บทที่ 95 เต้าหู้แช่รังนก เป็นคนต้องถนอมความสุข-1
“เจ้าจะอืดอาดถึงเมื่อไร ถ้าเจ้ายังไม่ย้ายก้นมาบนอานม้าอีก เช่นนั้นค่ำนี้ก็คงไม่ถึง!”
หนึ่งผู้เฒ่าหนึ่งชายหนุ่มนี้ก็คือบัณฑิตจางกับทังจงซง
พวกเขาสองคนออกเดินทางจากเมืองติ้งซีอ๋องสิบกว่าวันแล้ว แต่ยังไม่ถึงหอทรงปัญญา
ไม่รู้สองคนนี้เดินทางอย่างไร หรือว่ามัดกีบม้าไว้?
ต่อให้เป็นบัวทองสามชุ่น[1]ของสตรียุคเก่าก็ควรถึงแล้วไม่ใช่หรือ
“ข้าไม่ไปแล้ว พูดอะไรก็ไม่ไปแล้ว!”
เดิมทังจงซงกำลังจะยกก้น แต่นั่งลงไปอย่างมั่นคงอีกครั้ง
“อย่างกับข้าลุกเดินเดี๋ยวนี้แล้วจะถึงหอทรงปัญญาตอนฟ้ามืดอย่างนั้นละ!”
ทังจงซงกล่าว
ในเสียงยังผสมเสียงสะอื้นเล็กน้อย ทำเอาบัณฑิตจางคาดไม่ถึง
“เจ้า…จริงจัง?”
บัณฑิตจางเอ่ยถาม
“ใช่! จริงจัง ข้าพูดแล้วเหมือนตอกตะปู บอกว่าไม่ไปคือไม่ไปเด็ดขาด!”
ทังจงซงกล่าว
พลันเอนหลังนอนลง อยู่ในท่ากางแขนกางขาเหมือนอักษรต้า (大)
“เจ้ารู้หรือไม่นี่คือที่ใด”
บัณฑิตจางถาม
“ไม่รู้ อย่างไรก็ไม่ใช่หอทรงปัญญา ส่วนเป็นที่ไหนกันแน่เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
ทังจงซงกล่าว
เขาแค่รู้สึกมีอารมณ์เคืองขุ่นเต้นเร่าอยู่ในอก ทำให้อยากระเบิดโมโห
“ที่นี่เรียกเมืองจิ่งผิง ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าหนหนึ่งแล้ว”
บัณฑิตจางกล่าวอย่างเชื่องช้า
แต่ทังจงซงได้ยินแล้วกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ยังนอนแหงนหน้าขึ้นฟ้าเหมือนเดิม
“นี่คือเมืองจิ่งผิง!”
บัณฑิตจางกล่าวเสียงลั่น
“ข้าได้ยินแล้ว ข้าไม่ใช่คนหูหนวกสักหน่อย!”
ทังจงซงใช้ข้อศอกยันพื้น เงยหน้าขึ้นกล่าวประโยคหนึ่งด้วยความหงุดหงิด จากนั้นนอนลงอีกครั้ง
บัณฑิตจางแปลกใจเล็กน้อย
เขาเห็นทังจงซงไม่รู้จริงๆ ว่าเมืองจิ่งผิงนี้หมายถึงอะไร ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อทันที
“เจ้าไม่รู้จักเมืองจิ่งผิง?”
บัณฑิตจางถาม
“ข้ารู้จักชุ่ยผิง หลิวผิง อี่ผิง”
ทังจงซงกล่าว
“นั่นคือสิ่งใด”
คราวนี้ถึงตาบัณฑิตจางไม่รู้แล้ว
“นางโลมเลื่องชื่อในหัวเมืองรัฐติง”
ทังจงซงกล่าว
“พอผ่านเมืองจิ่งผิงก็เข้าแดนสุขสัญจร ตั้งแต่แดนสุขสัญจรก็นับเป็นเขตของหอทรงปัญญาแล้ว”
บัณฑิตจางกล่าว
“ข้าไม่เคยสนใจเรื่องที่อยู่ไกลตัวข้า หากท่านถามข้าว่าในหัวเมืองรัฐติงมีตรอกซอยกี่เส้น ทางผ่านกี่สายทางตันกี่สาย ทางตันเดินกี่ก้าวถึงสุดทาง ทางผ่านเดินกี่ก้าวถึงเลี้ยว ข้าจำได้ชัดเจนยิ่ง”
ทังจงซงกล่าว
“เมืองจิ่งผิงใหญ่แค่ไหน”
ทังจงซงถามต่อ
“เล็กมาก หากยกบังเหียนสามครั้งต้องวิ่งผ่านไปได้แน่นอน”
บัณฑิตจางกล่าว
“แล้วแดนสุขสัญจรใหญ่แค่ไหน”
ทังจงซงถามอีก
“นี่…ก็ไม่ค่อยใหญ่เหมือนกัน”
บัณฑิตจางไม่ถนัดเปรียบเปรยจริงๆ ได้แต่พูดคลุมเครือเช่นนี้
“นั่นก็ใช่แล้วนี่? ไม่ค่อยใหญ่…ไม่แน่กลางดึกคืนนี้ยังต้องนอนค้างอยู่บนแดนสุขสัญจร แล้วก็กินลมผายลม…”
ทังจงซงกล่าว
“แล้วเจ้าจะทำอย่างไร!”
บัณฑิตจางเอ่ยถาม
“ข้าอยากหลับเต็มตาสักตื่น กินข้าวอิ่มสักมื้อ”
ทังจงซงกล่าว
“ข้าเคยไม่ให้เจ้านอน?”
บัณฑิตจางถามกลับ
“ข้าบอกว่าหลับเต็มตาสักตื่น…หมายถึงอาบน้ำร้อนสบายๆ จากนั้นนอนบนเตียงใหญ่ที่นุ่มและกว้าง หากได้นอนบนแขนงามอกเนียนอีกละก็ เช่นนั้นจะหลับได้ดีกว่าเดิม!”
ทังจงซงกล่าว
“พูดถึงกินอิ่ม…ทุกมื้อกินแป้งทอดครึ่งชิ้นใหญ่ค่อยดื่มน้ำเย็นนิดหน่อย ข้าไม่สำลักตายบวมน้ำตายก็ไม่เลวแล้ว กล้ากินอิ่มเสียที่ไหน”
ทังจงซงบ่น
“แล้วเจ้าอยากกินอะไร”
ที่จริงบัณฑิตจางก็รู้สึกในปากในท้องจืดชืดมากเหมือนกัน…เพียงแต่เขาระวังเรื่องฐานะ ไม่สะดวกเผยออกมาตามตรง
คราวนี้ทังจงซงพูดออกมาอย่างไร้ยางอาย เขาก็เกิดความหวังอยู่หลายส่วน
“ข้าอยากกินรังนก”
ทังจงซงกล่าว
พายุทรายในแดนทักษิณนี้รับรองว่ามีหนึ่งแสนคนก็กินไม่พอ แต่รังนกกลับหายากดุจทองหมื่นชั่ง
อย่าว่าแต่ในสถานที่เล็กๆ อย่างเมืองจิ่งผิงเลย ต่อให้เป็นเมืองติ้งซีอ๋องก็มีร้านที่หารังนกมาได้แค่สามสี่ร้าน ทั้งยังไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม
“รังนก…ไม่ได้กินนานมากแล้ว”
บัณฑิตจางนึกถึงความรู้สึกเหนียวนุ่มลื่นคอ ความเหนียวเนื้อฉ่ำของรังนก อดกลืนน้ำลายอึกหนึ่งไม่ได้
“เจ้าชอบกินอย่างไร”
บัณฑิตจางเอ่ยถาม
ถึงกับขัดสมาธินั่งบนพื้น
หากคนทั่วไปอยากนั่งตรงจุดเดิมต้องย่อกายลงก่อน จากนั้นยันพื้นด้านหลังแล้วจึงนั่งลงได้
แต่บัณฑิตจางขาขวานิ่งไม่ไหวติงเหมือนเสาไม้ต้นหนึ่ง จากนั้นพาดขาซ้ายเข้ามา หลังเท้าแนบชิดตรงส่วนหัวเข่า ย่อลงทั้งอย่างนั้น
ตอนย่อถึงขีดจำกัด ค่อยๆ ยกปลายเท้าซ้ายให้ร่างกายตั้งอยู่กลางอากาศเล็กน้อย
ขาขวาอาศัยช่องว่างนี้พาดกลับมาอีกครั้งก็นั่งลงอย่างมั่นคง
“ข้า…ชอบใส่น้ำผึ้งนิดหน่อย ข้าชอบกินรสหวาน!”
ทังจงซงกล่าว
“ฮึๆ…”
บัณฑิตจางอดหัวเราะไม่ได้
“ทำไม ลูกผู้ชายแดนพายัพกินอาหารหวานไม่ได้?”
ทังจงซงใช้ข้อศอกซ้ายยันพื้น เอียงศีรษะกล่าว
“ไม่ๆๆ…ใครบอกว่าลูกผู้ชายต้องแทะเหล็กกลืนเหล็กกล้าอย่างเดียว หวานไม่หวานไม่ได้อยู่ที่เจ้ากินอะไร แต่อยู่ที่เจ้าคิดอย่างไร”
บัณฑิตจางกล่าว
“เช่นนั้นข้าคิดได้ดีงามทีเดียว! แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยจะเรียกว่าลูกผู้ชายได้หรือ”
ทังจงซงกล่าวอย่างเย้ยหยันยิ่ง
“คนคนหนึ่งคิดอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น กล่าวไว้ว่าคนใจร้อนทำอะไรไม่คิดถึงผลลัพธ์ ไม่ใช้สมอง ความจริงต่อให้เป็นคนใจร้อนที่มุทะลุขนาดไหนเขาล้วนใช้สมองทั้งสิ้น เพียงแต่วิธีคิดปัญหากับวิธีตัดสินใจจัดการเรื่องราวของเขาไม่เหมือนคนอื่นก็เท่านั้น”
บัณฑิตจางกล่าว
เขากระหายเล็กน้อย อยากหาอะไรดื่มสักหน่อย เริ่มมองรอบด้านโดยไม่รู้ตัว
“รังนก? ใส่น้ำผึ้ง? ของอย่างรังนกกินเข้าไปเลยได้ด้วย? ไม่ท้องเสียจนไส้พังหรือ ที่นี่พวกเราใช้มันแช่เต้าหู้…”
คนเมืองจิ่งผิงที่ผ่านมาคนหนึ่งได้ยินบทสนทนาของทั้งสองจึงพูดแทรก
บัณฑิตจางกับทังจงซงได้ยินแล้วอึ้งงันทันที
รังนกเหนียวนุ่มลื่นคอที่สุด จะท้องเสียไส้พังได้อย่างไร
แล้วเรื่องแช่เต้าหู้นี่มาจากไหนอีก
บัณฑิตจางกับทังจงซงล้วนเป็นคนร่วมงานเลี้ยงออกงานเลี้ยงได้ทั้งนั้น
แต่เต้าหู้แช่รังนกกลับไม่เคยได้ยินเลยสักคำ…
หากพูดถึงเต้าหู้ประหลาดพวกเขาก็เคยกินมาเยอะ
มี ‘เต้าหู้’ ชนิดหนึ่งชื่อว่าร้อยสมองนก
เป็นสิ่งที่บัณฑิตจางสั่งให้พ่อครัวเลื่องชื่อทำเป็นพิเศษในงานเลี้ยงแต่งงานของลูกศิษย์เขาตอนนั้น
หากพูดถึงรสชาติ อาหารจานนี้เหนียวหนึบลื่นคอ สดอร่อยอย่างยิ่ง
ในใต้หล้า อาหารลื่นคอเหนียวหนึบ ทั้งยังสดใหม่เลิศรสไร้ใดเปรียบแบบเดียวกันมีเยอะเหมือนขนวัว แต่จะมีอาหารจานใดที่พ่อครัวต้องเสียเวลาหลายเดือนบ้างเล่า
ตั้งแต่ฟักไข่ตลอดจนลูกนกออกจากเปลือก
สามวันก่อนที่มันจะโตเต็มวัย ต้องดึงเอาสมองของนกหนึ่งร้อยตัวออกมาทั้งอัน ขูดเส้นเลือดทิ้ง ใส่ลงในน้ำเย็นเพื่อรักษาความสด
จากนั้นโม่เป็นแป้งเปียก ทำเป็นก้อนๆ เหมือนเต้าหู้แข็งตัว ใส่ลงในซึงนึ่งจนสุก ออกจากเตาแล้วราดน้ำมันร้อนและต้นหอมลงไปก็ถือว่าเป็นอันเสร็จ
ที่ประณีตกว่านั้นยังต้องฝึกอบรม ‘อาหารในจาน’ เหล่านี้ทีละตัว
สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนมีคำกล่าวหรือความพิถีพิถัน นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าความงมงาย…
ในด้านอาหาร ความพิถีพิถันและคำกล่าวที่ว่าก็คือกินอะไรบำรุงอะไร
ดูเป็นความงมงายที่ไม่เหมือนความงมงายที่สุดแล้ว
ไม่ว่าใคร ตอนกระดูกกล้ามเนื้อบาดเจ็บล้วนต้องกินน้ำแกงกระดูกสองสามวัน ตอนเรื่องบนเตียงไม่ดีก็ต้องทำของตรงหว่างขากินสักหน่อย แน่นอนว่าของเสือดีที่สุด
ดังนั้นหากนกโง่เขลาเกินไป กินสมองของพวกมันแล้วคนจะไม่โง่เง่าเต่าตุ่นหรอกหรือ ดังนั้นจึงต้องฝึกมันให้เชื่องก่อนกลายเป็นอาหาร เตะส่วนไม่ดีออกจึงจะถือได้ว่าสมบูรณ์แบบ
“ขอถาม…เต้าหู้แช่รังนกนั่นกินได้ที่ไหนหรือ”
บัณฑิตจางกล่าว
“ทางเหนือ มีโรงเตี๊ยมร้านสุรา พักชั่วคราวหรือค้างคืนก็ได้”
คนนั้นกล่าว
“ทางใต้ล่ะ ทางใต้มีอะไร”
ทังจงซงเอ่ยถาม
นึกไม่ถึงคนนั้นกลับเหมือนเห็นผี กล่าวพลางโบกมือพัลวัน “ทางใต้ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรทั้งนั้น!”
จากนั้นก็วิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
ทังจงซงมองบัณฑิตจาง อยากฟังเขาอธิบายเรื่องนี้หน่อย
แต่บัณฑิตจางกลับส่ายหน้า ไม่ได้เอ่ยคำใด
สิ่งที่ทั้งสองไม่รู้คือ สองวันก่อนบทสนทนานี้เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งแทบเหมือนกันทุกประการ
ด้านหนึ่งตัวหลักก็เป็นคนในเมืองจิ่งผิงเหมือนกัน
อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นคนคุ้นเคยของทังจงซงกับบัณฑิตจาง…หลิวรุ่ยอิ่ง
ทังจงซงยักไหล่
ด้วยท่าของเขาแทบยักไหล่ไม่ได้โดยสิ้นเชิง
เพราะแค่ไหล่กระตุกเล็กน้อย ข้อศอกที่ประคองร่างกายเขาไว้ก็จะเปลี่ยนตำแหน่ง จุดรับน้ำหนักไม่มั่นคงและล้มลงทันที
เป็นเช่นนั้นจริง…ทังจงซงตัวเอียงล้มอยู่บนพื้น
เขายอมล้มเพื่อให้ได้ยักไหล่
ก็เหมือนที่เขายอมเล่นลูกไม้นอนแผ่บนพื้นเพื่อให้ได้กินเนื้อวัวตุ๋นมันดินก่อนหน้านี้
แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว
เหมือนบัณฑิตจาง
อยากไปลองชิม ‘เต้าหู้แช่รังนก’ ทางเหนือที่ว่านั้น
บัณฑิตจางยืนขึ้น ปัดเศษดินหลังก้น
ที่จริงพื้นดินในเมืองจิ่งผิงสะอาดและเป็นระเบียบยิ่ง
โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ไม่นาน ยังถูกน้ำบ่อไหลหลากล้างไปรอบหนึ่ง
บวกกับที่นี่ลมแรง ไม่มีการสะสมเศษฝุ่น
เขาทำเช่นนี้เพราะติดเป็นนิสัยเท่านั้น
แต่ในสายตาทังจงซงการกระทำทั้งหมดนี้กลับทำให้เขาประหลาดใจระคนอิจฉาอย่างยิ่ง…
ผู้เฒ่าคนนี้หยัดกายขึ้นโดยแยกสองขาที่ขัดกันพลางยืนให้มั่นเหมือนตอนเขานั่งลง
จนขาหนึ่งยืดตรงเต็มที่แล้ว ขาอีกข้างก็ค่อยๆ เข้าที่ ไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย!
ทังจงซงรู้สึกได้ว่าบัณฑิตจางไม่ได้ใช้ปราณหรือวิทยายุทธ์ในทุกขั้นตอนนี้สักนิดเดียว
นี่ต้องเป็นการควบคุมกล้ามเนื้อที่เลิศล้ำเพียงใด
บัณฑิตถือพู่กันเขียนอักษรแค่ต้องจดจ่อกลั้นหายใจ ทำให้ข้อมือกับฝ่ามือไม่สั่น
แต่บัณฑิตจางกลับทำทั้งหมดนี้ได้อย่างเรียบนิ่งระหว่างคุยเล่น ทั้งร่างกายกับส่วนขาเหมือนแผ่นเหล็กสองแผ่นที่ถูกใส่เดือยเข้าด้วยกัน เรียบตรงและสัตย์ซื่อเช่นนั้นตลอดกาล
ทังจงซงถอนหายใจเล็กน้อย…
ในใจมองบัณฑิตจางสูงขึ้นอีกหลายส่วน
แม้เขามองอีกฝ่ายสูงมากอยู่แล้ว แต่บัณฑิตจางมักจะเปิดการรับรู้ใหม่ให้เขาในเรื่องเล็กๆ โดยไม่ได้ตั้งใจเสมอ
ทังจงซงหันไปมองทางใต้แวบหนึ่ง เขาก็ใคร่รู้มากเหมือนกันว่าที่นั่นมีอะไรกันแน่ถึงทำให้คนในเมืองต่างพากันหลีกเลี่ยงเช่นนี้
แต่คิดดูแล้ว ยังรู้สึกว่าสิ่งสำคัญอันดับแรกในตอนนี้คือการเติมท้องให้อิ่ม
ไม่ว่ารังนกหรือเต้าหู้ ขอแค่ไม่ต้องกัดแป้งทอดนั้นอีกแล้ว ต่อให้เป็นข้าวคลุกขี้ม้าก็ไม่มีปัญหา
…………………………………………
[1] บัวทองสามชุ่น หมายถึงเท้าขนาดเล็กของสตรี มาจากประเพณีรัดเท้า