สายลมกรรโชกที่ก่อตัวขึ้นจากบรรยากาศแห่งความตายพัดเข้าใส่เมืองกลางทะเลทรายด้วยความเกรี้ยวกราด มันหยุดลงก็ต่อเมื่อหลุมดำบนท้องฟ้าหายไปแล้วเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนั้น เถ้าแก่เพ่ยที่ยืนอยู่ไกลออกไปก็พลันหวนนึกถึงภาพที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา
ตอนนั้น แม้จะอยู่ใต้โล่วัชระ แต่เด็กหนุ่มก็ยังยืนหลังเหยียดตรง
พระโคตมพุทธเจ้าถามเขาว่าเขาอยากเปลี่ยนมานับถือพุทธหรือไม่
แต่เขากลับตอบพร้อมกับยกยิ้มขึ้น รอยยิ้มนั้นดูสง่างาม แต่ก็เต็มไปด้วยความดื้อด้าน
ราวกับว่าไม่มีใครสามารถทำให้เขายอมศิโรราบได้
ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะมีความทุกข์และความยากลำบากรอเขาอยู่มากมายเพียงใด แต่เขาจะฝ่าฟันและพิชิตมันด้วยตัวเอง
ไม่ว่าโชคชะตาจะขู่เข็ญเขาเพียงใด แต่เขาจะไม่มีวันยอมแพ้
ตัวเขาในวันนี้ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการเหยียบย่ำทุกสิ่งใต้ฝ่าเท้า
สิ่งที่ทำให้เขามีศรัทธากล้าแกร่งและสมบูรณ์ขึ้นได้ถึงเพียงนี้คืออะไร
หงส์เพลิงคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้หรือ
เถ้าแก่เพ่ยก้มหน้าลงพลางกระตุกริมฝีปากบางขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขายังเป็นคนตาบอด แต่รอยยิ้มมีเลศนัยนั้นกลับเหยียดกว้างไปทั่วริมฝีปาก
ไม่รู้ว่าตี้จวินที่เป็นปีศาจจะสามารถปรับตัวเข้ากับโลกยุคนั้นได้หรือเปล่า…
สามปีต่อมา
กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
ถนนวงแหวนหมายเลขห้าได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นถนนวงแหวนหมายเลขหก
ทั่วทุกแห่งล้วนแต่เต็มไปด้วยรถยนต์คับคั่ง ราคาของอสังหาริมทรัพย์ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบเท่าตัว
หลายคนพูดกันว่าการซื้อบ้านเพื่อการพาณิชย์ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการทำงานหาเงินครึ่งปี เพราะเราสามารถรอให้ถึงโอกาสดีแล้วขายทอดตลาดเพื่อฟันกำไรได้
แต่ภายใต้สถาวะนี้ อู่ซ่อมรถในย่านเมืองเก่ากลับยังสามารถเปิดให้บริการได้ตามปกติ
ตำแหน่งของอู่ซ่อมรถแห่งนี้ตั้งอยู่ในจุดที่ไม่เหมือนใคร ดังนั้นมูลค่าของมันจึงจัดว่าสูงเสียดฟ้า
แต่ไม่ว่านายหน้าจะเสนอราคาให้สูงเพียงใด เจ้าของอู่ซ่อมรถอู่นี้ก็จะปฏิเสธข้อเสนอนั้นด้วยรอยยิ้ม
การเปิดให้บริการของอู่ซ่อมรถแห่งนี้จัดว่าค่อนข้างแปลกทีเดียว เวลาที่คนงานอารมณ์ดี พวกเขาก็จะซ่อมรถสักสองสามคัน แต่เวลาที่พวกเขาอารมณ์ไม่ดี พวกเขาก็จะทำเพียงแค่นอนอาบแดดอยู่บนรถสปอร์ตเท่านั้น
แต่แน่นอนว่ากิจกรรมหลักของพวกเขาก็คือการทำตัวน่ารักเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กชายตัวน้อย
“นายน้อย ผมซื้อเหล้าขวดใหม่มา ลองสักหน่อยไหมครับ”
“ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งกันหาว่าอย่าเอาเหล้าให้เด็กกิน!” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่สุดในคนจำนวนนั้นยกขาขึ้นถีบชายร่างบึกบึนสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตรที่อยู่ข้างๆ
ลูกถีบอันรุนแรงถึงตายนั้นไม่เหมาะกับใบหน้างดงามอันเลื่องชื่อนั้นเอาเสียเลย ”นายน้อย วันนี้ไปโรงเรียนเป็นวันแรก ต่อจากนี้นายน้อยจะต้องพยายามต้านทานสิ่งล่อลวงทุกประเภทให้ได้นะครับ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่สะดวกใจที่จะส่งนายน้อยไปโรงเรียนที่เต็มไปด้วยสิ่งยั่วยุแบบนั้นแน่”
แสงแดดส่องลงบนร่างของเด็กชายจนมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่พวกเขาก็ยังสามารถได้ยินเสียงของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ภายใต้น้ำเสียงราวกับเด็กไร้เดียงสานั้นมีความเย็นชาที่หาไม่ได้ในเด็กรุ่นเดียวกันแฝงอยู่ ”ผมไปแค่โรงเรียนอนุบาลเอง”
“โรงเรียนอนุบาลเป็นสถานที่ที่อันตรายมากนะครับ!” ชายสวมชุดสูทมองเด็กชายตัวน้อยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ”นายน้อยคงไม่รู้เรื่องนี้ เด็กหน้าตาดีอย่างนายน้อย ต่อให้เป็นพวกป้าๆ ก็คงไม่ยอมปล่อยคุณไปแน่ คนพวกนั้นจะต้องจับนายน้อยยัดใส่กระเป๋าแล้วลักพาตัวไปอย่างแน่นอน! ยังไม่ต้องพูดถึงเด็กประเภทที่จะตกหลุมรักเพื่อนหน้าตาดีของตัวเองด้วยนะครับ”
อืมๆๆๆ!
บรรดาเจ้าของรถที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างพร้อมใจกันพยักหน้าเห็นด้วยกับชายหนุ่มในชุดสูท!
เพราะชายหนุ่มในชุดสูท ลูกค้าของอู่ซ่อมรถจึงเป็นผู้หญิงเสียส่วนใหญ่
ทุกคนล้วนแต่มีคางเรียวได้รูป นอกจากนั้นยังชอบสวมกางเกงยีนส์ขาสั้นโชว์เรียวขาของตัวเองอีกด้วย
แม้ปกติพวกเธอจะหน้านิ่วคิ้วขมวดทุกครั้งเวลาที่เห็นเด็กๆ แต่ทุกครั้งที่พวกเธอเห็นเด็กชายตัวน้อยคนนี้ พวกเธอจะรู้สึกอยากบีบแก้มเขาขึ้นมาอย่างรุนแรง
ให้ตายเถอะสวรรค์! พ่อแม่หน้าตาแบบไหนถึงคลอดลูกออกมาได้หล่อเหลาถึงขนาดนี้?!
มิหนำซ้ำเขายังดูสง่างามเป็นพิเศษอีกด้วย
เรื่องนี้นับว่าแปลกทีเดียว เพราะคนที่เลี้ยงดูเขามาคือชายท่าทางกักขฬะที่หากินด้วยการซ่อมรถ
แต่เด็กคนนี้กลับโตมาหน้าตาน่ารักน่าชัง ทั้งยังมีบรรยากาศแห่งความสง่างามราวกับองค์ชายน้อยๆ ที่ถูกชนชั้นสูงทิ้งเอาไว้
ตอนนี้เด็กชายตัวน้อยสะพายกระเป๋านักเรียนไว้บนหลัง เขาแต่งตัวง่ายๆ ด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกับโบว์สีดำ ผมสั้นๆ ของเขาดูนุ่มสลวย ดวงตาเป็นประกายราวกับถูกสลักไว้ใต้คิ้วอันโดดเด่นให้ความรู้สึกเหมือนเพชรเม็ดงามที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่ในยามค่ำคืน มันกระจ่างใสจนดลใจให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะมองมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เหล่าเอคิดเช่นนั้นเหมือนกัน เขาคิดว่าการให้นายน้อยไปโรงเรียนเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป เขาคาบบุหรี่ไว้ในปากพร้อมกับเสนอขึ้นว่า ”จากความคิดเห็นของผม ผมคิดว่านายน้อยไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนชั้นอนุบาลหรอกครับ คุณน่าจะอยู่ที่อู่นี้แทนมากกว่า ที่โรงเรียนนั้นพวกเขาเพิ่งเรียนคณิตศาสตร์กันไปแค่นิดหน่อยเองไม่ใช่หรือครับ นายน้อยน่ะรู้จักกระทั่ง.. อืม.. อื้อ!”
ชายสวมชุดสูทปิดปากเหล่าเอไว้ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ ”คุณโง่หรือ คุณคิดจะป่าวประกาศให้ทุกคนรู้หรือว่านายน้อยของเราเป็นเด็กอัจฉริยะ ระวังตัวไว้ ไม่อย่างนั้นถ้าลูกพี่มาถึงเมื่อไหร่ เธอได้ฆ่าคุณแน่! จะว่าไปแล้ว ทำไมลูกพี่ถึงยังไม่ออกมาอีกล่ะ”
“แม่คงนอนดึกอีกแล้วมั้งครับ” เด็กชายตัวน้อยยกมือขึ้นกุมขมับราวกับปวดหัว เขี้ยวเล็กๆ ของเขาโผล่ออกมาให้เห็นทุกครั้งที่เขาพูด ”ผมจะไปปลุกแม่ ลุงเอช่วยเตรียมนมให้พร้อมด้วยครับ แม่น่าจะอยากดื่มนมหลังจากตื่นขึ้นมา”
นี่เป็นสาเหตุอันทำให้มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น กว่ากลุ่มชายฉกรรจ์พวกนี้จะเลี้ยงสุภาพบุรุษตัวน้อยผู้มากด้วยความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นขึ้นมาย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะเด็กชายอายุยังน้อย เขาจึงไม่สามารถเดินได้ตรงนัก แต่เขาก็ยังใช้ขาสั้นๆ ของตัวเองเดินเตาะแตะขึ้นบันไดไปพร้อมกับกระเป๋านักเรียนใบเล็กๆ บนหลัง และปีนเตียงสีขาวขนาดใหญ่กว่าสองเมตรขึ้นไปทั้งที่ยังหอบแฮ่ก
คนที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มยังไม่ยอมลืมตา นางอุ้มเด็กชายตัวน้อยเข้าสู่อ้อมกอด แล้วใช้จมูกโด่งรั้นนั้นสูดกลิ่นของเด็กชาย ”หืม กลิ่นนมบนลูกชายของแม่หอมจัง ลูกตัวหอมมากๆ เลย”
เห็นได้ชัดว่าเด็กชายตัวน้อยชินกับการทักทายของผู้เป็นแม่ดี เขาจึงถอนหายใจยาวออกมา ”คุณเวยเวยครับ ถึงผมจะอยากให้แม่นอนต่อ แต่ตอนนี้มันแปดโมงแล้วครับ เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงก่อนที่ลูกชายของแม่จะต้องไปรายงานตัวที่โรงเรียนอนุบาล แม่ไม่ควรจะไปอาบน้ำหรอกหรือครับ หืม”
“ท่าทางตอนลูกพูดคำว่า ’หืม’ ฟังดูน่าสนใจทีเดียว” ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ลืมตาขึ้นแล้ววางลูกชายลงข้างๆ ”เสี่ยวชิงเฉิง ให้คนที่เคยเข้าเรียนมาก่อนอย่างแม่สอนอะไรให้ลูกสักอย่างก็แล้วกัน สำหรับคนที่กำลังจะได้ไปโรงเรียนแบบลูก มีอยู่สามสิ่งที่ลูกจำเป็นต้องทำให้จงได้ก่อนจะคิดว่าชีวิตในรั้วโรงเรียนของตัวเองสมบูรณ์แบบแล้ว ก่อนอื่น ลูกต้องรู้จักตกหลุมรัก จากนั้นต้องเล่นเป็นอันธพาลแล้วไปโรงเรียนสาย ในเมื่อวันนี้อากาศดีมาก ทำไมเราไม่ติ๊กข้อที่ทำได้แล้วไปโรงเรียนสายๆ แทนล่ะ ลูกว่าไง”
เมื่อบรรดาเจ้าของรถได้ยินบทสนทนานั้นเข้า พวกเธอก็แทบจะสะดุดส้นสูงตัวเองลงไปกองกับพื้น
พระเจ้า! มีใครที่ไหนเขาสั่งสอนลูกตัวเองกันแบบนี้บ้าง
การที่องค์ชายตัวน้อยที่เติบโตมาในอู่ซ่อมรถจะกลายเป็นชายหนุ่มผู้แสนดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเอาเสียเลย
น่าเสียดายที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดว่าวิธีเลี้ยงดูลูกของนางมีปัญหา
นางยืนกรานว่าจะต้องปลูกฝังอุดมการณ์ความเป็นประธานจอมเผด็จการไว้ในตัวลูกชายให้จงได้
เด็กชายยื่นนิ้วออกไปจิ้มแก้มนุ่มๆ ของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขามองนางด้วยดวงตาเป็นประกาย แล้วถามว่า ”แม่กับพ่อก็เจอกันที่โรงเรียนเหมือนกันหรือครับ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปครู่หนึ่ง มุมปากของนางกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อนางนึกถึงตอนที่นางได้พบกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางหาวแล้วตอบอย่างเกียจคร้านว่า ”อืม…”
เด็กชายตัวน้อยถามขึ้นอีกครั้ง ”ใครเป็นคนจีบก่อนหรือครับ”
ครั้งนี้เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างไม่อ้อมค้อมว่า ”แน่นอนว่าต้องเป็นแม่อยู่แล้ว ในฐานะประธานจอมเผด็จการ แม่จะปล่อยให้คนรักของตัวเองสารภาพรักก่อนได้ยังไง”
เด็กชายตัวน้อยเงียบอยู่ครู่ใหญ่หลังจากได้ยินคำอธิบายของผู้เป็นแม่ ไม่มีใครเคยบอกแม่ของเขาหรือว่านางมีปัญหากับการวางบทบาทให้ตัวเอง