บทที่ 100 ความว่างเปล่า-2
ผู้คนบนโลกล้วนใช้ทุกวิถีทางเพื่อร้อยเรียงคำเพื่อให้กระบี่ของตนเลื่องชื่อ
กระบี่เงาปีศาจ กระบี่ออกไวว่องราวกับเงาภูตผี
กระบี่คลั่งวายุ กระบี่ออกสะเทือนวายุ กระบี่คมกริบกระทั่งวายุยังไม่กล้าเอื้อมถึง
ทว่าจิ่วซานปั้นกลับบอกว่ากระบี่ก็คือกระบี่
ผู้ที่สามารถบอกสีแห่งยอดแดนสวรรค์ได้ สร้างกระบี่สีแห่งยอดสวรรค์เล่มหนึ่งได้ แต่กลับไร้ชื่อเสียงเรียงนาม กล่าวเพียงว่ากระบี่ก็คือกระบี่
แก่นแท้ไม่เคยสูญหายเพราะรูปลักษณ์ ทุกสิ่งล้วนคงอยู่ในความว่างเปล่า
ลมแรงพัดผ่าน พัดเอาสัมภาระร่วงพื้น สิ่งของกระจัดกระจายปลิวไปทั่ว
มีกล่องไม้เคลือบสีแดงประณีตแสนงดงามสะดุดตาที่สุดในนั้น
ด้านในบรรจุเทียบชื่อที่ฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องเขียนด้วยตนเอง เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่าทังจงซงและบัณฑิตจางจะมุ่งหน้าไปหอทรงปัญญา
หอทรงปัญญาตั้งอยู่ทางแยกระหว่างอาณาจักรติ้งซีอ๋องกับอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง ย่อมเกรงใจอ๋องทั้งสองพระองค์อยู่หลายส่วนเป็นธรรมดา ไม่เช่นนั้นฮั่ววั่งจะสามารถมอบชุดบัณฑิตหญ้ากำมะหยี่ขาวขั้นหนึ่งให้ทังจงซงอย่างง่ายดายได้อย่างไร
แม้ว่าจะเป็นของชิ้นหนึ่ง…แต่ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากมายเท่าใดในใต้หล้าทุ่มเทอย่างหนักเพื่อชุดขาวนี้
ใครๆ ล้วนกล่าวว่าการร่ำเรียนเป็นสิ่งที่ดี คนหนุ่มสาวหาเลี้ยงชีพไปตลอดจนเสียชีวิตในวัยชรา
ต่อให้ข้อศอกจะช้ำจากการเขียนอักษร ปากจะปวดจากการอ่านท่อง ก็ไม่กล้าบอกว่าจะไม่มีการสอบตกอย่างแน่นอน
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัวเติมฟืนในเตาไฟอยู่หลังร้าน
บนเตาไฟยังมีหม้อเหล็กสีดำใบใหญ่
เพียงแต่ในหม้อไม่ใช่เต้าหู้ เป็นข้าวหอมฉุย
วางฝาหม้อลงบนหม้อ ไอน้ำผุดขึ้นมาเป็นระลอกๆ
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัวจับจุกบนฝาหม้อด้วยสองนิ้วแล้วหมุนเบาๆ ขอบฝาหม้อเริ่มหมุนช้าๆ ภายใต้แรงหนุนของไอน้ำ
หมุนรอบแล้วรอบเล่า ไม่เร็วไม่ช้านัก
ด้านหลังโถงเป็นสถานที่เสียงดังอึกทึกครึกโครม
แม้จะไม่ได้ตั้งหม้อ ตั้งน้ำมันร้อน หรือผัดผัก แต่การหุงข้าวก็ไม่ได้ทำให้เงียบแต่อย่างใด
เสียงฟืนในเตาไฟกำลังแตกดังเปรี๊ยะๆ
นั่นเป็นไฟที่บีบเอาความชื้นส่วนสุดท้ายในตัวพวกมันออก
รอกระทั่งไอน้ำเหล่านั้นระเหยจนสิ้น พวกมันจะกลายเป็นขี้เถ้าไม่กี่กำมือ
อย่างไรก็ตาม เพื่อแลกข้าวขาวเนื้อใสดุจกระจกหม้อใหญ่มาด้วยสิ่งนี้จึงทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัวเทน้ำที่จิ่วซานปั้นใช้ล้างหน้าลงบนพื้นข้างๆ ไปด้วย
พื้นดินช่วงต้นวสันตฤดูกระหายน้ำอย่างยิ่ง
เพียงเวลาในการหันหลังกลับ น้ำถังนั้นซึมเข้าพื้นดินจนแทบมองไม่เห็น ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยของความชื้นทิ้งไว้
เขามองฟืนตรงฐานกำแพงมีเหลืออยู่ไม่มากจึงคิดว่าต้องผ่าฟืนอีกรอบอย่างช้าสุดก็วันมะรืน
ถ่านราคาแพงเกินไป เขาใช้ไม่ลง
ตอนนี้ผู้ที่มาหอทรงปัญญาไม่มากเท่าแต่ก่อนแล้ว…
หนึ่งคนหรือสองคนล้วนเป็นคุณชายคุณหนู คนผิวบางเนื้อนุ่มข้างต้นไหนเลยจะหยุดพักทานอาหารที่ร้านอาหารของเขา
เว้นแต่จะมืดค่ำลมพายุรุนแรง ไร้หนทางอื่นจริงๆ จึงจะพักโรงเตี๊ยมข้างๆ หนึ่งคืน จากนั้นสั่งให้ข้ารับใช้สั่งโจ๊กสองสามชามรองท้องหนึ่งมื้อ
วันเวลาผ่านไป ทักษะหุงข้าวต้มโจ๊กของเขานับวันยิ่งอร่อยขึ้นจริงๆ
เมืองจิ่งผิงไม่มีสิ่งอื่นใด มีข้อดีอยู่เพียงข้อเดียว นั่นคือน้ำในบ่อที่นี่มีรสหวานใสสะอาดยิ่งนัก
พายุทรายแดนพายัพมีกำลังแรง ความเค็มสูง
หลายพื้นที่จำต้องตักน้ำในบ่อออกมาตากแดดสองถึงสามวัน
รอจนกระทั่งผืนน้ำก่อตัวหนาขึ้นบนผิวน้ำ ครั้นลอกผิวน้ำชั้นนี้ออก แล้วใช้ผ้าหยาบหนึ่งผืนกรองสิ่งสกปรกในน้ำออกก่อนจึงจะดื่มได้
ก็เป็นเช่นนี้ หากต้มจนเดือด ครั้นดื่มเข้าปากจะทั้งฝาดทั้งขมปี๋
ผู้ที่เลือกกินหน่อยต่างต้มจนเดือดรอบหนึ่งก่อนแล้วจึงนำมาปรุงอาหาร ไม่เช่นนั้นหัวไชเท้าเอย มันดินเอยจะมีรสชาติปะแล่ม
ทว่าน้ำในบ่อเมืองจิ่งผิงไม่จำเป็นต้องตากแดดและกรองก่อน เพียงดื่มก็จะมีรสหวานค้างอยู่ในคอ ทำให้กระพุ้งแก้มผลิตน้ำลายออกมามากกะทันหัน กระตุ้นความอยากอาหารอย่างมากโดยไม่รู้ตัว
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัวตักน้ำจากในอ่างอีกหนึ่งทัพพี แต่ไม่ได้เทลงในถังนั้น ใส่ลงในชามและวางบนพื้นแทน
ทันทีที่ก้นชามสัมผัสกับพื้น เมื่อส่งเสียงดังกังวานใสก็มีห่านป่าใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากด้านหลังกองฟืนและดื่มน้ำ
เท้าซ้ายของมันคือใยปลอมทำจากไม้ประณีตยิ่งนัก อย่างไรเสียก็ไม่ใช่อวัยวะเดิมของร่างกายจึงเสียสมดุลไปบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ดื่มเร็วปานนั้น สำลักตายพอดี!”
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัวกล่าว
แม้วาจาระคายหู แต่ท่าทางผ่อนคลายยิ่ง ราวกับกำลังหยอกล้อกับสหาย
ครั้นห่านป่าใหญ่ตัวนี้ได้ยินจึงร้อง ‘แคว๊กๆ’ สองครั้งพลางหมุนตัวหันก้นไปทางเขาพร้อมส่ายขนกระพือปีก
“ประเดี๋ยวจะดึงเสีย…พรุ่งนี้ข้าจะถอนขนบนตูดเจ้าจนเกลี้ยง ให้เจ้าเป็นห่านป่าเปลือย คอยดูเจ้าจะกระดากอายหรือไม่!”
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัวกล่าว
ทันใดนั้นหยิบกล้องยาสูบเล็กขึ้นมาจากส่วนในสุดของเตาฝาพลิกเปิด
กล้องยาสูบนี้เล็กเพียงใดนั้น ขนาดยาวเลยฝ่ามือเขาไปอีกประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น
เขาเอนตัวไปข้างขอบเตา หยิบยาสูบฝอยคุณภาพต่ำจำนวนหนึ่งออกมาจากถุงเสื้อยัดมันลงในหม้อยาสูบขนาดเท่านิ้วโป้ง
เศษยาสูบบางเบาบางส่วนหล่นลงมาระหว่างช่องว่าง แต่ล้วนถูกห่านป่ากินจนเกลี้ยง
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัวมองพลางหัวเราะหึๆ
แม้ว่าด้านหลังโถงจะอึกทึกเช่นนี้ เขากลับได้ยินเสียงถุงสัมภาระร่วงตกลงพื้นในโถงด้านหน้าด้านนอก
ฟังจากเสียงแล้วจะต้องเป็นวัตถุที่อ่อนนุ่มเป็นแน่
เนื่องจากเสียงเริ่มแรกไม่แตกหรือเสียงสูง เพียงแต่ดังอื้ออึง
จากนั้นราวกับกระแทกโดนกรงตะเกียบและมีเสียงตกกระจัดกระจายไปทั่ว
น้ำหนักพวกมันต่างกัน พื้นผิวก็ต่างกัน ด้วยเหตุนี้การร่วงพื้นก่อนหลังจึงต่างกัน
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัวรู้ว่านี่ไม่ใช่กรงตะเกียบแน่นอน เพราะกรงตะเกียบของเขาทำจากไม้ เสียงแรกที่ตกถึงพื้นคมชัดเป็นพิเศษ
ระยะห่างระหว่างโต๊ะกับพื้นไม่สูงนัก เมื่อกรงตะเกียบไม้ตกลงสู่พื้นจะเด้งขึ้นมาเล็กน้อย แต่นี่ก็เพียงพอที่ตะเกียบในนั้นจะกระจัดกระจายออกมา
ตะเกียบล้วนมีความหนาและหนักเท่ากัน ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะร่วงพื้นก่อนหลังโทนเสียงจึงไม่ต่างกันมากนัก
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกรงตะเกียบของเขาล้วนใช้ตะปูเหล็กตอกไว้บนโต๊ะ
ลมพัดแรงไม่สามารถพัดกรงตะเกียบร่วงได้เว้นเสียแต่ว่าจะพลิกโต๊ะคว่ำ
หากโต๊ะถูกพัดล้มคว่ำ เช่นนั้นการเคลื่อนไหวก็คงจะไม่ทราบแน่ชัดเช่นนี้…
โต๊ะสี่เหลี่ยมหลายด้าน อย่างน้อยต้องกระแทกกันบ้างจึงจะหยุดนิ่ง
หากเป็นเช่นนั้น เสียงตะเกียบที่ตกลงมาคงถูกกลบไปนานแล้ว
แต่นี่ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
เพราะโต๊ะของเขาล้วนถูกตอกยึดไว้กับพื้นอย่างแน่นหนา ต่อให้ลมจะพัดแรงเพียงใดก็ไม่อาจพัดรากฐานที่ทำจากเหล็กเนื้อดีให้ปลิวได้
ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงดังจะต้องไม่ใช่สิ่งที่ร้านอาหารของเขามีแต่เดิม
ตั้งแต่เปิดทำการเช้าวันนี้ถึงตอนนี้ ทั้งหมดมีเพียงสองกลุ่ม สามคนเท่านั้นที่เข้ามา
ของสิ่งนี้จะต้องเป็นของที่พวกเขาทิ้งเอาไว้แน่
การที่ผู้คนทิ้งสิ่งของไว้มีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น ก็คือลืม
หากตั้งใจไม่เอา ก็ไม่เรียกว่าลืม แต่เรียกว่าทิ้งขว้าง
สิ่งของที่ทิ้งขว้างล้วนจำมันได้ตลอดเวลา แต่จะไม่หันกลับไปตามหามัน แต่สิ่งที่ลืมไว้มักจะมีช่วงเวลาที่นึกขึ้นได้อีกครั้งเสมอ
ช่วงเวลานี้อาจจะทันทีทันใด อาจจะเป็นไม่กี่วัน กระทั่งอาจจะสิบปี
แต่ไม่ว่านานเพียงใด พวกเขาก็จะจำมันได้ในที่สุด
เฉกเช่นเดียวกับบางคนที่อยากพบเจอแต่ไม่ควรพบเจอ บางคนที่ไม่อยากพบเจอแต่กลับต้องพบเจอ
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ พ่อครัวมองเห็นสิ่งเหล่านี้ชัดเจนกระจ่าง
หากพวกเขาไม่ต้องการจริงๆ ตนก็จะไม่เก็บกวาดมันอย่างแน่นอน
เอาวางไว้เช่นนี้ ถึงอย่างไรกระจายอยู่บนพื้นไปก็ไม่ขวางทางอยู่ดี
เนื่องจากไม่มีผู้ใดมาอยู่แล้ว ย่อมไม่ขวางทาง
เช่นนั้นเหตุใดเขายังต้องหุงข้าวหม้อนี้อีกเล่าเพียงเพราะเขาต้องการ
ตัวเขาไม่หิวเสียหน่อย หิวก็กินได้ไม่มากเพียงนี้
เขาขายมันไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าจะไปถึงจะไปถึงตลาดสิ่งที่เรียกว่าอาหารก็ขายไม่ได้
เพียงแต่ก่อนหน้านี้ได้ยินคำพูดของทังจงซงผิดไป แต่กลับกระตุ้นความความหวังที่เขาอยากจะหุงข้าวสักหม้อหนึ่ง
ตนเองเพียงพึงพอใจ หาได้มีสิ่งใดมากไปกว่านั้น
เหตุใดยามนี้เขาจึงได้ยินเสียงของที่ร่วงลงสู่พื้นชัดเจนเพียงนี้ ทว่ากลับได้ยินคำพูดของทังจงซงผิดไปได้น่ะหรือ
เพียงเพราะเขาไม่ต้องการ
เขาไม่อยากฟังว่าพวกเขากล่าวสิ่งใด และไม่มีความสนใจฟังให้ชัดเจนใดๆ
แต่เสียงนี้ยังคงเล็ดลอดเข้ามาเหมือนปลาลอดผ่านตาข่าย ทำให้เขาได้ยินมันจนได้
เขารำคาญใจสิ่งนี้มานาน
สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้..…
เขาสูบบุหรี่ในหม้อยาสูบเงียบๆ พลางเฝ้ามองลมแรงข้างนอกเดี๋ยวพัดเดี๋ยวหยุด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ยินเสียงผู้ใดกลับมาหยิบของสิ่งนั้นเลย
ครั้นกล่าวตามตรง เขาก็ไม่ใช่คนท้องถิ่นเช่นกัน
เพียงแต่มาอยู่ที่นี่นานแล้ว แต่เมื่อเทียบกับทังจงซงและบัณฑิตจางกลับเป็นคนท้องถิ่นที่แท้จริง
เขาก็มีนาม แม้ว่าสถานะของเขาจะเป็นเถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์ และพ่อครัว
เพียงแต่ชื่อของเขาแม้แต่ตนเองก็ไม่เคยเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
คนในเมืองเพียงแต่เรียกเขาว่า ‘เฮ้!’
หากเรียกหนึ่งครั้งไม่ตอบคำ ก็จะเรียก ‘เฮ้!’ อีกหนึ่งครั้ง
สองครั้ง เขาจะต้องตอบแน่
หากเรียกสองครั้งแล้วยังไม่ตอบ นั่นก็เป็นเพราะเขาเมาหัวทิ่มแล้ว
เขาดื่มสุราเพียงสิบวันต่อเดือน
สิบวันนั้นจะเปิดร้านหรือไม่ จะทำอาหารหรือไม่ขึ้นอยู่กับโชคล้วนๆ
โชคดี ดื่มน้อย สร่างเมาก็เปิดร้าน
โชคไม่ดี ดื่มมากไป ไม่สร่างเมาก็ไม่เปิดร้าน
แม้กล่าวว่าขึ้นอยู่กับดวง แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่มาลองเสี่ยงโชค…
ทั้งห้องโถงด้านหลังมีเพียงมีดเล่มเดียว
หั่นผัก ผ่าไม้ ฆ่าหมู ล้มวัว เชือดแกะล้วนอาศัยมีดเล่มนี้
ดูจากรูปทรงของมีดแล้ว เกือบจะเหมือนขวานธรรมดา
เพียงแต่ใบมีดถูกหุ้มด้วยสนิมสีแดงหนาๆ
กระทั่งหั่นผักก็ยังติดรอยดำกระด่างไปด้วย…
แต่เขาไม่สนใจ ถึงอย่างไรอาหารที่เขาทำก็ไม่ได้ประณีตถึงเพียงนั้น เน้นน้ำมัน เน้นเปรี้ยว เน้นเผ็ด ต่อให้เป็นหม่าเหวินเชาที่เกือบพิชิตใต้หล้าด้วยฝีมือปรุงอาหารก็อาจจะลิ้มรสชาติแยกความแตกต่างไม่ออก
เขาใช้ปลายขวานเขี่ยขี้เถ้าเล็กๆ น้อยๆ ในหม้อยาสูบทั้งหมดจนสะอาดเกลี้ยง จากนั้นหมอบลงเป่าห่านง่อยตัวนั้น
เมื่อเห็นมันส่งเสียงร้องอย่างไม่พอใจจนหนีกลับไปอยู่หลังกองฟืนเขาก็หัวเราะอีกครั้ง
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินไปดูด้านหน้า
แม้ว่าเขาจะมองเห็นเรื่องราวกระจ่างชัดเจน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีสิ่งที่ตนเองใส่ใจ
ทังจงซงและบัณฑิตจางทั้งสองคนกล่าวถึงเมืองติ้งซีอ๋องสี่คำนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการสนทนาก่อนหน้านี้ นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เขาใส่ใจ
ครั้นเห็นว่าเขาออกไปจากโถงด้านหลัง ห่านป่าใหญ่ตัวนั้นวิ่งกะเผลกๆ ออกมาอีกครั้ง กระพือปีกโผบินไปบนเตาและฉี่รดตรงจุดที่เขาเพิ่งเอนตัวพิงเมื่อครู่ จากนั้นกระพือปีกบินลงไปอีกครั้ง
เพียงกระพือปีกสองครั้ง กระพือเอามีดที่เขาหั่นผัก สับเนื้อผ่าฟืน เขี่ยเขม่าเล่มนั้นร่วงสู่พื้น
หลังจากร่วงกระทบพื้นเสียงดังกราวจนสนิมเล็กๆ บนใบมีดหลุดออกไป เผยให้เห็นแสงดาราเย็นยะเยือกดวงหนึ่ง
แม้ว่ามีเพียงดาราหนึ่งดวง
แต่กลับสว่างยิ่งกว่าอาทิตย์เที่ยงวันเป็นไหนๆ
แสงจากดวงอาทิตย์ทำให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย
แต่แสงดาราเยือกเย็นนี้กลับทำให้ผู้คนสั่นเทาและหนาวเหน็บ
บางและคมกริบยิ่งกว่าตะปูเหล็ก เสมือนสว่านที่พยายามทิ่มแทงดวงตาของเจ้า
เขาเดินไปถึงด้านหน้าโถงจนมองเห็นถุงสัมภาระหล่นลงพื้นตามที่คาดไว้
เขาจ้องมองกล่องไม้เคลือบสีแดงนิ่งๆ อย่างใจลอย จากนั้นก็หยิบไม้กวาดจากริมผนังกวาดสิ่งของเหล่านี้มากองรวมกัน
เขาก็ยังคงปล่อยให้พวกมันนอนกองอยู่บนพื้น ไม่ยอมเอื้อมมือไปเก็บขึ้นมา
ไม้กวาดกวาดผ่านกล่องไม้เคลือบสีแดง บังเอิญไปดึงฝากล่องครอบด้านบนเปิดออกโดยไม่ได้ตั้งใจ
ตำราผ้าไหมสีทองฉบับหนึ่งด้านในหล่นออกมา ถูกลมพัดพาไปจนแปะแนบบนขาของเขา
เขาหมุนไม้กวาดกลับมา ใช้ด้ามไม้กวาดเขี่ยตำราไหมเล่มนั้นขึ้นมาแล้วยัดกลับลงกล่องไม้
ช่องว่างกองตำราผ้าไหมปิดแนบเข้ากันพอดี ไม่มีรอยพับแม้แต่นิดเดียว
กระทั่งจัดการมันด้วยด้ามไม้ยาวเพียงนี้ เขาก็ยังสามารถทำสิ่งที่ละเอียดอ่อนเช่นนั้นได้สำเร็จ
อาศัยจากสิ่งนี้เพียงอย่างเดียว เขาก็คู่ควรต่อการประเมินของบัณฑิตจางว่า ‘ไม่ใช่คนธรรมดา’ แล้ว
………………………………………………………..