ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 120 เห็นภายนอกมองอดีต-1

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 120 เห็นภายนอกมองอดีต-1

“เจ้าไหวหรือไม่”

ตอนหลิวรุ่ยอิ่งลืมตาอีกครั้งเป็นยามเย็นของวันถัดมาแล้ว

จิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อยืนมองเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงอยู่หัวเตียง

การรับรู้ของเขาพร่าเลือนเล็กน้อย ไม่รู้วันรู้เวลาแล้ว

ขนาดจิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อยืนอยู่หน้าเตียงยังทำให้เขาตกใจสิบส่วน

เพราะใบหน้าสองใบนี้ทั้งทำให้เขาคุ้นเคยและแปลกหน้า นึกไม่ออกว่าเป็นใครอยู่ชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว

คอเขาแห้งมาก

เหมือนตู้เยี่ยนในตอนนั้น อ้าปากแต่ส่งเสียงใดไม่ออก

กระทั่งอยากไอสักครั้งก็ไอไม่ออก

ดูท่าก่อนหน้านี้เขาคงหลับสนิท

แม้แต่รองเท้าหนังก็ไม่ได้ถอด นอนหลับลึกบนเตียงไปทั้งอย่างนั้น…

ปกติมีแต่คนดื่มเหล้าเมาถึงเป็นเช่นนี้ ไม่ถอดเสื้อผ้ารองเท้าและนอนแผ่ไปบนเตียงเสียเลย

แต่หลิวรุ่ยอิ่งแน่ใจยิ่งว่าตนไม่ได้ดื่มจนเมา

ไม่เพียงไม่ได้ดื่มจนเมา กระทั่งเหล้าสักหยดก็ไม่ได้แตะ

แม้ตอนนี้เขาตื่นแล้ว ทั้งยังรู้สึกได้ถึงลมหายใจผ่านปีกจมูก ชีพจรของตัวเองและความมืดชั่วครู่ตอนกะพริบตา

แต่การรับรู้ของเขายังไม่กลับคืนโดยสมบูรณ์

เหมือนกายติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง จมดิ่งลงเรื่อยๆ

ผ่านไปเนิ่นนาน ความทรงจำในหัวทับซ้อนกับใบหน้าตรงหน้า

“พวกเจ้านี่เอง…”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

ขณะเดียวกันพยายามลุกขึ้นจากเตียงอย่างยากลำบาก

เขาประคองร่างของตนด้วยข้อศอก อยากเอียงกายเข้ามาก่อน จากนั้นก็จับหัวเตียงให้หย่อนขาลงพื้นได้อีกครั้ง

สุดท้ายแค่ใช้มือพยุงกายท่อนบนไว้ ก็ถือว่าเขานั่งอยู่ขอบเตียงโดยสมบูรณ์

หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าต่อให้ลุกไม่ขึ้นเหมือนเดิม นั่งก็ยังดีกว่านอน

อย่างน้อยดูแล้วมีชีวิตชีวากว่านอนเยอะ

แม้ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีแรงเลยสักนิด ทั้งกายอ่อนยวบเหมือนก้อนเมฆ แต่เขาไม่อยากให้คนนอกมองสถานการณ์จริงในตอนนี้ของเขาออกอย่างแท้จริง เขาจึงอยากฝืนคลานขึ้นมา

หลิวรุ่ยอิ่งดูนอกหน้าต่าง พบว่าด้านนอกยังคงเป็นยามเย็น

แต่ไหนเลยจะรู้ว่ายามเย็นนี้คือวันถัดมาแล้ว

ตั้งแต่หลิวจิ่งเฮ่ากับตู้เยี่ยนจากไป เขานอนหมดสติอยู่บนเตียงมาสิบสองชั่วยามเต็มๆ

เดิมเวลาพลบค่ำก็เป็นบรรยากาศที่หลิวรุ่ยอิ่งชอบที่สุดอยู่แล้ว

เช้าตรู่หมอกชื้นปกคลุมทั่ว ทำให้ทุกสิ่งดูไม่จริงแท้

ตอนบ่ายแดดแรงเกินไป แยงตาจนเขาลืมไม่ขึ้น

มีแต่ช่วงโพล้เพล้ ดวงอาทิตย์เริ่มลดลงเล็กน้อย

มีทั้งความแจ่มใสตอนกลางวัน แสงก็อ่อนโยนกว่าเดิม ทำให้คนสุขใจ

ยิ่งกว่านั้นยามเย็นคือช่วงเวลาที่ผ่อนคลายสบายที่สุดในหนึ่งวันอย่างแท้จริง

ยามนี้ไม่ว่าชาวนาหรือคนรับใช้ก็หยุดทำงานกันหมด

ถ้าไม่กลับบ้านก็รวมกลุ่มกันไปสั่งกับแกล้มสองสามอย่างกับเหล้าสองจอกเล็ก

ไม่ว่ากลางวันงานเยอะเหนื่อยยากขนาดไหน ทุกอย่างล้วนค่อยๆ หายไปพร้อมแสงอาทิตย์ตกดิน

สิ่งที่เข้ามาแทนมีแต่มุกตลกเสียงเฮฮา

แต่วันนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ค่อยชอบยามเย็น

เพราะเขาไม่สบอารมณ์เอามาก

อารมณ์เสียเพราะเรื่องในใจเยอะเกินไป

หากคิดให้ชัดเจนได้ทีละเรื่องก็ดี

หากฟันออกตัดทิ้งให้หมดได้ทีละกระบี่ยิ่งดี

แต่เขาไม่อาจคิดได้ชัดเจน

ในเมื่อไม่รู้แน่ชัด ก็ไม่มีทางฟันทิ้งตัดออกได้เลย

คำถามเหล่านี้ทับอยู่บนอกเขาเหมือนก้อนหินหลายก้อน

หากให้เขานอนอยู่บนเตียงตลอดเวลาอาจยังพอสบายอยู่บ้าง

แต่ตอนนี้จิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อดันเรียกเขาขึ้นมา เขาจึงรู้สึกกลัดกลุ้มและหนักอึ้งในอกทุกย่างก้าว จำต้องอ้าปากกว้างพยายามสูดเอาอากาศให้มากหน่อยถึงจะดี

“เมื่อวานพวกเจ้าไปไหนมา”

หลิวรุ่ยอิ่งบังคับให้ตัวเองเอ่ยถามอย่างกระปรี้กระเปร่า

“พวกเราไปสถานที่ที่หรูหราที่สุดในหอทรงปัญญามา”

จิ่วซานปั้นกล่าวหน้าชื่นตาบาน

“ที่ไหนคือสถานที่หรูหราที่สุดในหอทรงปัญญา”

หลิวรุ่ยอิ่งคลึงจุดไท่หยาง[1]ของตนพลางกล่าว

เขารู้สึกจุดไท่หยางสองด้านศีรษะของตนปวดตุบๆ

“ไม่รู้สิ ก็เป็นถนนเส้นหนึ่งที่ยาวมาก ในนั้นมีทุกอย่าง!”

จิ่วซานปั้นกล่าว

“สุราก็มี?”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“มีแน่นอน! บัณฑิตชอบดื่มสุรามากเชียวละ!”

จิ่วซานปั้นกล่าว

“ไม่ใช่แค่สุรา…ยังมี…สตรี!”

จิ่วซานปั้นขยับเข้าไปพูดข้างหูหลิวรุ่ยอิ่ง

“สตรี? สตรีในหอทรงปัญญา?”

หลิวรุ่ยอิ่งนึกว่าเป็นผู้หญิงที่เรียนในหอทรงปัญญา ไม่นึกว่าสิ่งที่จิ่วซานปั้นพูดถึงกลับเป็นอีกความหมายหนึ่ง

“เจ้าถึงขั้นไปหาสตรีกับโอวเสี่ยวเอ๋อ?”

หลิวรุ่ยอิ่งส่ายหน้ายิ้ม

ยิ้มนี้ทำให้ใจเขารู้สึกหายกลัดกลุ้มไม่น้อย

“ใครบอกว่ามีแต่บุรุษอย่างพวกเจ้าที่ไปดื่มเหล้าเคล้านารีได้”

โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าวอย่างไม่พอใจ

“จริงแท้ๆ…ไม่มีใครกำหนดเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว หนำซ้ำสถานที่เหล่านั้นขอแค่มีเงินใครก็ไปได้ อย่าว่าแต่บุรุษหรือแม่นางน้อยเลย ต่อให้เป็นขันทีแล้วจะเป็นไรไป”

หลิวรุ่ยอิ่งยักไหล่กล่าว

คำพูดนี้ทำให้จิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อชอบใจ

“ทำไมเจ้านอนนานขนาดนี้”

จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม

โอวเสี่ยวเอ๋อขมวดคิ้วงามเล็กน้อย

นางรู้สึกได้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งไม่อยากพูดหัวข้อนี้อย่างชัดเจน จิ่วซานปั้นก็ชอบพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดเสียจริง

แต่ถ้าปล่อยผ่านไปได้ เช่นนั้นเขาก็ไม่ใช่จิ่วซานปั้นแล้ว

น้ำเต้าที่จิ่วซานปั้นดื่มสุราทั้งใหญ่ทั้งลึก แสดงว่าลักษณะการดื่มเขาจริงจังกว่าปกติ

ที่จริงไม่ใช่แค่ดื่มสุรา เขาจริงจังในทุกเรื่องกว่าปกติทั้งนั้น

เงื่อนไขแรกคือเรื่องนี้ต้องเป็นสิ่งที่เขาสนใจ

หลิวรุ่ยอิ่งเป็นคนที่เขาใส่ใจ เรื่องของหลิวรุ่ยอิ่งย่อมเป็นเรื่องที่เขาใส่ใจ เขาถึงได้ถามเซ้าซี้จนถึงที่สุด

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่เหนื่อยมาก…”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

เขาไม่ได้โกหก เขาเหนื่อยมากจริงๆ

แม้ความเหนื่อยนี้เป็นเพราะอินหยางสองขั้วในกายเขาพังทลายและธรรมลักษณ์บรมครูเอาทุกสิ่งเข้ามาแทน

แต่ถ้าอธิบายทั้งหมดนี้โดยละเอียดจะไม่ทำให้เขาเหนื่อยกว่าเดิมหรอกหรือ

จิ่วซานปั้นได้ยินแล้วพยักหน้า

เขาไม่ตริตรองด้วยซ้ำว่าหลิวรุ่ยอิ่งพูดความจริงหรือไม่

เขาแค่อยากได้คำตอบ

คำตอบที่หลิวรุ่ยอิ่งพูดออกจากปากตัวเอง

ขอแค่หลิวรุ่ยอิ่งพูด แม้คำตอบนี้ไร้สาระแค่ไหน เหลือเชื่อเพียงใด เขาก็เชื่อทั้งนั้น

“เมื่อวานในหอทรงปัญญามีความเคลื่อนไหวอะไรหรือไม่”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม

“เหมือนเดิมทุกอย่าง”

โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว

“แต่ด้วยงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมใกล้เข้ามา ดูจะครึกครื้นกว่าเดิมไม่น้อย”

จิ่วซานปั้นกล่าว

หลิวรุ่ยอิ่งได้ยิน ‘งานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรม’ แล้วพลันนึกถึงทังจงซงขึ้นมา

ไม่รู้ตอนนี้เจ้าคนที่ไปไหนก็อยู่ไม่สุขกำลังทำอะไรอยู่

คิดว่าสองสามวันแรกที่เพิ่งถึงคงมีเรื่องให้ทำเยอะแยะไปหมด

ด้วยนิสัยของทังจงซง พอเขาทำธุระเสร็จแล้วต้องรีบมาหาตนทันทีแน่นอน

แต่ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งอยากออกไปเดินเล่นสักหน่อย

เขาเห็นระยะที่ต้นไม้นอกหน้าต่างไหวเอนกว้างกว่าตอนแรกเล็กน้อย

ลมกลางคืนมักทำให้คนรู้สึกสบาย

เขาจึงอยากออกไปข้างนอก

เขามองไปทางบ้านเซียวจิ่นข่านแวบหนึ่ง ฝีเท้าชะงักเล็กน้อย แต่สุดท้ายไม่ได้ก้าวเข้าไป

หลิวรุ่ยอิ่งเคยพูดว่ารอจัดการเรื่องของตนเสร็จแล้วค่อยไปดื่มเหล้ากับเขา

ตอนนี้ยังไม่ได้เริ่มจัดการเรื่องราวก็ไปดื่มเหล้ากับเขา จะไม่ทำให้ตนไม่น่าเชื่อถือหรอกหรือ

“ถนนที่คึกคักที่สุดเส้นนั้นเป็นสถานที่ไม่เลว”

โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว

นางดูออกว่าหลิวรุ่ยอิ่งสับสนเล็กน้อย

ความสับสนเช่นนั้นนางก็เคยมี ใครๆ ก็มีทั้งนั้น

เพราะไม่นานความสับสนแบบนี้ก็จะกลายเป็นความกลัดกลุ้มร้อนใจ

เมื่อกลัดกลุ้มร้อนใจอยู่ข้างในจนทนไม่ไหว สิ่งที่ระเบิดออกมาก็คือโทสะ

หลิวรุ่ยอิ่งเป็นคนอารมณ์เย็นมากคนหนึ่ง

เขามีความเยือกเย็นสูงและอดทนเก่งมากจึงไม่ค่อยโมโหง่าย

เช่นนั้นความกลัดกลุ้มร้อนใจนี้ก็จะถูกกดไว้ข้างในอยู่เสมอ วางไว้ในที่แห่งหนึ่งตลอดไป

ความจริงในใจทุกคนล้วนมีมุมเช่นนี้อยู่

ตอนมันรับไว้จนเต็มคนก็จะร้องไห้ ร้องไห้เสร็จแล้วโล่งคนก็จะหัวเราะ

แต่หัวเราะมีความสุขเท่าไร ร้องไห้ก็น่าปวดใจเท่านั้น

ระหว่างร้องไห้และหัวเราะ เรื่องในโลกล้วนเป็นอดีตอย่างแท้จริง

หลิวรุ่ยอิ่งเงยหน้าอีกครั้ง พบว่าตนเดินตามจิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อมาจนถึงถนนที่หรูหราที่สุดในหอทรงปัญญาเส้นนั้น

สองฝั่งถนนเรียงรายด้วยหน้าร้านนับไม่ถ้วน ดูแล้วไม่ต่างกับถนนที่คึกคักที่สุดในเมืองติ้งซีอ๋อง เพียงแต่เทียบกันแล้วขาดความเป็นระเบียบอยู่หลายส่วน

ป้ายร้านและธงเหล่านั้นสลับกันยุ่งเหมือนยุงตีกันสะท้อนเข้าม่านตา ทำให้คนกวาดมองไม่ไหวโดยแท้

หลิวรุ่ยอิ่งเห็นแม่นางอายุน้อยมากมายผัดแป้งแต่งตัวงดงามยืนอยู่ตรงระเบียงบนหอ กำลังหัวเราะใสซื่อส่งสายตาให้บัณฑิตหนุ่มสวมชุดเครื่องแบบที่ผ่านไปมาบนถนน

แน่นอน สถานที่ที่คึกคักที่สุดยังคงเป็นโถงรื่นรมย์

ร้านขายตำราวรรณกรรมที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า

หลิวรุ่ยอิ่งเคยไปโถงรื่นรมย์สาขาย่อยในหัวเมืองรัฐติง แต่พอเทียบกับในหอทรงปัญญาแล้วเหมือนมดเขย่าต้นไม้

แต่นอกจากที่นี่ เขาไม่คุ้นสถานที่อื่นเลยสักนิด

เดิมเขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องของบัณฑิตอยู่แล้ว ตอนแรกพยายามแสร้งทำเป็นรู้ดีแค่เพราะไม่อยากเป็นตัวตลกต่อหน้าเจ้าหมิงหมิง

การกระทำของทุกคนล้วนกำหนดตามคนที่อยู่ข้างกาย

ก่อนหน้านี้เป็นเจ้าหมิงหมิง หลิวรุ่ยอิ่งจึงคิดหน้าคิดหลังในทุกการกระทำ

ตอนนี้คือจิ่วซานปั้นกับโอวเสี่ยวเอ๋อ เขากลับเป็นตัวเองได้มาก

เขาจึงมองในโถงรื่นรมย์แค่แวบเดียว ไม่มีความคิดเข้าไปโดยสิ้นเชิง

เขายังเห็นร้านขายเกาลัดคั่วน้ำตาลร้านหนึ่งด้วย

แม้เขาไม่ชอบกินของหวาน แต่นึกถึงเกาลัดคั่วน้ำตาลสาวใช้ของเจ้าหมิงหมิงกลับทำให้เขาแอบกลืนน้ำลายสองสามครั้ง และซื้อมาถุงหนึ่งโดยไม่คาดคิด

เกาลัดเข้าปาก หวานอร่อยเหนียวนุ่ม

ถึงขั้นไม่ต้องตั้งใจเคี้ยว แค่ใช้ลิ้นดันเกาลัดกับเพดานปากเล็กน้อยก็ละลายมันได้หมด

จากนั้นรสหวานที่ปลายลิ้นเข้าถึงทรวงอก ทำให้คนรู้สึกหยุดไม่ได้อย่างแท้จริง

แต่เขาไม่ได้กินเยอะ เพราะเขาแค่อยากลองชิมรสชาติ ไม่ได้รู้สึกอยากกินอะไร

หลิวรุ่ยอิ่งมองเกาลัดคั่วน้ำตาลที่เหลือกว่าครึ่งถุงบนมือ คิดว่าโยนทิ้งก็ออกจะสิ้นเปลือง แต่ถือไว้ในมือก็ดูเป็นภาระยิ่ง

“ข้าเลี้ยงเจ้า!”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยพลางยัดเกาลัดคั่วน้ำตาลให้จิ่วซานปั้น

“เจ้าเลี้ยงข้าแล้วทำไมกินเองก่อนตั้งหลายชิ้น!?”

จิ่วซานปั้นรับเกาลัดคั่วน้ำตาลพลางเอ่ยถาม

“เพราะข้ากลัวมีพิษ”

หลิวรุ่ยอิ่งยิ้มกล่าว

“มีพิษ? ใครจะวางยาสังหารข้า แล้วข้าก็ไม่เคยกินเกาลัดคั่วน้ำตาลด้วย”

จิ่วซานปั้นประหลาดใจยิ่ง

คนคนหนึ่งอยากวางยาทำร้ายคนจะต้องลงมือจากเรื่องหรือของใช้ประจำวันที่สุดของคนนั้น จะเลือกของที่เขาไม่เคยมีโอกาสกินเลยได้อย่างไร

“พิษไม่จำเป็นต้องตาย หากกินแล้วท้องไม่ดีก็นับเป็นพิษ!”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

โอวเสี่ยวเอ๋อดูออกว่าหลิวรุ่ยอิ่งกำลังพูดไปเรื่อยอย่างเอาจริงเอาจัง อดป้องปากหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ แต่นางกลับไม่ได้เปิดโปง

เพราะนางรู้สึกว่าสองคนนี้ส่งกันไปมา คนหนึ่งจริงจัง คนหนึ่งล้อเล่น สนุกยิ่ง!

“ท้องไม่ดีก็นับว่าถูกพิษ? แล้วข้าหัวเราะจนปวดท้องตอนดื่มเหล้าบ่อยๆ ก็นับว่าถูกพิษด้วย?”

จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม

“แน่นอน! ขอแค่ไม่สบายตัวก็คือถูกพิษ แต่ถ้าสบายอยู่ตลอดก็ถูกพิษเช่นกัน”

หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย

จิ่วซานปั้นพยักหน้าเห็นด้วย

คำพูดนี้เขากลับเห็นด้วยมาก

อย่างไรเขาก็ถูกพิษสุราอยู่แล้ว ทั้งยังมากขึ้นทุกวัน

เดิมทีบุญคุณความแค้นระหว่างจิ่วซานปั้นกับเหลี่ยงเฟินและหอทรงปัญญาไม่ได้เกี่ยวกับหลิวรุ่ยอิ่งเลยสักนิด

เขาไม่จำเป็นต้องลุยน้ำขุ่น

หากก่อนหน้านี้ฟังคำโน้มน้าวของตู้เยี่ยนชายชุดขาวแล้วจากไปดีๆ เช่นนั้นก็คงไม่มีเรื่องราวเหล่านี้ในภายหลัง

…………………………………….

[1] จุดไท่หยาง จุดตรงขมับ

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท