บทที่ 98 เต้าหู้แช่รังนก เป็นคนต้องถนอมความสุข-4
เมืองจิ่งผิง ในร้านอาหารทางเหนือ
“นี่ใช่ครึ่งชั่วยามที่ไหน คงเกินกว่าหนึ่งชั่วยามแล้วกระมัง…”
ทังจงซงวางคางไว้บนโต๊ะ กล่าวพลางมองตะเกียบด้วยสายตาเฉื่อยชา
“ทำไมท่านไม่พูด”
ทังจงซงเห็นบัณฑิตจางหลับตานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างมั่นคง จึงเอ่ยปากถามอีก
“ชู่!”
บัณฑิตจางยกนิ้วชี้มือขวาแนบระหว่างริมฝีปาก
“ทำไมเล่า ท้องหิวเป็นเรื่องห้ามคนอื่นเห็นหรือถึงต้องพูดเบาด้วย…เสียงในท้องข้ายังดังกว่าเยอะ!”
ทังจงซงกล่าว
“เจ้าไม่ได้กลิ่นหรือว่ากลิ่นเปรี้ยวนี้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ”
บัณฑิตจางกล่าว
ทังจงซงนึกถึงแต่ครึ่งชั่วยามที่ชายคนนั้นพูด ไม่ได้สนใจกลิ่นหอมในอากาศนี้แม้แต่น้อย
คราวนี้พอบัณฑิตจางเตือน ปีกจมูกเขาขยับเล็กน้อย พบว่ากลิ่นหอมจางๆ ก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นเข้มข้นทันใด เต็มสองรูจมูกเขาไปหมด
“เหมือนข้าไม่หิวขนาดนั้นแล้ว…”
ทังจงซงกล่าว
“ใช่หรือไม่ แม้กลิ่นหอมไม่อาจทำให้อิ่ม แต่ช่วยให้จิตผ่อนคลายได้!”
บัณฑิตจางกล่าว
“…นั่นหมายถึงน้ำมันหอมระเหยกระมัง! ใครบอกกลิ่นอาหารช่วยสงบจิตใจได้กัน”
ทังจงซงหัวเราะกล่าว
“น้ำมันหอมระเหยสงบจิตของจิตใจ กลิ่นอาหารสงบจิตวิญญาณของคน ไม่เหมือนกัน”
บัณฑิตจางส่ายหน้ากล่าว ยังคงหลับตานั่งตัวตรง
“ข้าไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ”
ทังจงซงกล่าว
“ข้าก็ไม่เชื่อ”
บัณฑิตจางกล่าว
“แล้วท่านยังพูดจิตของจิตใจ จิตวิญญาณของคนอะไรอีก นี่เป็นเพราะท่านเชื่อไม่ใช่หรือ”
ทังจงซงทำหน้าเหยียดหยัน
“การเชื่อเรื่องวิญญาณเป็นแค่การวาดที่พึ่งทางใจ…เจ้าเห็นคนเหล่านั้นคำนับถวายธูปแล้วยังต้องทำอะไรบางอย่างหรือไม่ มีใครนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นแล้วรอวิญญาณเทพประทานให้บ้าง”
บัณฑิตจางกล่าว
นี่ทำให้ทังจงซงพูดไม่ออก ได้แต่พูดเสียงอ่อยคำหนึ่ง “ต้องมีแน่!”
“ก็น่าสงสาร…”
บัณฑิตจางอดทอดถอนใจไม่ได้
“หือ?”
ทังจงซงงงงันชั่วขณะ
“ข้าหมายถึงคนที่เชื่อในวิญญาณก็น่าสงสารเหมือนกัน”
บัณฑิตจางกล่าวเสริม
“ทำไมถึงน่าสงสาร…วันๆ คิดอยากได้แต่ไม่ทำยังน่าสงสาร?”
“พวกเขาล้วนต้องเคยพยายามต่อสู้กันมามากแล้ว แต่ถึงสุดท้ายกลับพบว่าไม่ไหวจริงๆ คนที่เชื่อเรื่องวิญญาณเหล่านั้นหมดหวังต่อโลกมนุษย์ขนาดไหนกัน”
บัณฑิตจางกล่าว
ทังจงซงเงียบทันใด
เขาไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ
เขาเชื่อมั่นในตัวเองเต็มเปี่ยม มีความคาดหวังต่อโลกนี้มากมาย
จนถึงตอนนี้เขาเคยแพ้แค่ครั้งเดียว แต่คิดว่าตัวเองยังชนะได้เหมือนเดิม
เมื่อเทียบกันแล้ว ไม่ใช่ทุกคนจะทำเช่นนี้ได้
บางคนก็เป็นหญ้ายอนไฟ ไม่นับเป็นใบไม้เลยด้วยซ้ำ
และบางคน ต่อให้ลมฝนกระหน่ำแค่ไหนก็มีประตูแดงกระเบื้องดำรับไว้ให้เขา ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารเสื้อผ้า กลับห่วงว่าดอกชบานั้นจะไม่ชอบฟ้าครึ้มหรือเปล่า
เหมือนเทียนส่องกระจกทองแดง ใครเป็นฝ่ายส่องใครกันแน่ คงไม่อาจพูดชัดเจนโดยสิ้นเชิง
“คนทำงานงกๆ ก็เพื่อให้หนังท้องตึงไม่ใช่หรือ ต่อให้เป็นคุณชายใหญ่แห่งรัฐติงอย่างเจ้าก็เป็นเช่นนี้? ขอแค่ท้องหิวทุกคนก็เหมือนกันหมด ยังแบ่งระดับชั้นอะไรเสียที่ไหน”
บัณฑิตจางกล่าว
“กินอิ่มแล้วก็แบ่ง เรื่องที่เสี่ยวเอ้อร์ทำหลังกินอิ่มจะเหมือนกับเรื่องที่ข้าทำได้หรือ”
ทังจงซงถามกลับ
“ทำเรื่องอะไรก็ไม่แบ่งระดับชั้น อีกอย่างการใช้แรงงานก็เป็นแก่นแท้ที่สุดของคน เจ้าไม่เคยทำอะไรเลย เหตุใดถึงกล้าไปตัดสินสูงต่ำเช่นนี้”
บัณฑิตจางกล่าว
“ตาเฒ่า! อย่าสูงส่งนักเลย…หากข้าจำไม่ผิด ท่านเคยถูกขนานนามว่าเป็นผู้สั่งการที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักปากสอบสินะ”
ทังจงซงกล่าว
“แล้วอย่างไร”
บัณฑิตจางลืมตากล่าว
“ล้วนเป็นผู้สั่งการสำนักเหมือนกัน ยังต้องแบ่งใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ แล้วท่านบอกว่าวิถีทางโลกนี้ไม่ได้แบ่งระดับชั้น?”
ทังจงซงเริ่มต่อสู้ ไม่ร้องหิวแล้ว
“เด็กน้อยอย่างเจ้าเคยเดินถนนกี่ลี้ รู้จักคนกี่คนถึงกล้าไปชี้ขาดวิถีทางโลก ข้าบอกเจ้าให้ โลกนี้ใหญ่ยิ่งนัก วิถีก็มีเยอะแยะ เอาอายุของข้ามารวมกันอีกสิบเท่าก็อาจไม่รู้ทั้งหมด!”
บัณฑิตจางกล่าวพลางชี้ปลายจมูกของตัวเอง
“อย่าคิดว่าทุกที่ล้วนเป็นพื้นที่เล็กๆ ในหัวเมืองรัฐติงเจ้า…ปลาตัวหนึ่งว่ายวนในบ่อแค่ไหน ลงทะเลแล้วจะทำอะไรได้”
ไม่รู้ทำไมบัณฑิตจางถึงใส่ใจหัวข้อนี้เป็นอย่างยิ่ง
“มีหม้อใหญ่แค่ไหนก็ใส่ข้าวเท่านั้น! ข้าว่ายวนในบ่อจนทั่ว นั่นเพราะข้าใช้ความสามารถแค่พอว่ายวนในบ่อ หากข้าลงทะเล แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่มีฝีมือก่อความวุ่นวายในทะเล”
ทังจงซงกล่าว
“ข้าว? ถ้ากินข้าวละก็…เช่นนั้นต้องรออีกครึ่งชั่วยาม!”
เพียงเห็นชายคนนั้นถือชามใหญ่เดินมาจากโถงด้านหลัง
เขาได้ยินบทสนทนาของทั้งสองไม่กี่คำแว่วๆ เข้าใจว่าทั้งสองเอาข้าวด้วย
“ข้าบอกเจ้า…พ่อ…สหายคนนี้!”
ทังจงซงไม่รู้ควรเรียกชายผู้นี้ว่าอย่างไร
ร้านอาหารเล็กๆ นี้เหมือนมีแค่เขาคนเดียว
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัว เขาทำสามงานเลยได้แต่เรียกว่าสหาย
ถึงเขาจะไม่ใช่เพื่อนของทังจงซงก็ตาม
และทังจงซงก็ไม่มีทางเป็นเพื่อนกับเถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์หรือพ่อครัวเด็ดขาด
“เมื่อครู่เจ้าก็บอกว่าเต้าหู้แช่รังนกนี้ต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยาม…แต่พวกเรารอมากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ถึงพวกเราไม่ได้สั่งข้าว แต่เจ้าบอกว่าข้าวยังต้องรออีกครึ่งชั่วยาม ตกลงเจ้ารู้เรื่องเวลาหรือเปล่าเนี่ย”
ทังจงซงกล่าว
เขาไม่ได้มีนิสัยช่างตำหนิ เพียงแต่หัวข้อที่ถกเถียงกับบัณฑิตจางก่อนหน้านี้ทำให้เขาอยากอวดโอ้ต่อหน้าเถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวสักหน ใช้สิ่งนี้ยืนยันความถูกต้องของเขาเอง
“ครึ่งชั่วยามก็คือรอสักครู่ไง เจ้ารีบร้อนมากหรือ”
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวเอ่ยถาม
“รีบร้อนน่ะไม่รีบร้อน…แต่เวลาก็ไม่ควรเสียเปล่าเช่นนี้นี่!”
ทังจงซงกล่าว
“แล้วเจ้าอยากทำอะไรอีก พวกเจ้าเป็นคนต่างถิ่น ไม่มีญาติมิตรในเมืองก็ไปหาใครไม่ได้ ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลากินข้าว ที่นี่ว่างเปล่าไม่มีคนพูดคุยแก้กลุ้ม ไม่รออยู่เฉยๆ แล้วทำอะไรได้อีก”
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว
“ข้าไม่อยากรอ! ข้าวนี่ข้าไม่กินแล้ว!”
ทังจงซงอารมณ์พลุ่งพล่าน ถึงขั้นตบโต๊ะลุกขึ้น
“กินไม่กินก็แล้วแต่เจ้า อย่างไรที่หิวก็ไม่ใช่ท้องของข้า…อีกอย่างทั้งเมืองมีร้านอาหารข้าแค่ที่เดียว หากเดินตรงไปจนถึงหอทรงปัญญา เช่นนั้นเจ้าก็ไปลองถามตี๋เหว่ยไท่ว่าจะเลี้ยงข้าวเจ้าหรือไม่แล้วกัน”
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว
“ตี๋เหว่ยไท่? เจ้าเรียกชื่อเขาตรงๆ เช่นนี้เลย?”
ทังจงซงประหลาดใจยิ่ง
เขาคิดว่าทั้งที่เมืองจิ่งผิงก็อยู่ข้างหอทรงปัญญา ไม่ว่าในใจคิดอย่างไรสิ่งที่พูดออกมาก็ควรเปี่ยมด้วยความเคารพถึงจะถูก
“มีชื่อไม่เรียกหรือจะให้เรียกฉายา? ข้าก็ไม่รู้เขามีฉายาอะไร…หากคราวหน้าได้เจอกันอาจตั้งให้เขาสักชื่อก็ได้ ข้าตั้งฉายาเก่งทีเดียว!”
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวถามกลับ
“…เขาเป็นประมุขหอทรงปัญญา”
ทังจงซงกล่าว
“ประมุขหอทรงปัญญาไม่ใช่เจ้าของร้านอาหารข้าสักหน่อย…สรุปกินหรือไม่กิน ยังเอาข้าวหรือไม่”
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าวอย่างหงุดหงิด
“ข้าว…ข้าอยากกินอยู่หรอก แต่รอครึ่งชั่วยามของเจ้าไม่ไหว!”
ทังจงซงกล่าว
“รอไม่ไหวนั่นเป็นเพราะมื้อก่อนหน้าพวกเจ้าไม่ได้กินตรงเวลา หากกินมื้อก่อนตรงเวลา ตอนนี้จะหิวเช่นนี้ได้อย่างไร ข้านับเวลาไม่แม่นจริง แต่กินข้าวสามมื้อตรงเวลาทุกวัน ไม่เคยสายเลย”
เถ้าแก่ พ่อครัวและเสี่ยวเอ้อร์พูดพลางยกเต้าหู้แช่รังนกสองชามนี้กลับไป
“ของนี่พวกเจ้ายิ่งกินยิ่งหิว ยังไม่สู้หิวรออีกหน่อย…เดี๋ยวกินพร้อมกับข้าว!”
ทังจงซงอึ้งงัน
เขาไม่เคยเห็นพ่อค้าทำการค้าเช่นนี้มาก่อน
“ตาเฒ่าพิลึก เจ้าลิงผอม”
เสียงเถ้าแก่ พ่อครัวและเสี่ยวเอ้อร์ทอดมาจากด้านหลัง
ทังจงซงคิดอยู่ค่อนวันถึงได้ตระหนักว่านี่คือฉายาที่เขาตั้งให้ตนกับบัณฑิตจางสองคน
ตาเฒ่าพิลึกยังพอได้ เดิมบัณฑิตจางก็เป็นผู้เฒ่านิสัยประหลาดคนหนึ่งอยู่แล้ว
แต่รูปร่างหน้าตาอย่างต้นหยกเล่นลม[1]ของตนเหมือนลิงผอมตรงไหน
“เป็นอย่างไร คุณชายทัง…ถูกคนอบรมเข้าแล้ว พูดไม่ออกเลยใช่หรือไม่”
แม้บัณฑิตจางไม่ได้กินเต้าหู้แช่รังนกเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็มองทังจงซงเสียหน้าอย่างยินดีในความทุกข์คนอื่น
ทังจงซงหมดคำพูด…
ทุกประโยคของเถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวพูดตรงจุดทั้งหมด
แม้ตี๋เหว่ยไท่เป็นประมุขหอทรงปัญญา แต่ไม่ว่างมาสนใจร้านอาหารเล็กๆ ที่เขาเปิดกิจการอยู่ที่นี่หรอก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนล้วนเหมือนกัน แล้วทำไมต้องเคารพเจ้าด้วย เป็นเหมือนกันทั้งสองฝ่าย
อีกอย่าง มื้อก่อนหน้าเขาเองก็ไม่ได้กินตรงเวลาจริงๆ…ไม่เพียงไม่ตรงเวลา ไม่ได้กินเลยด้วยซ้ำ!
แม้แต่น้ำอึกเดียวก็ไม่ได้ดื่ม อดทนทั้งอย่างนั้นมาถึงตอนนี้ก็ไม่ง่ายโดยแท้
‘คราวนี้แย่กว่าเดิม…ต้องแทะตะเกียบเปล่างั้นหรือ’
ทังจงซงคิดอยู่ในใจ
เหลือบตามองด้านนอก กลับเห็นคนคนหนึ่งเดินมาจากทางใต้
“หืม?”
บัณฑิตจางก็สังเกตเห็นคนผู้นี้เหมือนกัน
เขาตัวดำทั้งตัว เหมือนเพิ่งกลิ้งในกองถ่านมา
มีเพียงสองดวงตาขาวสะอาด
ปากนั้นยังเผยฟันขาวออกมาได้
โชคดีตอนนี้เป็นกลางวัน หากเป็นกลางคืนทำคนตกใจตายโดยแท้! เหมือนฟันแผงหนึ่งกับตาสองดวงลอยเคลื่อนไปอย่างไร้ที่มา
“มีสุรามีข้าวหรือไม่ ข้าอยากได้สุรากับข้าว!”
คนตัวดำผู้นี้พูดเสียงดังมาแต่ไกล
เขาเดินตามกลิ่นเปรี้ยวมา
“วันนี้มันอะไรกัน…”
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวได้ยินเสียงตะโกนนี้แล้วเดินจากโถงด้านหลังมาข้างหน้าอีกครั้ง ขณะชะเง้อหน้ามองปากก็พึมพำไปด้วย
“เฮ้ย! ฮ่าๆๆๆ”
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวเห็นผู้มาเยือนเหมือนถ่านก้อนหนึ่ง อดหัวเราะออกเสียงไม่ได้
“เจ้าทำอะไรมาตัวถึงมีแต่เขม่าควัน”
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวเอ่ยถาม
“ก่อไฟตีเหล็ก…ไม่คิดว่าช่องควันจะตัน พอดึงเครื่องสูบลม ดันเป่าย้อนใส่หน้าใส่หัวตัวเอง”
ก้อนถ่านกล่าว
“มีน้ำให้ข้าล้างหรือไม่”
“เจ้าตรงไปโถงด้านหลังแล้วกัน ที่นั่นมีน้ำ ตักเอาเองอย่างน้อยก็ล้างหน้าก่อน!”
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกล่าว
ทังจงซงฟังแล้วนึกว่าสองคนสนิทกัน จึงเก็บความคิดสงสัยนั้นไว้ ยกน้ำเย็นกาหนึ่งบนโต๊ะกรอกลงท้องแก้หิวอึกใหญ่
“มีบางอย่างแปลกๆ…”
บัณฑิตจางขมวดคิ้วกล่าว
“อะไรแปลกหรือ”
ทังจงซงรีบต่อบท แทบสำลักน้ำ
“คนผู้นี้บอกตีเหล็กแต่เสื้อผ้าของเขาไม่เหมือนช่างตีเหล็กโดยสิ้นเชิง…หนำซ้ำจะมีช่างตีเหล็กที่โง่จนเริ่มดึงเครื่องสูบลมโดยไม่ตรวจสอบแม้แต่ทางไฟช่องควันได้อย่างไร ต่อให้เขาตีเหล็กเป็น ก็คงเคยแต่ตีเหล็กเถื่อน”
“เหล็กเถื่อน?”
ทังจงซงไม่เข้าใจ
“ก็คือตีเหล็กกลางแจ้งในพื้นที่กว้างตามป่า ไม่ต้องใช้ช่องควันใด”
บัณฑิตจางกล่าว
“แต่เขาสองคนรู้จักกัน คงเป็นคนในเมืองกระมัง”
ทังจงซงกล่าว
“บางคนเกิดมานิสัยเย็นชา เจอใครก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่บางคนกลับสนิทแรกพบ คนมาก็ตื่นตัว เจอกันครั้งแรกก็อัธยาศัยดีได้เหมือนรู้จักกันมาสิบปี”
ได้ยินบัณฑิตจางกล่าวเช่นนี้
ความคิดที่ทังจงซงวางลงแล้วกลับเคลื่อนไหวอีกครั้ง เพียงรอดูว่าเจ้าก้อนถ่านนั่นล้างหน้าแล้วหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่
………………………………………..
[1] ต้นหยกเล่นลม หมายถึงชายหนุ่มหล่อเหลา สง่างาม