนั้นสวยงามประณีต ใช้คำสละสลวยและลื่นไหล แม้จะนำไปใช้เป็นตำราสายบุ๋นก็ไร้ซึ่งข้อกังขาใดๆ
วิชา ‘เมามายในห้วงฝัน ’ พิถีพิถันตรงที่ไม่มีสุราก็ยังมึนเมาถึงสามส่วน วิชาหมัดเมากระบี่เมาในยุคหลังก็เกิดขึ้นจากสิ่งนี้
นอกจากนี้ยังมีอาหารเลิศรสนับพัน ของหวานนับหมื่น ต่อให้กินติดกันสิบปีก็ไม่ซ้ำ
เมืองประจิมเป็นสุสาน โดยปกติไร้ผู้คนเยี่ยมเยือนจึงไม่ค่อยมีบันทึกเท่าไรนัก
ปัจจุบันนี้สุสานถูกกลบ ไม่ว่าถูกผิดหรือชั่วดีล้วนถูกฝังอยู่ใต้ดินเหลืองชั้นหนา ไม่มีแม้แต่โอกาสให้คนรุ่นหลังได้ออกความเห็น…
ไม่รู้ว่ามีวิญญาณอาฆาตกี่มากน้อยกำลังฟังบทสนทนาของหลิวรุ่ยอิ่งกับเซียวจิ่นข่านอย่างตื่นตาตื่นใจ ฟังเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่พวกเขาเคยสร้างขึ้นมา
………………
“ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
อยู่ดีๆ ค่ำคืนอันเงียบสงบก็เกิดเสียงดังอึกทักขึ้นมากะทันหัน อดไม่ได้ที่จะตกใจตื่น
“ไม่ต้องสนใจ จะว่าเป็นเรื่องปกติก็ปกติ”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
จากนั้นนำผลไม้อบแห้งกองเล็กตรงหน้าแบ่งให้หลิวรุ่ยอิ่งครึ่งหนึ่ง
“เจ้าคงไม่ได้มาหอทรงปัญญาโดยไม่มีสาเหตุกระมัง”
ในที่สุดเซียวจิ่นข่านก็ถามออกมา
หลิวรุ่ยอิ่งกำลังจะนำผลไม้อบแห้งชิ้นหนึ่งใส่ปาก เมื่อได้ยินจึงวางลง
เขาไม่รู้ว่าควรเอ่ยความจริงกับเซียวจิ่นข่านหรือไม่…ถึงอย่างไร ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ก็เกี่ยวข้องมากจริงๆ
“ข้ามาทำงาน”
หลิวรุ่ยอิ่งคิดไปคิดมาจึงพูดเพียงสี่คำ
“สองคนที่ร่วมเดินทางมากับเจ้า เจอกันตอนครึ่งทางใช่หรือไม่”
เซียวจิ่นข่านถาม
หลิวรุ่ยอิ่งแปลกใจเล็กน้อย เขาไม่เคยพูดว่าเคยร่ำสุรากับจิ่วซานปั้นและโอวเสี่ยวเอ๋อมาก่อน เซียวจิ่นข่านรู้ได้อย่างไร
“เหตุใดเจ้าไม่ถามข้า หลังออกจากกรมสอบสวนแล้วยังทำอะไรอีก”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
แสงไฟนอกห้องค่อยๆ ห่างออกไป เสียงเอะอะเจี๊ยวจ๊าวเริ่มหายไปเช่นกัน
ยามราตรีที่กำลังจะผ่านไป กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
“เจ้าบอกว่าเป็นหัวขโมยไม่ใช่หรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งแสร้งพูดอย่างผ่อนคลาย
แต่มือของเขากลับหยิบผลไม้อบแห้งใส่ปากไม่หยุด
คนเราเวลากังวล มักจะเคยชินกับการทำอย่างอื่นเพื่อปกปิดอยู่เสมอ
คิดว่าทำเช่นนี้จะสามารถส่งต่อความสุขุมใจเย็นของตนให้รับรู้ หารู้ไม่แท้จริงแล้วกลับทำให้คนมองเราอย่างทะลุปรุโปร่ง
หลิวรุ่ยอิ่งในตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้
ตอนที่เขากินผลไม้อบแห้งก่อนหน้านี้ เขาจะเคี้ยวช้ามากทุกคำ
หลังอมผลไม้อบแห้งจนชุ่มแล้ว รอผิวเริ่มนุ่มเล็กน้อยถึงเริ่มเคี้ยว
เขาเคี้ยวเต็มคำทุกคำ จากนั้นใช้ฟันหลังกัดผลไม้อบแห้งจนเรียบแบน ละลายจนไม่เหลือ
เวลากินสิ่งใดก็ตามหลิ่วรุ่ยอิ่งมักหักให้เป็นสองท่อนในปาก เช่นนี้จึงสามารถเคี้ยวได้สองข้างในเวลาเดียวกัน หอมฟุ้งทั่วปาก ทั้งสองข้างไม่รู้สึกถึงความเอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
แต่ตอนนี้ เขากลับเคี้ยวผลไม้อบแห้งอยู่แค่ข้างซ้ายเท่านั้น และยังไม่ทันกลืนก็ใส่เพิ่มเข้าไปอีกชิ้นแล้ว
“ข้าก็เป็นคนที่รู้กฎเช่นกัน ถ้าไม่สะดวกที่จะพูดก็ไม่เป็นไร”
เซียวจิ่นข่านยิ้มพูด
เขาเปิดผนึกดินของไหสุราใหม่อีกครั้ง ทั้งยังเปลี่ยนจอกของหลิ่วรุ่ยอิ่งเป็นขนาดใหญ่กว่าเดิม รินให้จนเต็มจอก
“เหตุใดข้าถึงต้องดื่มเยอะเพียงนี้!”
หลิวรุ่ยอิ่งมองจอกตรงหน้าตนอย่างตกตะลึง เรียกว่าไหสุราขนาดเล็กคงจะดีกว่า
“ข้าบอกแล้วว่าดื่มสุรามากเท่าไร็ต้องกินผลไม้อบแห้งมากเท่านั้น หลักการเดียวกัน เจ้ากินผลไม้อบแห้งมากเท่าไร ก็ต้องดื่มสุรามากเท่านั้น!”
เซียวจิ่นข่านชี้ไปยังโต๊ะตรงหน้าหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งมอง แต่กลับเกรงใจเล็กน้อย…
เขากินผลไม้อบแห้งที่เซียวจิ่นข่านมอบให้ตนเมื่อครู่จนหมดเกลี้ยงโดยไม่รู้ตัว
เขามองสุราจอกนี้ ลังเลครู่หนึ่ง ทันใดนั้นพลันยกจอก (ไห) ขึ้นมา แล้วดื่มหมดรวดเดียว
เช่นนี้แล้ว กลับเป็นเซียวจิ่นข่านที่ตกใจแทน!
“ทำไมหรือ ได้ยินว่าสุรานี้แพงนักเลยต้องดื่มเยอะหน่อย?”
เซียวจิ่นข่านพูดหยอกล้อ
หลิวรุ่ยอิ่งดื่มสุราจอกใหญ่ (ไห) จนแทบลืมตาไม่ได้
อยากจะพูด แต่ลำคอกลับรู้สึกแสบร้อนเป็นอย่างมาก
ไม่มีทางอื่น จึงแย่งผลไม้อบแห้งสองชิ้นตรงหน้าของเซียวจิ่นข่าน แล้วโยนใส่ปากเคี้ยวเพื่อดับรสชาติ
“กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เซียวจิ่นข่านได้ยินแล้วตาเป็นประกาย
ถึงแม้เข้าจะตาบอด
ดวงตาสูญเสียประกายไปนานแล้ว ทว่าหลิวรุ่ยอิ่งสัมผัสได้ว่าตาเขาเป็นประกาย
“อยู่ในมือของเจ้าจริงหรือ”
เซียวจิ่นข่านถาม
หลิวรุ่ยอิ่งตอบอืมเบาๆ หนึ่งที
เซียวจิ่นข่านไม่พูด หยิบไหสุราของหลิวรุ่ยอิ่ง แล้วรินใส่จอกของตนจนเต็ม
จอกนี้เยอะกว่าจอกของหลิวรุ่ยอิ่ง เพราะมันล้นออกมาไม่น้อย
“น่าเสียดาย…”
หลิวรุ่ยอิ่งมองสุราที่ไหลบนโต๊ะพลางเอ่ย
เซียวจิ่นข่านยกขึ้นมา ท่าทางเหมือนหลิวรุ่ยอิ่งไม่ผิดเพี้ยน ดื่มหมดรวดเดียว
ทว่าเขาแค่ดื่มเพียงชั้นบางๆ ด้านบน แล้ววางลง
“ข้าจะพาเจ้าไปดูสระเฟิ่งหวง!”
เซียวจิ่นข่านเอ่ย
“ดึกขนาดนี้แล้ว ยังจะมองเห็นหรือ”
ด้วยฤทธิ์สุราหลิวรุ่ยอิ่งเริ่มง่วงแล้ว จึงไม่อยากขยับร่างกายแม้แต่น้อย
ทว่าเซียวจินข่านกลับดึงดันที่จะพาหลิวรุ่ยอิ่งไปเดินเล่นที่สระเฟิ่งหวงให้จงได้ หลิวรุ่ยอิ่งสู้ไม่ไหว จึงได้แต่ตามเขาไป
อีกด้านหนึ่ง โอวเสี่ยวเอ๋อได้ยินเสียง จึงแอบย่องออกจากประตูห้องแล้วเดินตามหลัง
นางเดินตามคนของหอทรงปัญญามาถึงริมแม่น้ำไหลสี่ฤดู ซึ่งเป็นสถานที่ลับฝีมือระหว่างเหลี่ยงเฟินและจิ่วซานปั้น
……………………………………………………………………….