บทที่ 104 อย่าเอาเรื่องจริงมาล้อเล่น-2
เมื่อทุกคนได้ยินว่ามีบางสิ่งที่สำคัญกว่าการตายของเหลี่ยงเฟิน พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะกลืนน้ำลายเพราะกลัวจะพลาดแม้แต่ครึ่งคำ
“ทันทีที่ข้าถึงเมืองจิ่งผิงก็เห็นสองกลุ่มเผชิญหน้ากันที่บ่อน้ำใจกลางเมือง กลุ่มหนึ่งคือผู้รับใช้ทั้งสี่คนในเบญจลักขี วันซาน ฟางซื่อ เตาอู่ ฮวาลิ่ว ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งมีชายสามคน ผู้เฒ่าหนึ่งชายหนุ่มสอง ทว่าหนึ่งในนั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือเมื่อไม่นานมานี้”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาและมีคนรินสุราเต็มจอกให้เขาทันที คิดไม่ถึงว่าเขากลับเทมันลงพื้น
“ผู้ตายล่วงลับไปแล้ว เล่าเรื่องของคนตายก็ขอให้ทุกท่านฟังอย่างสงบนิ่ง”
“ผู้มีชื่อเสียงคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น เป็นทังจงซงบุตรชายของทังหมิงผู้ควบคุมรัฐติงและศิษย์ที่ฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องเพิ่งรับมาเมื่อไม่นานมานี้!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
เมื่อทุกคนได้ยินว่าดินแดนของติ้งซีอ๋องนี้กำลังเผชิญหน้ากับเบญจลักขีแห่งหอทรงปัญญา พลันรู้สึกว่าสิ่งนี้ร้อนแรงยิ่งกว่าการตายของเหลี่ยงเฟินเสียอีก
“ผู้เฒ่านั้นก็มีภูมิหลังที่ดีเช่นกัน ว่ากันว่าเป็นผู้สั่งการสำนักของสำนักปากสอบในอดีต ต่อมาไม่รู้เพราะเหตุใดจึงออกจากสำนักปากสอบไป หลังจากฮั่ววั่งติ่งซีอ๋องรับทังจงซงผู้นี้เป็นศิษย์ จึงติดประกาศรับอาจารย์สอนทักษะวรรณกรรมให้เขา ผู้ที่ดึงประกาศก็คือผู้เฒ่าผู้นี้”
ทุกคนพยักหน้า
เกี่ยวกับเรื่องของบัณฑิตจางและทังจงซงนั้นแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองติ้งซีอ๋องนานแล้ว ไม่มีผู้ใดไม่รู้
“เช่นนั้นยังมีอีกคนหนึ่ง?”
มีคนถาม
“หึๆ…ยังมีอีกคน ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็คาดไม่ถึง!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“จิ่วซานปั้น!”
ทันทีที่เอ่ยชื่อออกมาอีกครั้ง ทุกคนก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน
“จิ่วซานปั้นนี้เป็นผู้ใด ข้าก็ไม่รู้ เพียงแต่เขาเดินทางมาพร้อมกับทังจงซง ทั้งยังกล่าวว่าเป็นสหายคนสนิทหลิวรุ่ยอิ่งนายกองกรมสอบสวนแห่งอาณาจักรติ้งซีอ๋องที่เพิ่งมาเมื่อไม่นานมานี้”
ครั้นได้ยินคำว่าหลิวรุ่ยอิ่งสามคำนี้ บางคนในที่นี้ถึงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
คนประเภทเดียวกันรวมตัวกัน สัตว์ประเภทเดียวกันรวมกลุ่มกัน
ระหว่างผู้อ่อนแอก็รวมเป็นกลุ่มก้อน ผู้แข็งแกร่งก็มีแวดวงของตนเองเช่นกัน
บางครั้งเจ้ามองเพียงคนเดียว บางทีเขาอาจไม่เป็นที่รู้จัก
แต่ความสามารถที่แท้จริงของคนผู้นั้นไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเหล่านั้นที่แสดงออกมาภายนอก แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ วงสังคมที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเขา
จิ่วซานปั้นกลับเกี่ยวข้องกับทังจงซง บัณฑิตจางและหลิวรุ่ยอิ่ง ทั้งสามคนนี้ได้รับความนิยมมากที่สุดในอาณาจักรติ้งซีอ๋องในปัจจุบัน เขาย่อมไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
“พวกเขาเผชิญหน้ากันทำสิ่งใด”
“เจ้าโง่รึ…เผชิญหน้าก็คือ…เผชิญหน้า”
เสี่ยวจีหลิงไม่รีบร้อนอธิบาย ปล่อยให้ทุกคนหารือกันตามสบาย
“ตอนที่ข้าเห็นพวกเขาทั้งสองฝ่ายกำหนดตำแหน่งของตนแล้ว บัณฑิตจางนั่งอยู่บนม้า ทังจงซงชักกระบี่อยู่ในมือ ส่วนจิ่วซานปั้นมีเพียงมือเปล่า!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“มือเปล่าหรือ เผชิญหน้ากับเบญจลักขีถึงจะเหลือเพียงสี่คนก็ตาม เขากลับมีเพียงมือเปล่าน่ะหรือ”
“ถูกต้อง! เขามีเพียงมือเปล่า อีกทั้งวิชาที่ใช้ยังเป็นวิถีรวมเป็นหนึ่งที่ฝึกฝนเฉพาะสายบุ๋น! เตาอู่ยืนอยู่บนหลังคาฝั่งขวาของเขา วางกระดานหมากล้อมไว้ด้านหน้า ย่อกายโผล่เพียงศีรษะ ฮวาลิ่วยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ไกลนัก มือซ้ายผสานวิชายุทธ์วิถีรวมเป็นหนึ่ง มือขวาหยิบหมากสีดำในตะกร้าหมากหลังเอวเต็มกำมือ! แล้วออกฝ่ามือไปทางจิ่วซานปั้น”
เสี่ยวจีหลิงกล่าวถึงตรงนี้ ใช้น้ำชาล้างถ้วยชาที่เพิ่งรินสุราลงไปจนสะอาดแล้วเติมสุราลงไปครึ่งถ้วย
“จากนั้นเล่า จิ่วซานปั้นมีเพียงมือเปล่าจะรับมืออย่างไร”
“แม้จิ่วซานปั้นจะมีเพียงมือเปล่า! แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องรับมือ”
เสี่ยวจีหลิงดื่มสุราครึ่งถ้วยแล้วกล่าว
“ไม่ต้องรับมือหรือ หรือว่าเพียงยืนรอความตายอยู่อย่างนั้น”
“แน่นอนว่าไม่ใช่! ใครจะยืนรอความตายกันเล่า! ต่อให้จะเป็นสถานการณ์ที่ต้องตาย ก็ต้องทุ่มสุดชีวิตเพื่อจะตายอย่างสบายใจไม่ใช่หรือ จิ่วซานปั้นไม่ได้รับมือแต่คนอื่นช่วยรับมือแทนเขาน่ะสิ!”
เสี่ยวจีหลิงลุกขึ้นยืนพลางกล่าว
“คนอื่นรึ หรือว่าจะเป็นผู้เฒ่านั่น บัณฑิตจางรึ”
“ไม่ เป็นทังจงซง! กระบี่ยาวในมือทังจงซงตั้งตรงออกไปคุ้มกันด้านหน้าจิ่วซานปั้น! จะว่าไปแล้วติ้งซีอ๋องก็คือติ้งซีอ๋อง ก่อนหน้านี้มักจะคิดเสมอว่าเขารับทังจงซงเป็นศิษย์ถือเป็นการจับตัวประกันเพื่อความมั่นคงชายแดน ตอนนี้ดูเหมือนจะผิดถนัด”
เสี่ยวจีหลิงส่ายศีรษะพลางกล่าวทอดถอนใจ
“ผิดถนัดหรือ”
“ผิดพลาดครั้งใหญ่ทีเดียวเชียว! การเคลื่อนไหวของทังจงซงมีพลังรุนแรงมาก แม้จะดูเงอะงะและไม่ยืดหยุ่นไปบ้าง แต่หมากล้อมที่ฮวาลิ่วใช้โจมตีมีไม่น้อยกว่าสิบเม็ด คิดไม่ถึงว่าจะถูกกระบี่สองกระบวนท่าของเขากำราบสิ้น!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“กระบี่สองกระบวนท่ารึ เจ้ามองเห็นชัดเจนหรือ มีเพียงกระบี่สองกระบวนท่าเท่านั้นจริงหรือ”
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนถอนหายใจโล่งอก
“กล่าวให้ถูกคือหนึ่งกระบี่ครึ่ง เพราะว่ากระบี่ของเขาออกจากฝักแล้ว ฉะนั้นการเคลื่อนไหวนี้จึงไม่นับ แต่เขาใช้ด้ามกระบี่สะกิดจิ่วซานปั้นเบาๆ ราวกับจะสร้างพื้นที่ให้เขา จากนั้นกระบี่เดียวฟาดหมากบินทั้งหมดของฮวาลิ่วจนร่วงกราวลงพื้น กระบี่สัมผัสกับเม็ดหมากล้อมหรือไม่ข้าก็พูดได้ยาก แต่จุดที่เม็ดหมากล้อมตกลงไปอยู่ห่างจากกระบี่ของเขาพอสมควร”
“ขั้นฝึกตนสายบู๊ของทังจงซงยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เลยหรือ”
ทุกคนล้วนรู้สึกว่าเหลือเชื่อนัก
“สำหรับข้า ความยอดเยี่ยมยังอธิบายได้ไม่เพียงพอ ยอดเยี่ยมนั้นบอกได้เพียงวิชากระบี่ของเขาดีเลิศ วิจิตรและคล่องแคล่ว เช่นเดียวกับการยิงธนู เมื่อฝึกฝนจนเก่งกาจก็ยิงเข้าเป้าหมายได้ไม่ยาก ทว่ากระบี่ของทังจงซงกลับทำให้ข้าสัมผัสได้ถึงความเรียบง่ายและสง่างาม! ราวกลับยื่นไปทางนั้นก็กำจัดพลังทั้งหมดบนเม็ดหมากล้อมเหล่านั้น จากหนึ่งเพิ่มเป็นสองราวกับนกโฉบผ่านพิษร้าย ร่วงลงกับพื้นทันที”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“สรุปว่าจิ่วซานปั้นเป็นเทพมาจากที่ใด หรือว่าจะเป็นคนของวังอ๋อง”
มีคนกล่าวคาดเดา
“ชู่…คาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้าระวังศีรษะจะขาดเอา!”
“ฮ่าๆ จิ่วซานปั้นเคลื่อนไหวท่าทางที่ทำให้เทพเจ้าและผีสางตกใจเสียด้วยซ้ำ”
เสี่ยวจีหลิงอดหัวเราะไม่ได้พลางเอ่ย
“เขาทำไมกัน หรือว่าจะร้ายกาจมากเช่นกัน”
มีคนกล่าวถาม
“ไม่…ไม่เพียงแต่ไม่ร้ายกาจ ยังหันหลังเผ่นแน่บ!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“หันหลังเผ่นแน่บ! สิ่งนี้ไม่น่าเชื่อถือเกินไป! มองแวบแรกเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ไม่เป็นโล้เป็นพาย! ต่อให้สถานะจะสูงส่งเพียงไหน ก็ไม่อาจทิ้งสหายแล้วหนีไปเช่นนี้!”
มีคนกล่าวพูด
“ไม่ ข้ากลับรู้สึกว่าจิ่วซานปั้นเป็นคนฉลาด เจ้าคิดดูสิ ทังจงซงได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของติ้งซีอ๋อง จะมีสักกี่คนในใต้หล้าที่กล้าทำให้เขาลำบากใจ หากในอดีตบัณฑิตจางเป็นผู้สั่งการสำนักปากสอบจริง ขั้นฝึกตนย่อมแก่กล้าลึกล้ำ ครั้นคิดแล้วเบญจลักขีไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา จิ่วซานปั้นเลือกวิ่งหนีไปในยามนี้ย่อมฉลาดที่สุด หากเขาอยู่ต่อมีแต่จะเพิ่มภาระให้ทั้งสองคน”
“ไม่ผิด สาเหตุหลักมาจากทั้งสองคนนี้สถานะไม่ธรรมดา ฝ่ายหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวแทนวังติ้งซีอ๋องของเรา ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนสนิทของประมุขหอทรงปัญญา การเผชิญหน้าของพวกเขาไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวอีกต่อไป แต่เป็นการปะทะระหว่างสองกำลังหลัก จะพลิกฟ้าสะเทือนดินหรือนี่!”
ทุกคนกล่าว
ทุกคนล้วนมีหลักการเหตุผลของตน การวิเคราะห์ก็ถึงพริกถึงขิงเช่นกัน
“หลังจากจิ่วซานปั้นเผ่นแน่บ ทังจงซงไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ มองฮวาลิ่วด้านหน้าด้วยสีหน้าฉาบรอยยิ้มดังเดิม ครั้นฮวาลิ่วเห็นหมากเต็มกำมือที่ตนเพิ่งโจมตีออกไปร่วงลงบนพื้นทั้งหมด คิดว่าสีหน้าเริ่มไม่สู้ดีเล็กน้อย…แต่สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญคืออาวุธลับสายขว้างหมาก จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกโจมตี ทำได้เพียงเปลี่ยนตำแหน่งและสะบัดออกไปอีกหลายเม็ด”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ทังจงซงป้องกันได้หรือไม่”
ตอนนี้เอง ความคิดของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ
พวกเขาล้วนเป็นคนอาณาจักรติ้งซีอ๋อง ตอนนี้ถือว่าทังจงซงเป็นคนของฝ่ายตนเอง คนของตนแน่นอนว่าย่อมต้องเอาใจช่วยคนของตน แม้จะไม่มีผู้ใดกล้าพูดว่าหอทรงปัญญาไม่ดี แต่ก็แอบแข่งขันในใจอย่างลับๆ
“ทังจงซงไม่ได้ปัดป้อง ทั้งยังวางกระบี่ลงด้วย เพราะเม็ดหมากล้อมเหล่านั้นไม่พุ่งมาทางเขาแต่กลับลอยไปทางเตาอู่และฟางซื่อบนหลังคาทั้งสองฝั่ง หมากสีดำกระแทกบนกระดานหมากตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง ผลคือแทนที่จะช้าลงกลับเด้งไปมาระหว่างกระดานหมากทั้งสองเร็วยิ่งขึ้น ฮวาลิ่วขยับไปซ้ายทีขวาทีดีดหมากล้อมไปทางกระดานทีละตัว ข้าเห็นเม็ดหมากล้อมที่เด้งกลับไปมาด้านหลังทังจงซงค่อยๆ ทอเป็นตาข่ายสีดำ”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“นี่…เบญจลักขีคิดจะทำสิ่งใด ทำไมจึงอยากฆ่าเขานัก!”
“ข้าก็ไม่รู้…แต่ว่าเค้าโครงด้านหลังทังจงซงเสร็จสมบูรณ์ ฮวาลิ่วเหวี่ยงกระดานหมากสีขาวดำด้านหลังตนขึ้นมาและพุ่งไปทางทังจงซง กระดานหมากกวัดแกว่งเต็มกำลังในมือของเขาปะทะเข้ากับกระบี่ยาวในมือทังจงซง ประกายไฟพุ่งออกมา ชั่วขณะหนึ่งแยกได้ยากว่าใครได้เปรียบเสียเปรียบ แต่กระดานหมากจะต้องหนักมากเป็นแน่…ไม่นานฮวาลิ่วก็เหงื่อแตกพลั่กและหายใจหอบเล็กน้อย ทังจงซงอาศัยความคล่องตัวกระบี่ยาวของตนเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้และเริ่มต่อสู้ ท่าร่างสง่างามยิ่งนัก เช่นเดียวกับยุง บางครั้งโดนน้ำ บางครั้งบินโฉบ ประกอบกับทุกกระบี่อาศัยแรงโจมตี ไม่เผชิญหน้าเช่นเพชรตัดเพชร แต่ทำให้ฮวาลิ่วเสียแรงไปไม่น้อย”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ดูเหมือนว่าทังจงซงไม่เพียงขั้นฝึกตนไม่ธรรมดา แต่กลยุทธ์รับมือกับศัตรูที่ใกล้เข้ามาสามารถนำไปใช้อย่างรวดเร็วและเหมาะสมเช่นกัน!”
“ไม่ใช่หรอก! ถึงอย่างไรเบญจลักขีนี่ก็มากเกินไป! ทำให้ผู้สืบทอดติ้งซีอ๋องข้าต้องลำบาก หมายความว่าอย่างไร!”
“หากเจ้ากล่าวว่าทังจงซงฝึกฝนสำเร็จจนมีชื่อเสียง นั่นก็แล้วไป…แต่เขาเพิ่งเป็นศิษย์ติ้งซีอ๋องเพียงกี่วัน เบญจลักขีมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าตั้งนานแล้ว ไม่รักษาเกียรติเช่นนี้ ไหนเลยจะยังคงมีความสง่าผ่าเผยอย่างที่บัณฑิตอวดอ้างได้ ช่างไม่มีความละอาย!”
เสี่ยวจีหลิงกดมือทั้งสองข้างบอกเป็นนัยให้ทุกคนล้วนสงบสติอารมณ์กันหน่อย อย่างไรเสียเขาก็ยังพูดไม่จบ
“คิดไม่ถึงว่าในยามนี้ ฮวาลิ่วพับกระดานหมากขาวดำสองสีลงครึ่งหนึ่ง เช่นนี้ทำให้เขาได้เปรียบยิ่งกว่าก่อนหน้านี้มากนัก ในขณะที่เขาจะทะยานตัวไปบุกอีกครั้ง กลับถูกวันซานที่ยืนอยู่ข้างๆ ห้ามไว้”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ใช่แล้ว! เหลี่ยงเฟินตายแล้ว วันซานก็กลายเป็นพี่ใหญ่! น้องชายไม่รู้ความ เขายังจะก่อเรื่องไปด้วยกันได้อย่างไร?!”
“ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงตอนนี้วันซานก็ยังไม่เอ่ยคำใด นิ่งไม่ไหวติง พวกเจ้าลองเดาว่าเขาทำสิ่งใด”
เสี่ยวจีหลิงกระตุ้นความฉลาดอีกครั้ง
“ไม่รู้สิ…เจ้ารีบบอกเร็วเข้า!”
“ใช่ๆ เลิกยึกยักเสียที!”
มีคนเติมสุราให้เขาอีกหนึ่งจอก
แต่เสี่ยวจีหลิงเททิ้งครึ่งจอกแล้วดื่มจนหมด
“วันซานเอาแต่จ้องบัณฑิตจางไม่ละสายตา บัณฑิตจางกลับหลับตาคล้ายผล็อยหลับไปบนม้า ทว่าม้าตัวนั้นก็ไม่ธรรมดา การต่อสู้ดุเดือดเกิดขึ้นข้างหน้าเช่นนี้ มันก็ยังยืดอกเชิดหน้าไม่แสดงความหวาดกลัว! บัณฑิตจางนั่งอย่างมั่นคงเพียงใด มันก็ยืนอย่างมั่นคงเพียงนั้น หลังจากวันซานขวางฮวาลิ่วไว้ บัณฑิตจางยื่นมือขวาออกมาดันไปทางตาข่ายสีดำเล็กน้อย เม็ดหมากล้อมเหล่านั้นค่อยๆ กระเด็นไปทางวันซาน แต่วันซานไม่ได้รับไป แต่คลายตะกร้าหมากล้อมบนกายฮวาลิ่ว คัดลอกเม็ดหมากล้อมเหล่านั้นใส่มันลงไปทั้งหมดไม่พลาดแม้แต่ตัวเดียว”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ตามคาด! ต้องคนที่มีประสบการณ์มากหน่อยจึงจะรู้ความ!”
มีคนกล่าวพูด
“ว่าอย่างไรเล่า”
คนรอบข้างกล่าวถาม
“ข้าคิดว่า เหตุการณ์ย่อมเป็นเพราะฮวาลิ่วและทังจงซงเริ่มมันขึ้น คนหนุ่มสาวดื้อรั้น ประกอบกับพี่ชายฮวาลิ่วเพิ่งเสียชีวิต อารมณ์จมดิ่งทะเลาะเบาะแว้งลงไม้ลงมือได้ง่ายที่สุด ทว่าวันซานกลับให้ความสนใจการเคลื่อนไหวของบัณฑิตจางและขอบเขตการโจมตีของน้องชายอยู่ข้างๆ มาตั้งแต่ต้น ระบายออกเสียบ้างก็ไม่เสียหาย หากมาถึงก็ยอมอ่อนข้อให้ เบื้องหลังทั้งสองฝ่ายยังมีอำนาจใหญ่แบกรับอยู่ ผู้ใดจะยอมเสียหน้าเล่า แต่เมื่อเห็นน้องชายของเขากำลังจะลงมือนอกกรอบ เขาก็รู้ว่าไม่อาจไปต่อได้แล้ว จึงหยุดฮวาลิ่วและต้องการพูดสองสามคำเพื่อทำให้สถานการณ์สงบลง บัณฑิตจางย่อมสุขุมรอบคอบมีประสบการณ์ เมื่อเห็นวันซานหยุดฮวาลิ่ว ย่อมต้องเห็นแก่หน้าเขาเป็นธรรมดา จึงควบคุมเม็ดหมากล้อมและค่อยๆ ส่งคืนให้เขา”
การวิเคราะห์ของคนผู้นี้ชัดเจนและสมเหตุสมผลมาก แม้แต่เสี่ยวจีหลิงยังอดพยักหน้าไม่ได้
“เฮ้อ…ที่สหายท่านนี้พูดไม่ผิดจริงๆ! หากภายใต้สถานการณ์ทั่วไป เรื่องราวมันก็ควรพัฒนาไปเป็นเช่นนี้ แต่ที่ไหนได้คำพูดที่โพล่งออกจากปากฮวาลิ่วทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ!”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
“ฮวาลิ่วนั่นกล่าวว่า ‘พี่ชาย! ท่านไม่ลงมือก็ไม่เป็นไร ทำไมต้องขวางข้า! ศัตรูที่ฆ่าพี่ชายอยู่ตรงหน้า ชดใช้ด้วยชีวิตย่อมเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แม้แต่ท่านประมุขหอตี๋ยังไม่มีสิ่งใดต้องกล่าวที่นี่!’ เจ้าฟังความหมายในคำกล่าวสิ! คิดไม่ถึงจะกล่าวว่าทังจงซงและบัณฑิตจางเป็นผู้ที่ฆ่าเหลี่ยงเฟิน!”
เสี่ยวจีหลิงหันกลับไปถ่มเสมหะลงพื้น
แม้บางคนจะไม่ชอบใจ แต่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วผ่านไป
“เป็นไปได้อย่างไร! แม้ทังจงซงจะเคยมีชื่อเสียงไม่ดีมาก่อน แต่ก็ไม่น่าจะเลอะเลือนเพียงนี้ ยิ่งกว่านั้นยังมีบัณฑิตจางคอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ อีกด้วยน่ะหรือ”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเสี่ยวจีหลิง แต่ละคนพลันควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ทันที
“ดังนั้น! เมื่อเห็นสิ่งนี้แม้แต่ข้าก็ไม่คาดคิดมาก่อน…ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ความแค้นส่วนตัว แต่เป็นข้อพิพาทระหว่างวังติ้งซีอ๋องกับหอทรงปัญญา! เกรงว่าอย่าทำสงครามจึงจะดี…”
เสี่ยวจีหลิงกล่าว
การยั่วยุและการยุยงในคำพูดเหล่านี้ชัดเจนยิ่งนัก เพียงแต่ทุกคนล้วนแตกตื่นกันอย่างยิ่งในยามนี้จึงไม่มีผู้ใดสังเกตุถึงสิ่งนี้
“แต่ในยามนี้เอง กลับมีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น!”
ครั้งนี้เสี่ยวจีหลิงไม่ได้ให้เวลาทุกคนถกเถียงกันพลางกล่าวต่อ
“เป็นผู้ใด”
มักจะมีเพียงไม่กี่คนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ทุกครั้งที่เสี่ยวจีหลิงสั่นถุงผ้า ล้วนมีคนมาต่อคำ
“จิ่วซานปั้น!”
เสี่ยวจีหลิงตบโต๊ะพลางกล่าว
……………………………………………………….