บทที่ 107 อักษรเหว่ยไม่ครบขีด-2
“ผู้อาวุโส ข้าช่วยท่านเอง”
วันซานมองพลางกล่าว
เมื่อได้ยินคำนี้ เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวกลับหยุดฝีเท้ามองวันซานไม่เอ่ยคำใด
หัวคิ้วทังจงซงขมวดเป็นปม มองบัณฑิตจางด้วยความสงสัย แต่กลับมองเหตุผลใดไม่ออก
มีเพียงจิ่วซานปั้นโพล่งออกมาประโยคหนึ่งทันควัน
“ไม่สู้แล้วหรือ ถ้าสู้อีกให้ข้ายืมกระบี่เจ้าใช้หน่อย”
ฮวาลิ่วได้ยินคำนี้ ตรงหน้าพลันมืด เกือบเป็นลมไป
วันซานเห็นเถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวเหมือนไม่อยากให้เขาช่วยจึงรีบหลีกทาง โน้มตัวดุจคันธนูไร้ศรพลางกล่าว “เชิญผู้อาวุโส”
จากนั้น เขาหันมาพูดกับจิ่วซานปั้นอย่างอดกลั้น
“ในเมื่อสองท่านนี้ไม่ใช่พรรคพวกของเจ้า เจ้ายังบอกว่าการตายของเหลี่ยงเฟินไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เช่นนั้นก็เชิญเจ้ากลับหอทรงปัญญามาชี้แจงความจริงคืนนั้นพร้อมพวกเราเถอะ”
“ตอนแรกข้าก็พูดเช่นนี้นะ! พวกเจ้าไม่เชื่อเอาแต่จะโจมตีให้ได้…จริงๆ เล้ย!”
จิ่วซานปั้นกล่าวพลางโยนกรรไกรคีบถ่านครึ่งอันบนมือไปด้านข้างอย่างเหยียดหยันยิ่ง
“ในเมื่อสองท่านเป็นแขกผู้มีเกียรติจากวังติ้งซีอ๋อง ก็ไปพบท่านประมุขหอตี๋พร้อมพวกเราด้วยดีหรือไม่ คิดว่าท่านผู้เฒ่าได้เห็นคนหนุ่มมากความสามารถอย่างคุณชายทังแล้วต้องยินดียิ่งเป็นแน่”
วันซานพูดกับทังจงซงและบัณฑิตจางอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มใคร่ครวญในใจว่าฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องส่งลูกศิษย์สายตรงที่เพิ่งรับได้ไม่นานของตัวเองมาหอทรงปัญญาเพื่ออะไรกันแน่
แม้ถ้อยคำบนจดหมายฉบับนั้นสุภาพนอบน้อมยิ่ง ทว่าตัวบทเต็มไปด้วยเมฆหมอกไม่มีเนื้อหาจริงแท้แต่อย่างใด
วันซานไม่เชื่อว่าฮั่ววั่งจะส่งทังจงซงมาเรียนที่หอทรงปัญญาจริง ต้องมีแผนอื่นแน่
แต่เรื่องเหล่านี้เกินขอบเขตอำนาจและความสามารถของเขาแล้ว ได้แต่ผลักให้ตี๋เหว่ยไท่ ดูว่าท่านผู้เฒ่าจะตัดสินอย่างไร
เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องสืบหามือสังหารต้องล่าช้าแน่นอน แต่ก็จนปัญญาจริงๆ…
จู่ๆ วันซานก็หนาวสั่น
อากาศตอนนี้ไม่หนาวเลย ทั้งไม่มีลมพัด
หนำซ้ำด้วยการฝึกตนของเขาจะกลัวหนาวได้อย่างไร
คิดว่ามีอยู่แค่หนาวใจเล็กน้อย…
ตกลงหลิวรุ่ยอิ่งมาเพราะอะไรเขาไม่รู้
แต่ตอนนี้นอกจากกรมสอบสวนกลาง ยังเพิ่มติ้งซีอ๋องมาอีกหนึ่งคน
ฝนบนภูเขามาลมพัดทั่วหอคอย[1]
วันซานรู้สึกช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิปีนี้คงจะเปลี่ยนแปลงแล้ว
ฮวาลิ่วเก็บเม็ดหมากและกระดานหมากของตนแล้วกำลังจะกลับ ทว่าถูกฟางซื่อกับเตาอู่ดึงแขนให้ยืนอยู่ที่เดิม
จิ่วซานปั้นเห็นทังจงซงไม่ขยับเขาก็ไม่เขยื้อน
และทังจงซงไม่ขยับเพราะบัณฑิตจางไม่เคลื่อนไหว
ก็เป็นเช่นนี้ ทั้งเจ็ดคนรออยู่จนเถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวตักน้ำเสร็จค่อยหลีกทาง แล้วถึงขึ้นม้าตะบึงสู่หอทรงปัญญา
…………………………
เถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวยกถังน้ำกลับมาส่งให้ฮั่ววั่งในร้านอาหาร
ฮั่ววั่งก็ไม่ปฏิเสธ กอดถังดื่มอักๆ ไปหลายอึกใหญ่
แต่ไม่มีน้ำไหลออกจากขอบปากเลยสักหยด
ฮั่ววั่งพูดถูก เขากลัวก้างปลา
และไม่ใช่กลัวธรรมดา กลัวมาก
อยู่มาถึงตอนนี้ ในภาพจำของตนเองเขาเคยกินปลาแค่ห้าครั้ง แต่มีสามครั้งที่ก้างปลาติดคอหอย กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ครั้งแรก เป็นตอนเขาเพิ่งเจอฮั่ววั่ง
ตอนนั้นฮั่ววั่งยังเป็นเด็ก
เขาก็เป็นเด็กเช่นกัน
แต่ถ้าพูดถึงความอาวุโส ฮั่ววั่งกลับเรียกเขาว่าศิษย์พี่
ทั้งสองล้วนเป็นศิษย์ของหมอพเนจรคนหนึ่ง
ก็คือหมอพเนจรที่ตอนแรกมาหมู่บ้านตระกูลฮั่วแล้วตั้งชื่อให้ฮั่ววั่งแถมยังพาเขาไปด้วยคนนั้น
ฮั่ววั่งในตอนนั้น บนหน้ายังมีคราบน้ำตา แต่พูดกับเขาว่าตนอยากกินน้ำแกงปลา
‘ท่านชื่ออะไร’
ฮั่ววั่งอายุพอๆ กับเขา ย่อมละทิ้งความตื่นกลัวและพูดสิ่งที่อยากพูด
‘ข้าชื่อเยี่ยเหว่ย’
เยี่ยเหว่ย[2]ก็คือชื่อของเถ้าแก่ เสี่ยวเอ้อร์และพ่อครัวผู้นี้
ธรรมดาทั่วไป ถึงขั้นขัดหูเอามาก
ใบไม้อาจบดบังสายตาและเป่านกหวีดได้ แต่จะยิ่งใหญ่ได้อย่างไร
เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
ชื่อนี้เหมือนอักษรวั่งของฮั่ววั่ง หมอพเนจรล้วนเป็นคนตั้งให้
ที่ต่างกันคือฮั่ววั่งยังมีสกุลเดิมของตัวเอง
ส่วนเยี่ยเหว่ย หมอพเนจรตั้งให้กระทั่งนามสกุล
เยี่ยเหว่ยบอกชื่อตัวเองกับฮั่ววั่งแล้วก็วิ่งไปจับปลาในสระน้ำด้านนอก ทำเช่นนั้นจนฟ้าเกือบมืดถึงจับปลาไนขนาดเท่าฝ่ามือกลับมาได้สองตัว
มองน้ำแกงปลาสีขาวนม ฮั่ววั่งก็ลืมความกลัว จะเอาใส่ปากโดยไม่สนว่าร้อนหรือไม่
ก่อนหน้านี้ฮั่ววั่งไม่เคยกินปลา
ครอบครัวของเขายากจนเกินไปจริงๆ แม้แต่ข้าวยังกินไม่อิ่ม แล้วจะมีปลากินได้อย่างไร
อีกอย่างหมู่บ้านตระกูลฮั่วขาดน้ำ กระทั่งบ่อน้ำยังแห้งผากไปแล้วสี่ห้าเดือนตลอดทั้งปี ยิ่งไม่มีสระน้ำ
แต่บางคนก็มีพรสวรรค์เหนือธรรมดา เจ้าเทียบไม่ได้
ฮั่ววั่งที่กินปลาครั้งแรกยัดลูกปลาไนขนาดเท่าฝ่ามือเข้าปากทั้งตัว เคี้ยวไม่กี่หนก็พ่นก้างปลาสะอาดเอี่ยมอ่องออกมาทั้งตัว
บนก้างปลานั้นไม่มีเนื้อปลาเหลือสักนิด สะอาดเหมือนเคยถูกแมวเลีย
เยี่ยเหว่ยเห็นวิธีกินของเขาย่อมใคร่รู้ และไม่ยอมแพ้อยู่บ้าง
เขาเลียนแบบกินลูกปลาไนตัวนั้นหมดในคำเดียว
ผลคือเพิ่งเคี้ยวไปคำหนึ่งก็รู้สึกเจ็บปวดในลำคออย่างยิ่ง
ก้างปลาชิ้นหนึ่งขวางติดอยู่ตรงกลาง ทำเอาเขาน้ำมูกน้ำตาไหลพร้อมกัน
สุดท้ายหมอพเนจรตบหลังเขาอย่างแรงหนหนึ่งถึงได้อาเจียนก้างออกมา
นึกไม่ถึงว่าบาดเจ็บลึกทีเดียว ถึงขั้นสองสามวันจากนั้นเขากินได้แต่โจ๊กกับอาหารเหลว
หมอพเนจรเป็นหมอคนหนึ่งจริง
แม้วิชาแพทย์ของเขาไม่ได้เหนือชั้นเหมือนตาเฒ่าเยี่ย แต่ก็ถือเป็นบุคคลโดดเด่นในอาชีพนี้แล้ว
หมอแขวนน้ำเต้าช่วยคนทุกข์ยาก เดินทางทั่วหล้า เมตตาเป็นสำคัญ
ย่อมต้องบรรเทาความกังวลขจัดความลำบากให้ทุกชีวิต แย่งชีวิตกับยมบาล แข่งเวลากับฟ้าดิน
เจอเรื่องคอขาดบาดตายก็สละได้แม้แต่ชีวิตของตัวเอง
เกิดแก่เจ็บตาย สี่เรื่องสำคัญในโลกที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงนี้ล้วนเกี่ยวกับหมอ เรียกได้ว่านี่เป็นหนึ่งในอาชีพที่ซื่อสัตย์และไม่เห็นแก่ตัวที่สุดในโลก
แต่วิถีแพทย์ที่ฮั่ววั่งกับเยี่ยเหว่ยเล่าเรียนกลับเห็นแก่ตัวถึงขีดสุด
ทั้งสองไม่เข้าใจการมอง ฟัง ถามหรือจับชีพจรสักอย่าง แต่ถ้าตัวเองเกิดปวดหัวตัวร้อนอะไรขึ้นมากลับให้ยาได้ถูกต้อง ทั้งยังให้ยาจนหายป่วย
หรือต้องบอกว่าสอนให้พวกเขารู้จักช่วยชีวิตตัวเองเท่านั้น ไม่ได้สอนให้พวกเขาช่วยชีวิตคนอื่น
นี่ก็เป็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่งในใต้หล้า
ไม่มีใครรู้ว่าหมอพเนจรทำได้อย่างไร แม้แต่ฮั่ววั่งกับเยี่ยเหว่ยในตอนนี้ก็ไม่รู้
เพียงแต่เขาให้เยี่ยเหว่ยเข้าภูเขาต่อสู้กับสัตว์ป่าไปจนถึงอสูรที่เบิกสติสัมปชัญญะเริ่มแรกอยู่บ่อยครั้ง หนังเปิดเนื้อแตก กระดูกหักเส้นเอ็นขาดแล้วค่อยสอนวิธีห้ามเลือด เย็บแผลและพันแผลให้เขา
หลังจากให้ฮั่ววั่งกินของมีพิษไปทั่ว ตอนอันตรายอยู่ตรงหน้าถึงได้สอนวิธีถอนพิษให้เขา
ส่วนวิถียุทธ์
ฮั่ววั่งเรียนทวน เยี่ยเหว่ยฝึกมีด
ทั้งสองไม่เข้าใจอะไรเลย หมอพเนจรก็ไม่เคยอธิบาย
…
ครั้งที่สอง เป็นตอนเขากับฮั่ววั่งสำเร็จการฝึกฝน
ตอนนี้ห่างจากน้ำแกงปลาไนถ้วยแรกมาสิบห้าปีแล้ว
หนึ่งปีไม่เกิน หนึ่งวันไม่ขาด
หมอพเนจรคำนวณได้แม่น
ไม่มีความอาลัยหรือความเสียใจที่จากลาอาจารย์เช่นในจินตนาการ
ยิ่งไม่มีฉากที่อาจารย์อบรมสั่งสอนอย่างจริงจัง จ้อเรื่องหยุมหยิมในชีวิตอยู่ด้านข้าง
พอรู้สึกตัวตื่น หมอพเนจรก็ไม่อยู่แล้ว
บนโต๊ะทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง
ครึ่งบนเขียนให้ฮั่ววั่ง
‘ข้าสังหารมารดาเจ้า เป็นเหตุให้บิดาเจ้าฆ่าตัวตาย จนตอนนี้ พ่อแม่เจ้าตายหมด เป็นความรับผิดชอบของข้าผู้เดียว ไม่อาจโทษใครอื่น แต่รับเจ้าเป็นศิษย์ ถ่ายทอดวิชายุทธ์แก่เจ้ากลับมีบุญคุณดุจบิดา แต่บุญคุณความแค้นไม่หักล้าง หากยืนกรานทำเรื่องของไส้เดือน ยามสอง[3]สิบเฟินคืนนี้ โน้มหลิวข้างสระน้ำลงมากำจัดชีวิตของข้า ยามนั้น มีชีวิตแหลกเละให้ถือด้วยสองมือ ยิ่งมีกะโหลกหัวหนึ่งส่งกลับบ้านเกิดไว้บูชา หากอยากเป็นมังกรทะยานฟ้า จงมุ่งหน้าฝ่าเส้นทางแห่งด่านอันมีชัยภูมิแข็งแกร่ง แต่อย่าลืมว่าบ้านเกิดเมืองนอนก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน’
ครึ่งล่างเขียนให้เยี่ยเหว่ย
‘เรือเล็กลำหนึ่งไม่อาจผ่านลมฝน ใบไม้บดบังสายตาไม่เห็นเขาสูงใหญ่ เสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกัน บนฟ้าผืนเดียวกันไม่อาจมีมังกรสองตัว’
‘เจ้า…’
เยี่ยเหว่ยอยากถามฮั่ววั่งว่าเขาจะไปฆ่าหมอพเนจรหรือไม่
แต่เขาไม่ได้ถามออกไป
ตอนพลบค่ำฮั่ววั่งออกจากบ้านไปคนเดียว ดูจากทิศทางคือมุ่งไปสระน้ำ
เยี่ยเหว่ยรู้ว่าฮั่ววั่งตัดสินใจแล้ว
เขาปิดประตูเสร็จแล้ววิ่งไปบนเตียง ห่อตัวแน่นในผ้าห่ม ร้องไห้ส่งเสียงอย่างเจ็บปวด
ไม่รู้ร้องไห้มานานเท่าไร เขาผล็อยหลับด้วยความหนักอึ้งเช่นนี้ จนกระทั่งฮั่ววั่งกลับมาดึงผ้าห่มของเขาออกและเรียกให้เขาตื่นมากินข้าว
นอกหน้าต่างฟ้ามืดแล้ว
เยี่ยเหว่ยไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยามใด
และเขาก็ไม่อยากรู้ คืนนี้แทบอยากจะนอนหลับไปตลอด
ฮั่ววั่งทำน้ำแกงปลาร้อนระอุหม้อหนึ่ง ยังต้มผักกาดเขียวเต้าหู้เพิ่มด้วย
ทั้งสองล้วนชอบกินเผ็ดอยู่แล้ว
แม้กินน้ำแกงก็ต้องตักน้ำจิ้มพริกผสมสองสามช้อนถึงจะสะใจ
แต่วันนี้น้ำแกงปลาหม้อนี้กลับเป็นสีขาวนมล้วน
ไม่มีกระทั่งน้ำมันสักหยด
น้ำแกงปลาสีขาวเข้มข้นกับเต้าหู้ขาวเนื้อแน่นคล้ายกำลังสื่อถึงบางอย่าง
ทันใดนั้น เยี่ยเหว่ยได้ยินนกร้องนอกหน้าต่างช่วงหนึ่ง
นกชนิดนี้ส่งเสียงเบิกบานที่สุดแค่ประมาณยามสองในเวลากลางคืน
เสียงร้องของมันก็ประหลาดนัก เหมือนคนเรอยาวต่อเนื่องไม่หยุดสักเค่อ
ได้ยินเสียงนกร้องหนนี้ และเห็นฮั่ววั่งนั่งอยู่ตรงข้าม
เยี่ยเหว่ยที่ใจลอยกินปลาอย่างระมัดระวังอยู่กลับถูกก้างปลาติดคออีกครั้ง…
ฮั่ววั่งจนปัญญา เห็นเขาจะหายใจไม่ออกอยู่รอมร่อจึงตัดสินใจแบกเยี่ยเหว่ยมุ่งไปตรงสระน้ำ
หมอพเนจรคนนั้นนั่งยองอยู่ใต้ต้นหลิวจริง ดูท่าทางกำลังเตรียมสูบยาเส้น
เขาเห็นฮั่ววั่งแบกเยี่ยเหว่ยมาด้วยก็ไม่ได้ตกใจ แต่เอ่ยถามอย่างเรียบเฉย
‘ก้างปลาติดคออีกแล้ว?’
ฮั่ววั่งพยักหน้า
‘เป็นคนธาตุไฟแท้ๆ กลับจะกินปลาอยู่ได้! นี่โดนข่มเต็มๆ เลยไม่ใช่รึ!’
พูดจบตบฝ่ามือหนึ่งที่ด้านหลังตามปกติ ตบจนก้างนี้ออกมาอีกครั้ง
พอพ่นออกมาดู ใช่ก้างเสียที่ไหน…เป็นกระดูกเหงือกปลาส่วนหลังชิ้นหนึ่งชัดๆ
ฮั่ววั่งคิดไม่ตกโดยแท้ว่าเยี่ยเหว่ยกลืนกระดูกชิ้นใหญ่ขนาดนี้ลงไปได้อย่างไร…
ที่คิดไม่ตกยิ่งกว่าคือทำไมเขากินแล้วเอาออกไม่ได้
หรือเป็นอย่างที่หมอพเนจรบอกไว้จริง ธาตุไฟกินปลาไม่ได้เพราะน้ำข่มไฟ?
เห็นเยี่ยเหว่ยคว่ำหน้าอยู่บนพื้นค่อยๆ หยุดคลื่นไส้ ตอนฮั่ววั่งดึงเขาขึ้นเตรียมกลับไปก็ถูกหมอพเนจรเรียกไว้อีก
‘เจ้าไม่ฆ่าข้า?’
หมอพเนจรเอ่ยถาม
‘ข้านึกว่าท่านจะไม่ถาม’
ฮั่ววั่งหันมายิ้มกล่าว
‘ข้าคิดว่าเจ้าฆ่าหรือไม่ฆ่าก็จะมาเองสักหน’
หมอพเนจรกล่าว
‘ข้าไม่ได้คิดฆ่าคนอยู่แล้ว ตอนนี้ยังช่วยชีวิตคนหนึ่งด้วย’
ฮั่ววั่งกล่าวพลางมองเยี่ยเหว่ย
มุมปากของเขายังมีเลือดสดติดอยู่เล็กน้อย
‘นี่เป็นคุณงามความดียิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง’
หมอพเนจรกล่าว
‘เป็นคุณงามความดีของท่าน บุญคุณความแค้นไม่อาจหักล้าง ความดีหักล้างความผิดได้เสมอ’
ฮั่ววั่งพูดจบก็คำนับหมอพเนจรสามครั้งพร้อมกับเยี่ยเหว่ยอย่างเคารพนบนอบ จากนั้นตะโกน ‘อาจารย์รักษาตัวด้วย!’
หมอพเนจรฟังแล้วพลันหลั่งน้ำตาสองสายกล่าวว่า
‘เจ้าจะฆ่าหรือไม่ คืนนี้ข้าก็ต้องตาย’
‘ทำไมหรือ?!’
ฮั่ววั่งกับเยี่ยเหว่ยเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก
‘เพราะข้ากินยาพิษ’
หมอพเนจรกล่าว
‘พิษอะไรข้าก็ถอนได้ทั้งนั้น!’
ฮั่ววั่งจะเข้าไปถอนพิษให้หมอพเนจร กลับถูกเขากั้นไว้ด้วยกล้องยาสูบเบาๆ
‘นี่เป็นพิษที่เจ้าถอนไม่ได้’
หมอพเนจรกล่าว
แค่การวางยาถอนยาพิษฮั่ววั่งก็เรียนมาสามร้อยหกสิบห้าวันเต็มแล้ว
แต่เขากลับเรียนแค่สามร้อยหกสิบสี่ชนิดเท่านั้น
หรือหนึ่งชนิดที่เหลือก็คือชนิดที่หมอพเนจรกินตอนนี้
ที่แท้เขาตัดสินใจนานแล้ว
‘แต่พิษนี้มีแค่ชุดเดียว ข้ากินหมดแล้วตายก็ไม่มีอีกแล้ว ส่วนที่เหลือ ขอเพียงไม่ใช่พิษอื่นที่ประหลาดมากด้วยเล่ห์เกินไป เจ้ายังคงถอนได้ทั้งหมด’
หมอพเนจรพูดจบยังไม่รอขาดใจ เขาก็พุ่งตัวขึ้นดิ่งศีรษะลงกลางสระน้ำ ไม่ลอยขึ้นมาอีกเลย
ไม่มีกระทั่งฟองอากาศสักฟอง
………………………………………
[1] ฝนบนภูเขามาลมพัดทั่วหอคอย หมายถึงบรรยากาศตึงเครียดก่อนเกิดสงครามหรือการปะทะ
[2] เยี่ยเหว่ย แปลตรงตัวคือใบไม้ยิ่งใหญ่
[3] ยามสอง ช่วงเวลาระหว่าง 21.00-22.59 น.