บทที่ 99 ความว่างเปล่า-1
“ข้าเป็นคุณชายดวงดาราขี้เมา ไม่กลืนกินความโศกเศร้าร้างแล้งแดนมนุษย์ เผยอปากพ่นแสงกระบี่ ผู้ใดประลองหอกดาบกับข้า ขนมถั่วแดงกวนรูปปลา น้ำแกงผลพุทรา ได้เสียไม่เทียบเท่าธูปยาหอม ชมธารานอนไม่หลับจักต้องไป อันตัวข้าราชาแห่งธัญพืชร้อยเมล็ด”
ตามเสียงนั้น เห็นเพียงก้อนถ่านดำเมี่ยมแต่ใบหน้าสะอาดหมดจด ยังคงฮัมเพลงเบาๆ พลางเดินที่โถงด้านหน้าด้วยฝีเท้าส่ายๆ
“นี่เป็นบทเพลงจากที่ใด”
ทังจงซงถาม
เนื่องจากประเพณีและนิสัยแต่ละแดนต่างกัน ดังนั้นเนื้อที่ร้องในเพลงจึงแตกต่างกันอย่างยิ่ง
คล้ายกับคนเช่นบัณฑิตจางที่ขึ้นเหนือล่องใต้ ฟังเพียงส่วนต้นก็น่าจะเข้าใจได้ถึงเจ็ดส่วน…
จำได้ว่าตอนแรกที่เขาเปิดเผยตัวตนของผู้คนนับไม่ถ้วนในประโยคเดียวที่โรงเตี๊ยมพูนโชคเมืองจี๋อิง ถึงจะเป็นนักพรตอินหยางใช้วิชาก็ไม่อาจคำนวณแม่นเท่าคำบอกเล่าของเขา
ทว่าตอนนี้ บัณฑิตจางกลับขมวดคิ้วแน่น…สีหน้าแสดงออกถึงความลังเลจนบอกไม่ถูก
ประการแรก ตนฟังไม่เข้าใจความเป็นมาของเหตุการณ์ทั้งหมดจริงๆ
ประการที่สองในเมื่อเป็นเช่นนี้ดูเหมือนว่าต่อหน้าเจ้าเด็กทังจงซงนี่จะไร้ค่าเสียแล้ว
“ไม่…รู้…”
บัณฑิตจางกล่าว
“เนื้อเพลงทำนองขับร้องนี้แม้ว่าจะเกินจริงและอวดดี หากลองฟังดีๆ แล้วจะได้รสชาติที่ต่างออกไป”
ทังจงซงกล่าว
เจ้าก้อนถ่านสะอาดสะอ้านแล้ว เดินมาโถงด้านหน้าพลันสุ่มเลือกหาโต๊ะหนึ่งตัวแล้วนั่งลง
ตอนนี้ห่างจากเวลาทานอาหารมากนัก ในโถงจึงมีแขกเพียงสองโต๊ะเท่านั้น
หากเป็นคนทั่วไปย่อมหาที่นั่งที่เงียบสงบ ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็ไม่รู้จักกัน
แต่เจ้าก้อนถ่านกลับนั่งลงตำแหน่งถัดจากบัณฑิตจางและทังจงซง
สีหน้าราบเรียบสงบนิ่ง
เขาสะบัดเสื้อผ้าเผยให้เห็นน้ำเต้าสุราอีกขวดระหว่างเอว
“เฮ้อ…กระบี่แหลกแล้ว สุราเกลี้ยงแล้ว เหลือเพียงไม่กี่อึกตัดใจดื่มไม่ลง…”
น้ำเต้าสุรานี้เหมือนกับน้ำเต้าสุรายาวใบนั้นของจิ่วซานปั้นไม่ผิดเพี้ยน
คนผู้นี้หน้าตาละม้ายคล้ายจิ่วซานปั้นอย่างกับแกะ
ทังจงซงรู้สึกใบหน้านี้ยิ่งมองยิ่งดูคุ้นตา แต่ไม่มั่นใจเล็กน้อย จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าเอ่ยปากยอมรับว่ารู้จักหรือไม่
บัณฑิตจางเห็นท่าทางยึกยักลังเลจะพูดก็ไม่พูดจึงปริปากถาม “เจ้ารู้จักหรือ”
“ใต้หล้านี้มีคนหรือสิ่งที่คล้ายกันอย่างยิ่งหรือไม่”
ทังจงซงไม่ตอบ แต่โพล่งอีกหนึ่งคำถามออกมา
“ทุกสิ่งในใต้หล้าล้วนมีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง”
บัณฑิตจางกล่าว
“ใต้หล้ามีคนหรือสิ่งที่เหมือนกันทุกประการหรือไม่”
ทังจงซงถามอีกครั้ง
“ทุกสิ่งในใต้หล้าล้วนมีสิ่งคล้ายคลึงกันยิ่งนักแต่ต่างก็มีเพียงสิ่งเดียว”
บัณฑิตจางกล่าว
“ฉะนั้นเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนจะต้องเป็นสิ่งเดียว ไม่มีทางมีสิ่งที่สอง?”
ทังจงซงถามต่อ
บัณฑิตจางกลับไม่รีบตอบ
เจ้าเด็กผีจอมฉลาดนี่ไม่รู้ว่าระหว่างที่เอ่ยวาจาจะใช้กลอุบายเล่นลูกไม้ใดใส่ตนอีก
ยิ่งกว่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น
เจ้าสาวที่เข้าห้องหอยังหนีไปได้ ยังมีสิ่งใดที่กล่าวได้แม่นยำอีกหรือ
“หากท่านยันยืนเช่นนี้ ข้าก็รู้จัก หากท่านไม่อาจยืนยัน เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้จัก”
ทังจงซงแบมือพลางกล่าว
บัณฑิตจางกลอกตาใส่และไม่สนใจเขาอีก
เขาเคยร่วมดื่มสุรากับจิ่วซานปั้นที่โรงเตี๊ยมพูนโชคเมืองติ้งซีอ๋อง เขาคาดหวังว่าอีกฝ่ายน่าจะจำตนได้
“ไม่รู้จัก”
จิ่วซานปั้นมองเขาอย่างละเอียดครู่หนึ่งโดยไม่คิดสิ่งใดแล้วจึงกล่าว
“…เจ้าเคยไปเมืองติ้งซีอ๋องใช่หรือไม่”
ทังจงซงถาม
“เคยไป ข้าก็มาจากที่นั่น”
จิ่วซานปั้นกล่าว
จิตใจของเขาล้วนไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
สิ่งเดียวที่ใจคะนึงหาเป็นกระบี่หักและสุราที่เหลือของตน
“เจ้าเคยตามหาหลิวรุ่ยอิ่งในโรงเตี๊ยมพูนโชคที่เมืองติ้งซีอ๋องใช่หรือไม่”
ทังจงซงถาม
“อ๋อ!”
ทันใดนั้นจิ่วซานปั้นกระจ่างโดยพลันจึงร้องเสียงดัง
“จำข้าได้แล้วกระมัง”
ทังจงซงเหลือบมองบัณฑิตจางอย่างภูมิอกภูมิใจเล็กน้อย
“ไม่…ข้าไม่รู้จักเจ้า ข้าเพียงนึกถึงเรื่องอื่น”
คิดไม่ถึงว่าจิ่วซานปั้นผุดตัวลุกขึ้นยืนรีบร้อนจะออกไป
“หลิวรุ่ยอิ่งถึงหอทรงปัญญาแล้วหรือ”
ทังจงซงถาม
“เจ้ารู้จักเขารึ”
จิ่วซานปั้นหยุดฝีเท้าอีกครั้งและหันกลับมาถาม
“ไม่เพียงรู้จัก ยังสนิทสนมมากอีกด้วย”
ทังจงซงกล่าว
“ข้าก็ด้วย พวกเจ้าจะไปหาเขาหรือ”
จิ่วซานปั้นถาม
“พวกข้าไม่ได้ไปหาเขา แต่พวกข้าจะไปหอทรงปัญญาเช่นกัน”
ทังจงซงกล่าว
“ช่างดียิ่งนัก ข้าจะเดินทางไปพร้อมพวกเจ้า!”
ขณะจิ่วซานปั้นกล่าวก็กลับมานั่งลงที่โต๊ะ
“ไม่ใช่ว่าเจ้ามีธุระด่วนหรอกหรือ”
ทังจงซงถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่…ไม่รีบร้อนๆ พวกเราไปด้วยกันเถอะ!”
จิ่วซานปั้นกล่าวด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“เหตุใดหลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่อยู่กับเจ้าเล่า”
ทังจงซงเอ่ยถาม
เขาจำได้ว่าจิ่วซานปั้นผู้นี้ประหลาดเล็กน้อย ดูเหมือนจะไร้ทักษะเอาชีวิตรอดใดๆ ล้วนต้องให้หลิวรุ่ยอิ่งช่วยเหลือทุกเรื่อง
ตอนนี้เห็นเขาร่อนเร่พเนจรในเมืองจิ่งผิงเพียงลำพัง ย่อมรู้สึกสงสัยใคร่รู้เป็นธรรมดา
“เฮ้อ…”
จิ่วซานปั้นถอนหายใจยาว
ทังจงซงนึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง แต่พอนึกถึงนิสัยและอารมณ์ของหลิวรุ่ยอิ่ง เรื่องนี้จึงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
“คืนก่อนข้าประลองกับคนผู้หนึ่งในหอทรงปัญญา สุดท้ายข้าก็พ่ายแพ้…แม้แต่กระบี่ก็หักเป็นท่อนๆ แต่เขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน หมากก็ใช้จนหมดแล้ว ทั้งหมดถูกข้าผ่าแยกเป็นสองซีก สุดท้ายข้าก็ฝังกระบี่หักสองท่อนและเม็ดหมากล้อมแหลกละเอียดไว้ริมแม่น้ำไหลสี่ฤดู แล้วกลับไปเตรียมตัวเข้านอน”
จิ่วซานปั้นกล่าว
ในที่สุดเขาก็ดื่มน้ำเต้าสุราที่เหลืออยู่ไม่กี่คำจนหมดเกลี้ยง
“แท้จริงแล้วข้าดื่มสุราพลางกอดกระบี่นอนหลับไปทุกคืน แต่เมื่อคืนไม่มีกระบี่แล้ว…สุราก็เหลือเพียงไม่กี่คำ…ข้านอนไม่หลับจริงๆ…พอคิดถึงร้านตีเหล็กของลู่หมิงหมิงทางตอนใต้เมืองจิ่งผิงนี้ ข้าพลันอยากกลับไปหลอมกระบี่อีกเล่มให้ตนเอง เล่มเดิมที่ข้าสร้างมาเองเล่มนั้น! ทั้งใช้งานง่ายทั้งงดงาม! สีฟ้าครามด้วย ข้าชอบสีฟ้าครามเป็นที่สุด! มืดกว่าท้องนภาเล็กน้อย อ่อนกว่ามหาสมุทรนิดหน่อย สีฟ้าเช่นเดียวกับยอดแดนสวรรค์!”
จิ่วซานปั้นกล่าว
ด้วยความเคยชินจึงยกน้ำเต้าสุราอีกครั้ง หมายจะลิ้มรสจิบเข้าปาก คิดไม่ถึงว่าจะไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว…
พริบตาเดียว เขาพลันไร้ชีวิตชีวาไม่เหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป
สีหน้าเคร่งขรึมกล่าวอย่างราบเรียบ “ที่ไหนได้ร้านตีเหล็กถูกหลิวรุ่ยอิ่งปะทะกับมนุษย์แท่งน้ำแข็งจนพังไปแล้ว…ปล่องควันไม่ถ่ายเท…ของพรรค์นั้นข้าไม่เข้าใจมัน ปรากฏว่าผ่านพ้นไปหนึ่งคืนแม้แต่เหล็กชิ้นยังไม่ร้อนด้วยซ้ำ แต่กลับมีเขม่าลอยขโมงไปทั่วศีรษะและใบหน้า…”
หลังจากบัณฑิตจางได้ยินลู่หมิงหมิงสามคำนี้ ทันใดนั้นพลันจดจ่อขึ้นหลายส่วน
ครั้นทังจงซงฟังจบก็อยากหัวเราะลั่น แต่รู้สึกว่าจะไร้มารยาทไปหน่อย
“อยากหัวเราะก็หัวเราะเถอะ กลั้นไว้ไม่ทรมานหรือ ย่าข้าบอกว่า อยากผายลมทว่าไม่ผาย มีคำพูดทว่าไม่กล่าว อยากหัวเราะทว่ากลั้นไว้ ล้วนเป็นสิ่งที่ลดทอนอายุขัยที่สุด!”
จิ่วซานปั้นกล่าวอย่างจริงจัง
ครั้นได้ยินประโยคนี้แม้แต่บัณฑิตจางยังทนไม่ไหวระเบิดหัวเราะออกมา
แต่บัณฑิตจางรู้สึกว่าจิ่วซานปั้นไม่ธรรมดายิ่งนัก
เขาไม่เพียงรู้จักลู่หมิงหมิง ทั้งยังมอบสีสันให้ยอดแดนสวรรค์
คิดว่าสถานที่ที่มหาสมุทรบรรจบกับท้องนภา สีน้ำเงินครามสัมผัสสีฟ้าอ่อน สีน้ำเงินเข้มก็หาได้เข้มดังเดิมไม่ สีฟ้าอ่อนก็หาได้อ่อนดังเดิมไม่ เฉกเช่นเดียวกับกระบี่ที่หักไปของเขาเล่มนั้น
แม้ว่าบัณฑิตจางจะไม่เคยเห็นกระบี่ของจิ่วซานปั้น แต่ในใจมีคำอธิบายของตนเองไว้อยู่แล้ว
เฉกเช่นเดียวกับผู้คนที่ไม่เคยพบเห็นยอดแดนสวรรค์ แต่ในใจของทุกคนล้วนมียอดแดนสวรรค์ของตน
ฟ้าของเจ้า เขียวของเขา แดงของข้า
ต่างคนต่างมียอดแดนสวรรค์ของตน ต่างคนต่างสร้างความงดงามในแบบของตน
“พวกเจ้ามาถึงหอทรงปัญญาตั้งแต่เมื่อไร”
ทังจงซงถาม
“เมื่อวาน”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“พวกเจ้าเดินทางกี่วัน”
ทังจงซงถามอีก
“ไม่รู้…น้ำเต้าสุราข้าหมดเกลี้ยงสิบหกครั้ง”
จิ่วซานปั้นกล่าวขณะชั่งน้ำหนักน้ำเต้าสุราของตน
“หนึ่งวันหนึ่งกาหรือ”
“หนึ่งวันสองกา ช่วงเช้าหนึ่งกา ช่วงบ่ายหนึ่งกา”
จิ่วซานปั้นกล่าว
ทังจงซงคำนวณในใจ หลิวรุ่ยอิ่งออกเดินทางจากเมืองติ้งซีอ๋อง เดินทางไปทั้งหมดแปดวันกว่าๆ
ทว่าตนเองเดินทางนานกว่าพวกเขาตั้งสองวัน
กล่าวถึงกำลังเท้าของม้า ของตนนั้นคงไม่ช้าไปกว่าหลิวรุ่ยอิ่งแน่นอน เช่นนั้นปัญหาตกไปอยู่ที่ผู้นำทาง…
ในยามนี้จิ่วซานปั้นรู้สึกกระวนกระวายใจ…ไม่สนใจเสวนากับพวกเขาทั้งสองต่อไปจริงๆ
เดิมเขาก็ไม่ชอบสร้างปัญหาให้ผู้อื่น…แต่ระหว่างที่ผ่านดูเหมือนว่าเขาจะก่อปัญหาให้คนรอบข้างอยู่เรื่อย
“ไปกันเถอะ ไปหอทรงปัญญาพร้อมสหายผู้นี้ของเจ้า”
บัณฑิตจางยืนขึ้นกล่าว
“หือ จะไปตอนนี้เลยหรือ ไม่ทานอาหารก่อนหรือ”
ทังจงซงยังคิดถึง ‘เต้าหู้แช่รังนกทานคู่กับข้าว’ หม้อนั้น
“รอจัดการธุระเสร็จสิ้น ข้าจะเลี้ยงเจ้า”
บัณฑิตจางกล่าว
อันที่จริงครั้งนี้ทังจงซงตั้งใจอยู่ร่ำเรียนในหอทรงปัญญา ก่อนจัดงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมในเมืองหลวง เกรงว่าจะไม่มีโอกาสออกไปแล้ว
บัณฑิตจางคิดวางแผนไว้เสร็จสรรพแล้ว
รอธุระนี้เสร็จสิ้น จะต้องกลับไปลองลิ้มรสเต้าหู้แช่รังนกในร้านอาหารแห่งนี้ให้จงได้
ต่อให้ต้องอยู่รอหลายวันก็ตาม จะไม่ลังเลใดๆ
“รู้ว่าพวกเจ้าทั้งสามรอไม่ไหว…เอาไว้กินขณะเดินทางเถอะ!”
เมื่อทั้งสามกำลังจะออกไป เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัวเดินเข้ามาหาแล้วกล่าว
เขายื่นห่อผ้าให้บัณฑิตจาง ในนั้นมีโหลดินเผาใช้เชือกตาข่ายหุ้มไว้
“นี่คือ…”
บัณฑิตจางสัมผัสโหลดินเผาที่ยังอุ่นร้อน
“ข้าวน่ะไม่ทันแล้วจริงๆ เต้าหู้เพียงนิดคลุกเคล้าน้ำจิ้มเข้ากัน กินทั้งเช่นนี้ก็ได้”
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัวกล่าว
“เท่าไร”
ทังจงซงถาม
“รีบไปจัดการธุระเถอะ!”
เห็นเพียงเถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัวโบกมือแล้วกล่าว ไม่รับเงินแม้แต่แดงเดียว
บัณฑิตจางส่งห่อผ้าให้ทังจงซง
เขาสัมผัสถึงความอุ่นผ่านฝ่ามือ จนอดเปิดฝาโหลไม่ได้ ทันใดนั้นกลิ่นรสเปรี้ยว หอม เผ็ดเตะจมูก! ทั้งยังมีความสดใหม่จางๆ
“บนโต๊ะมีตะเกียบ เชิญหยิบใช้ตามสะดวก…ผู้ที่ท้องไส้ไม่คล่องให้ล้างหลายครั้งหน่อย วางไว้นานเกรงว่าจะไม่ค่อยสะอาด”
เสียงเถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัวดังมากจากโรงด้านหลัง
แต่ไม่โผล่หน้าออกมาอีก
จิ่วซานปั้นไม่สนใจ
เขาหยิบตะเกียบคู่หนึ่งล้วงลงไปในโหลคีบเต้าหู้ชิ้นหนึ่งออกมากิน
ทังจงซงไม่ได้แตะมัน
“คนผู้นี้นิสัยดียิ่งนัก”
ทังจงซงมองถนนไปทางโรงด้านหลังสายนั้นพลางกล่าว
“ว่ากันว่าสามศีลธรรม ห้าจรรยา เจ็ดคุณธรรมเป็นนักปราชญ์ในโลกนี้ ข้าว่ารวมกันทั้งหมดยังดีสู้เขาไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ”
ทังจงซงกล่าวต่อ
“เดิมเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา”
บัณฑิตจางกล่าว
หลักการผู้ใดล้วนกล่าวได้ กิจผู้ใดล้วนกระทำเป็น
หลักการจะกล่าวได้หรือไม่ กิจจะกระทำเป็นหรือไม่
กล่าวได้ทว่าไม่กล่าว กระทำเป็นทว่าไม่กระทำ แสร้งทำเป็นว่าลึกซึ้งคาดเดาไม่ได้เป็นสิ่งที่ผู้คนรังเกียจที่สุดไม่ใช่หรือ
ทั้งสามเดินเรียงกันออกจากร้านอาหารมุ่งหน้าไปแดนสุขสัญจร
จิ่วซานปั้นไม่มีม้า จึงทำได้เพียงขี่ตัวเดียวกับทังจงซง ด้วยเหตุนี้จึงไปได้ไม่เร็วมากนัก
ในโถงด้านหน้าร้านอาหาร ข้างตั่งนั่งของทังจงซงเมื่อครู่มีถุงผ้าเดินทางวางอยู่
เมื่อครู่เขาเอาแต่สนใจโหลดินเผาที่บัณฑิตจางส่งให้จนลืมถุงผ้าเดินทางของตนไปจนได้
ดังคาด ทังจงซงที่ไร้เผียวเจิ้งหงข้างกาย ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง…
“กระบี่ของเจ้ามีชื่อหรือไม่”
บัณฑิตจางถามจิ่วซานปั้น
“ไม่มี กระบี่ก็คือกระบี่”
จิ่วซานปั้นส่ายศีรษะพลางกล่าว
ประโยคนี้ทำเอาบัณฑิตจางตะลึงงันอยู่นาน…
……………………………………………………………