บทที่ 111 สองด่านต่างความคิด-2
สมาชิกเก้าตระกูลเงยหน้าหัวเราะลั่น ตี๋เหว่ยไท่รู้ว่าเขาตายแล้ว
แม้กายเนื้อของเขาอยู่ดีไม่เสียหาย ยังหายใจได้ ยังมีชีพจร แต่จิตของเขาถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว
หลุมใหญ่ในสระเฟิ่งหวงด้านหลังยังไม่ถูกดินฝังกลบ
เพราะยังขาดศพร่างสุดท้ายของเขา
ตี๋เหว่ยไท่จากไปแล้ว
เขารู้ว่าอีกไม่นาน คนผู้นั้นจะกระโดดลงไปเอง
ถึงขั้นถมดินให้เต็มด้วย
ยามนี้ในวันถัดมา ตี๋เหว่ยไท่มาดูที่สระเฟิ่งหวงแล้วเป็นเช่นนั้นจริง
เขาถมเต็มทั่วทิศรอบกาย เหลือเพียงมือคู่หนึ่งโผล่อยู่ด้านนอก
ตี๋เหว่ยไท่ก้าวขึ้นไปช้าๆ เท้าซ้ายเหยียบมือซ้าย เท้าขวาเหยียบมือขวา
มือคู่นี้ก็จมหายลงสู่ดิน
ตั้งแต่ต้นจนจบ ตี๋เหว่ยไท่ไม่ได้ก้มมองเลยสักครั้ง
…………………………
บัดนี้ กล่องที่สั่นไหวอยู่ในมือทำให้เขาฮึกเหิมเหมือนหินก้อนใหญ่ที่ขว้างเข้ามาวันนั้น
กล่องนี้สั่นไหวอย่างไร้กฎเกณฑ์ บัณฑิตจางจึงเลิกค้นหากฎเกณฑ์ของมันเสีย
ตี๋เหว่ยไท่ปล่อยให้มันสั่นสะเทือนตามใจอยาก บัณฑิตจางก็ยื่นมือรับตามสบาย
เจอสิ่งใดรับมือตามสิ่งนั้น เป็นกลยุทธ์ต่อกลยุทธ์ หรืออาจเป็นไร้กลยุทธ์ต่อไร้กลยุทธ์
ในเมื่อเจ้าทำตามอำเภอใจ ข้ายิ่งทำตามสะดวก
เมื่อเป็นเช่นนี้กลับโจมตีถูกโดยไม่คาดคิด สามปลายนิ้วของบัณฑิตจางดึงกล่องไม้ไว้มั่น
ชั่วขณะนี้เอง ตี๋เหว่ยไท่หยุดพลังปราณที่ส่งออกมาด้านนอกฉับพลัน กล่องไม้กลับสู่สภาพปกติ
ยามนี้ หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งกะพริบตาหนเดียว
จากนั้น มือขวาตี๋เหว่ยไท่ที่รองจดหมายอีกครึ่งหนึ่งค่อยๆ ยกสูงขึ้นเล็กน้อย
พลังปราณไหลทะลักออกมาอีกกลุ่ม
ไม่นุ่มนวลเรียบลื่นเช่นก่อนหน้านั้น กลับเทลงบนจดหมายผ้ารวดเร็วและฉับไว
แต่ผ้าทอเส้นด้ายที่ฮั่ววั่งใช้เนื้อละเอียดเกลี้ยงเกลายิ่งกว่าแผ่นกระดาษ
ต่อให้สาดน้ำลงไปก็หุ้มไว้ได้โดยไม่รั่ว
ทว่าพลังปราณไร้รูปไร้สี เทียบกับน้ำแล้วแทรกตัวได้ทุกซอกหลืบ
เมื่อเจาะทะลุผ้าพลันหลอมรวมความนุ่มนวลไหลลื่นเป็นแผ่นเหล็ก
รอบนอกเขาเสี้ยมแหลมดุจปลายดาบคมกระบี่ ให้ความรู้สึกอาจถูกเฉือนหากไม่ระวัง
แม้บาดแผลเล็ก แต่ศักดิ์ศรีเป็นเรื่องใหญ่
สำหรับคนอย่างตี๋เหว่ยไท่กับบัณฑิตจาง เลือดไหลหยดหนึ่งไม่ได้ต่างกับหัวขาดเลยสักนิด
หนำซ้ำในเมื่อใช้เลือดหยดเดียวตัดสินสูงต่ำแพ้ชนะได้ แล้วเหตุใดต้องไปพยายามสุดแรงเกิดเพื่อตัดหัวของอีกฝ่ายด้วยล่ะ
ฮั่ววั่งชอบตัดหัว เพราะนอกจากเป็นฮั่ววั่ง เขายังเป็นติ้งซีอ๋อง
ความหมายที่แฝงไว้หลังคำว่าอ๋องไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนขั้นสุดยอดอย่างบัณฑิตจางจะใคร่ครวญรู้แจ้ง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ทรยศออกจากสำนักปากสอบในหนึ่งลมปราณ
เขาทำไม่ได้
เริ่นหยางก็ทำไม่ได้
ฮั่ววั่งย่อมมีวิธีฆ่าคนคนหนึ่งนับพันนับหมื่น
อย่าว่าแต่หนึ่งปีสามร้อยหกสิบห้าวัน
ต่อให้สิบปีสามพันหกร้อยห้าสิบวันก็เลือกวิธีได้ไม่ซ้ำ
แต่เขาหลงรักอยู่แค่วิธีหยาบๆ และพื้นฐานที่สุด นั่นคือตัดหัว
ใช่ว่าเขาไม่ชอบความยุ่งยาก แต่วิธีเช่นนี้เขย่าขวัญคนได้มากที่สุด
เจ้าผู้ครองรัฐ ปกครองด้วยไม้นวมและไม้แข็ง
มีแค่ไม้นวมไม่มีไม้แข็ง อ่อนแอเกินไป
มีแค่ไม้แข็งไม่มีไม้นวม โหดเหี้ยมเกินไป
ขู่ขวัญพวกเตรียมก่อหวอดสร้างปัญหาด้วยการตัดหัว ค่อยสงบจิตใจที่หวาดหวั่นด้วยเบี้ยหวัดก้อนโต
เช่นนี้แล้วผู้ใดจะไม่ซาบซึ้งบุญคุณ หลั่งน้ำตาสาบานจงรักภักดีจนตัวตาย
ต้องทราบว่าพวกหมาป่าที่กินเนื้อบนศพเฮ่อโหย่วเจี้ยนยังวิ่งเริงร่าอยู่ในทุ่งกว้างแถวเมืองจี๋อิง
แม้ตี๋เหว่ยไท่เป็นผู้ปกครองมากความสามารถคนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ยังเป็นบัณฑิต เขาไม่ชอบวิธีสกปรกและไม่เหมาะสมกับฐานะเช่นนี้
ดังนั้นเลือดหยดเดียวจึงมากพอ
บัณฑิตจางเห็นส่วนคมยาวประมาณครึ่งชุ่นไหลกระจายออกตรงขอบจดหมายผ้า เขาพลิกนิ้วโป้งกดบนขอบกล่องไม้อย่างผ่อนคลาย
การกดนี้ตัดการเชื่อมโยงระหว่างจดหมายผ้าฝั่งซ้ายและขวาโดยสิ้นเชิง
เมื่อครู่จดหมายผ้าเหมือนยอดนักรบแห่งยุคสมัย แต่บัดนี้กลับถูกหักแตกเป็นเศษเหล็ก
แม้ส่วนที่เหลือยังทำร้ายคนได้ แต่ยังคงแพ้แล้วเจ็ดส่วน
นึกไม่ถึง ตี๋เหว่ยไท่ยังมีกลยุทธ์หลัง
เขาพับครึ่งขวาของจดหมายผ้าแนบเข้ามาทั้งอย่างนั้น ขณะเดียวกันใช้วิทยายุทธ์ปีกจักจั่นพันจวิน จดหมายผ้าบางเบาพลันหนักดุจเขาสูงใหญ่
หากปล่อยให้กดทับเช่นนี้ต่อไป แขนขวาของบัณฑิตจางคงต้องกระดูกหักเอ็นขาดเป็นแน่
ถึงตอนนี้ หลิวรุ่ยอิ่งเพิ่งกะพริบตาสองครั้ง
บัณฑิตจางเห็นสถานการณ์ก็ไม่กล้าประมาทอีก
เขายื่นมือซ้ายออกมาสำรวจในกล่องไม้ ทับไว้บนจดหมายผ้าครึ่งที่เขาตัดพลังปราณของตี๋เหว่ยไท่แล้ว
หากมองครึ่งแผ่นที่ถูกกดลงเป็นท้องฟ้า เช่นนั้นบัณฑิตจางก็วางเสาทะลุฟ้าบนครึ่งหนึ่งของกล่องไม้แล้ว!
ฟ้าจะถล่ม เช่นนั้นก็ตั้งเสาตรงกลาง!
สรุปเสาจะแทงทะลุฟ้า
หรือฟ้าจะบดขยี้เสาต้นนี้
ความคิดของบัณฑิตจางกับตี๋เหว่ยไท่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
ต่างฝ่ายคิดว่าตัวเองชนะได้
ชั่วขณะที่เสากับฟ้าเพิ่งตัดกัน ทั้งสองกลับถอนกำลังพร้อมกันโดยไม่เอ่ยคำใด
กล่องไม้ยังคงเป็นกล่องไม้ที่กังวาน
ผ้ายังคงเป็นผ้าที่อ่อนนุ่ม
ตี๋เหว่ยไท่เพียงใส่ครึ่งขวาเข้ามาอย่างแช่มช้า
บัณฑิตจางฉวยปิดฝาอย่างประณีต
ยามนี้ หลิวรุ่ยอิ่งยังกะพริบตาครั้งที่สี่ไม่สนิทดี
คำที่วันซานพูดแทนจิ่วซานปั้นเมื่อครู่ยังวนเวียนอยู่ข้างหู ยังไม่หายไปทั้งหมด
อาศัยแค่ประโยคนี้ สำหรับนิสัยอย่างวันซานถือเป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดกลับตาลปัตร
ต่อให้โลกมีด่านเป็นพันหมื่นแบบ สุดท้ายก็เป็นแค่ด่านลาภยศและความเป็นความตาย
ด่านลาภยศมีไม่กี่คนที่ข้ามไปได้ แต่คนที่ก้าวเท้าข้างหนึ่งผ่านด่านความเป็นความตายกลับมีอยู่เยอะมาก
แต่เท้าข้างที่ก้าวผ่านด่านความเป็นความตายแล้วนั้น ก็เพื่อให้ได้ไขว่คว้าชื่อเสียงเกียรติยศมากกว่าเดิมเท่านั้น
หากพูดถึงด่านลาภยศหน้าตาเป็นแบบไหน ทุกคนกลับว่ากันไปตามใจนึก
อย่างไรก็สง่างามกว่าหอทรงปัญญา หรูหรากว่าวังติ้งซีอ๋องหรือถึงขั้นยิ่งกว่าเมืองหลวงโดยไม่ต้องสงสัย
ตอนคนเหล่านั้นได้สิ่งที่ตัวเองต้องการในด่านลาภยศแล้ว เท้าข้างที่ก้าวข้ามด่านความเป็นความตายในตอนแรกจะถอนกลับมาอีกครั้ง
ไม่มีใครตัดใจได้ลง
ยังเสวยสุขกับความมั่งคั่งรุ่งเรืองที่แลกมาด้วยการทำงานเสี่ยงชีวิตได้ไม่กี่วันก็ต้องไปตาย จะตัดใจลงได้อย่างไร
………………………..
“สหายรุ่ยอิ่ง เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
ทังจงซงเห็นบัณฑิตจางรับกล่องไม้แล้วหันมาเอ่ยถามหลิวรุ่ยอิ่ง
จนถึงตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่ได้บอกเป้าหมายในการเดินทางของเขา เพราะเขายังไม่เจอโอกาสที่เหมาะสม
ตอนนี้ทังจงซงถามเช่นนี้ เขาไม่รู้ตัวเองควรพูดออกไปเลยหรือเปล่า
“ข้ามาสืบคดี”
หลิวรุ่ยอิ่งใคร่ครวญแล้วจึงกล่าว
หนังตาตี๋เหว่ยไท่กระตุกเล็กน้อย ในใจเกิดความรู้สึกหลากหลายปนกัน
เหลี่ยงเฟินเพิ่งตาย เบญจลักขีขาดไปคนหนึ่ง
ติ้งซีอ๋องส่งศิษย์สายตรงคนเดียวมาเรียนที่หอทรงปัญญา
หลิวรุ่ยอิ่งเป็นตัวแทนกรมสอบสวนกลางมาสืบคดี
งานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมกำลังจะจัดขึ้น
ไม่ว่าเป็นเรื่องใดในสี่เรื่องล้วนเพียงพอให้คนคนหนึ่งรับไม่ไหวทั้งสิ้น
แต่ตี๋เหว่ยไท่ไม่ใช่คนธรรมดา เขาผงาดขึ้นในยุคราชวงศ์เก้าตระกูลได้ ย่อมไม่มีทางล้มลงในยุคเผด็จการ
อยากเรียนข้าก็สอน เจ้าอยากเรียนอะไรก็ไปเรียนอันนั้น หอคัมภีร์ทั้งหมดในหอทรงปัญญาเปิดประตูให้เจ้าทังจงซงทั้งหมด เจ้าอยากเรียนกับใครก็ขอคำชี้แนะจากคนนั้น
อาจารย์ ตอบข้อสงสัยไขความฉงน
นี่เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว
ส่วนเรียนอะไรบ้าง เรียนได้ถึงไหน ในงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมจะคว้าเกียรติยศหรือขายหน้า ล้วนไม่เกี่ยวกับหอทรงปัญญา
ต่อให้ติ้งซีอ๋องอย่างเจ้ามีอำนาจเพียงใด ก็ทำได้แค่โกรธเคืองที่ลูกศิษย์เจ้าไม่เป็นดั่งหวัง
ส่วนเรื่องของเหลี่ยงเฟินยิ่งจัดการง่าย
การใส่โลงฝังศพก็มีระเบียบอยู่แล้ว
ทำให้เสร็จไปทีละขั้นตอนตามระเบียบ ย่อมสำเร็จลุล่วงโดยไม่มีข้อผิดพลาดใด
ส่วนเรื่องความรู้สึก ตนเขียนคำไว้อาลัยสักบทอ่านในพิธีศพก็นับเป็นเกียรติยศในชีวิตของเขาแล้ว
ส่วนหลิวรุ่ยอิ่งมาสืบคดี แม้ไม่รู้เป็นคดีอะไร แต่ตราบใดที่วิธีจัดการเหมือนทังจงซง เช่นนั้นก็จะไม่ตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน
วิธีที่สามารถรับมือกับฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องได้ ย่อมรายงานให้หลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องรับรู้ได้เช่นกัน
อย่างไรทุกคนก็รู้ว่าหอทรงปัญญานี้ไม่ได้เป็นแหล่งอิทธิพลที่ปกปิดรักษาความลับ บัณฑิตเข้าออกทุกวัน ใครบริสุทธิ์ใครทุจริตล้วนไม่เกี่ยวกับหอทรงปัญญา
และงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมเป็นแค่การคัดเลือกบุคคล ถึงตอนนั้นเดี๋ยวก็มีคนมากฝีมือพุ่งเข้าใส่อันดับบนประกาศ
หลายปีมานี้ การประลองระหว่างหอทรงปัญญากับหอทรงภูมิก็ไม่ใช่ครั้งสองครั้ง ต่างฝ่ายรู้ตื้นลึกหนาบางกันชัดเจน
สิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกจัดการยาก ก็คือมือสังหารที่ฆ่าเหลี่ยงเฟิน
แม้คนผู้นี้ไม่มีผลกระทบใดต่อภาพรวม แต่ก็เหมือนจมูกเล็บข้างซอกนิ้ว
ฉีกทิ้งเลือดออก ไม่ฉีกเจ็บแสบ
ทำให้คนพลิกกายนอนไม่หลับท่ามกลางความสับสน
“ผู้อาวุโสจางมาถึงที่นี่ ไม่สู้ค้างสักสองสามวันค่อยไปดีหรือไม่”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยถาม
เดิมใจบัณฑิตจางพุ่งกลับบ้านดุจลูกศร แต่พอคิดว่าหากตนกลับไปทันที ไม่รู้เจ้าทังจงซงจะก่อเรื่องยุ่งยากแบบใดอีก
หากฮั่ววั่งใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างไม่ตามหาผู้ตัดสัมพันธ์ให้ตนตามสัญญา ตนก็เป็นฝ่ายผิดไปสามส่วน
หนำซ้ำตำราลายเส้นในหอคัมภีร์วังอ๋องเล่มนั้นตนก็ยังอ่านไม่จบ อย่างไรก็ต้องผ่านไปอีกสองสามวันถึงจะมั่นใจได้
“เช่นนี้ดียิ่ง แต่ต้องรบกวนท่านประมุขหอตี๋แล้ว”
บัณฑิตจางประสานมือกล่าว
ตี๋เหว่ยไท่หันมายื่นป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งให้หลิวรุ่ยอิ่ง ด้านบนสลักอักษรตี๋ เขากล่าวว่า
“ได้ยินมานานว่ากรมสอบสวนดำเนินคดีเฉียบขาดว่องไว แม้ข้าผู้เฒ่าไม่รู้ว่านายกองหลิวมาด้วยคดีใด แต่ถือป้ายคำสั่งนี้เหมือนข้าผู้เฒ่ามาด้วยตัวเอง ในหอทรงปัญญาย่อมไม่มีผู้ใดทำให้ลำบาก”
หลิวรุ่ยอิ่งรับป้ายคำสั่งเหมือนหยิบถ่านไฟที่เผาไหม้จนแดงยิ่งก้อนหนึ่ง
เหมือนที่บัณฑิตจางใช้วิธีไร้กลยุทธ์ต่อไร้กลยุทธ์เมื่อครู่ ไม่มีขอบเขตก็คือขอบเขตที่ใหญ่ที่สุด
หาข้อมูลได้ทุกที่ สืบหลักฐานได้ทุกแห่ง นั่นก็คือไปไม่ได้สักที่ สืบหาไม่ได้สักแห่ง
คราวนี้จะทำอย่างไรดี
ระหว่างหลิวรุ่ยอิ่งลังเลอยู่นั้น จิ่วซานปั้นกลับกล่าวว่า
“ให้ป้ายคำสั่งข้าด้วยอันหนึ่ง ในเมื่อการตายของเหลี่ยงเฟินเกี่ยวข้องกับข้า เช่นนั้นข้าจะสืบให้ชัดด้วยตัวเอง”
ตี๋เหว่ยไท่ครุ่นคิด กลับให้จิ่วซานปั้นชิ้นหนึ่งด้วย
“เจ้าก็สืบคดีเป็น?”
ฮวาลิ่วออกปากเย้ยหยัน
“ข้าไม่เป็น ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสืบคดีต้องทำอย่างไร”
จิ่วซานปั้นกล่าว
“แล้วเหตุใดเจ้าต้องคุยโวหน้าไม่อายเช่นนี้ด้วย?!”
ฮวาลิ่วกล่าว
“ไม่เป็นไร เขาเป็นสหายของข้า ข้าจะสอนเขา และจะช่วยเขาอีกแรง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยพลางเก็บป้ายคำสั่งในมือ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้คำว่าสหายอย่างเปิดเผย
สองคำนี้เหมือนมีเวทมนตร์
ทำให้คนพูดครั้งหนึ่งแล้วติดใจ
จากนั้นก็จะกล่าวซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าไปเรื่อยจนตายค่อยหยุด
เรื่องเกี่ยวกับความรักผู้คนมักชอบความสดใหม่
แต่มิตรภาพยิ่งเก่ายิ่งแก่ยิ่งนานยิ่งดี
แม้ช่วงเวลาที่เขาอยู่กับจิ่วซานปั้นไม่นานนัก แต่กลับจุดดอกไม้ไฟอวดโอ้คนในโลกแล้ว
จิ่วซานปั้นหันมายิ้มให้หลิวรุ่ยอิ่ง
โอวเสี่ยวเอ๋อก็ยิ้มเหมือนกัน
เพราะนางได้เป็นพยานแล้วว่าเพื่อนสนิทผู้กล้าหาญโอบอ้อมอารีคู่นี้เริ่มต้นอย่างไร
นี่เป็นสิ่งล้ำค่าที่ต่อให้นางตียอดกระบี่ชั้นเยี่ยมกี่เล่มก็เทียบไม่ได้
จิ่วซานปั้นดูเหมือนเมามายทุกวัน ที่จริงกลับไม่เคยเมาเลยสักครั้ง เพราะเขาไม่มีสหายให้ดื่มด้วย
หลิวรุ่ยอิ่งดื่มเหล้าแค่ครั้งเดียวก็หลงรักรสชาติของมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เพราะเขาไม่มีสหายให้เคียงข้าง
วันนี้จิ่วซานปั้นยังไม่ได้ดื่มเหล้าจนถึงตอนนี้
หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่ได้แตะสักหยดมาหนึ่งวันกว่า
แต่ในยามนี้ สองคนกลับได้เมาเต็มที่อย่างแท้จริง
……………………………………….