ตอนที่ 75 ผิดแล้ว
โจวหนิงเยวี่ยไม่ได้คิดมาก ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าท่านพ่อไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ หากให้ท่านพ่อได้ยินต้องดุข้าเป็นแน่”
“ใช่ ผู้ชายล้วนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้” มารดาโจวหนิงเยวี่ยกำชับบุตรสาวแล้ว ก็เผยสีหน้าอ่อนล้า “แม่ไปนอนพักสักครู่ เจ้าก็กลับห้องไปพักเถอะ”
โจวหนิงเยวี่ยออกไป ในห้องเงียบลง มารดาโจวหนิงเยวี่ยกลับเริ่มครุ่นคิด ไม่มีทีท่าง่วงนอนแม้สักนิด
ระหว่างทางกลับร้านหนังสือ ซินโย่วร่วมเส้นทางกับจี้ไฉ่หลันมาระยะทางหนึ่ง จึงแอบลอบถามอย่างไม่ให้มีพิรุธว่า “ครอบครัวน้องโจวเพิ่งมาจากต่างเมือง พวกเขาฉลองเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงเหมือนกับคนในพื้นที่หรือไม่”
จี้ไฉ่หลันกระตือรือร้นขึ้นมาในทันที “ได้ยินน้องเยวี่ยบอกว่าเหนือใต้แตกต่างกันอยู่บ้าง พวกนางอยู่ทางใต้กินขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อเลยนะ”
จี้ไฉ่หลันเอ่ยถึงตรงนี้ ก็อดเผยสีหน้ารังเกียจไม่ได้
ขนมไหว้พระจันทร์ควรกินไส้ถั่วแดงบด พุทราบด ถั่วห้าอย่าง อะไรพวกนี้ ขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อ ช่างเป็นพวกมารนอกรีตโดยแท้!
“ขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อ?” ซินโย่วทำสีหน้าตกใจตามน้ำ
เห็นท่าทางนาง จี้ไฉ่หลันคล้ายว่าได้พบสหายรู้ใจ “แปลกใช่ไหม”
ซินโย่วพยักหน้า “วิสัยการกินไม่เหมือนกับพวกเราจริงๆ”
“ไม่แค่เท่านี้นะ! น้องเยวี่ยบอกว่าทางใต้ไม่เพียงแต่กินขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อ บ๊ะจ่างเองก็กินไส้เค็ม ปอเปี๊ยะก็เค็ม แต่เต้าฮวยกลับกินใส่น้ำตาล! น้องโค่ว เจ้านึกภาพออกไหมว่าเต้าฮวยหวานเป็นอย่างไร”
ซินโย่วส่ายหน้าตามน้ำ “นึกภาพไม่ออกจริงๆ”
ความจริงนางไม่เพียงแต่นึกภาพออก แต่ยังกินอร่อยอีกด้วย
แน่นอน น้าซย่าทำกับข้าวอันใดก็อร่อย ใต้หล้าสุดทะเลเหนือ ต้มผัดทอดนึ่ง ทำให้นางกินหวานก็คุ้นชิน กินเค็มก็คุ้นชิน
“เช่นนั้นเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง น้องโจวจะคุ้นชินกับขนมไหว้พระจันทร์หวานหรือ”
“พวกท่านน้าก็มาอยู่เมืองหลวงได้หลายปีแล้ว ย่อมคุ้นชินแล้ว แต่ความเคยชินกินเค็มมาหลายปี มีขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อก็น่าจะดีกว่า หลายวันก่อนข้ายังบอกกับน้องเยวี่ยว่า มีร้านขนมห่างจากถนนจี๋เสียงฟางไม่ไกล ทุกเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงไม่เพียงแต่มีขนมไหว้พระจันทร์ที่เห็นทั่วไป ยังมีขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อขาย น้องเยวี่ยบอกว่าถึงตอนนั้นจะซื้อกลับบ้าน ยังให้ข้าอย่าได้เอ่ยกับท่านน้า บอกว่าจะทำให้พวกเขา ประหลาดใจ”
ซินโย่วแทบจะกอดจี้ไฉ่หลันทีหนึ่ง
เหตุใดจึงมีเด็กสาวที่รู้ใจเช่นนี้ได้
นางแสดงสีหน้าตื่นตกใจ “ในเมืองหลวงก็มีขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อขายหรือ”
“มีสิ ร้านขนมร้านนั้นชื่อว่า อู่เซียงไจ เดิมไม่มีขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อขาย ว่ากันว่าคุณชายเจ้าของร้านแต่งภรรยาชาวใต้ ต่อมาจึงได้ขายขนมไหว้พระจันทร์ไส้เนื้อ การค้าถึงกับไม่เลว ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นชาวใต้”
จี้ไฉ่หลันเอ่ยถึง ‘การค้าไม่เลว’ ก็แสดงท่าทางรังเกียจออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจนมาก ทำเอาซินโย่วอดยิ้มมุมปากไม่ได้
ตอนยืนอยู่ตรงทางแยก จี้ไฉ่หลันก็ดึงมือซินโย่วอย่างอาลัยไม่อยากแยกจากกัน “น้องโค่ว เจ้าอยู่ที่ร้านหนังสือตลอดใช่หรือไม่ ไว้ข้าจะไปหาเจ้านะ”
“หากไม่ใช่ช่วงเทศกาล ส่วนใหญ่ข้าก็อยู่ พี่จี้มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
ซินโย่วกลับถึงร้านหนังสือ ก็ไหว้วานฟางหมัวมัว “แถวถนนจี๋เสียงฟางมีร้านขนมชื่ออู่เซียงไจ แม่นมไปสืบมาหน่อยว่าตั้งอยู่ที่ใด”
มีชื่อร้านและสถานที่ตั้งคร่าวๆ สอบถามขึ้นมาก็ง่ายดายมาก ไม่นานฟางหมัวมัวก็มารายงานซินโย่ว
“ร้านนั้นห่างจากถนนจี๋เสียงฟางไปสองช่วงถนน เปิดอยู่ริมถนน การค้าดีมากๆ ตอนบ่ายขนมก็ขายหมด ปิดร้านแล้ว…”
คำพูดฟางหมัวมัวพิสูจน์การคาดเดาของซินโย่วที่ว่าเหตุเกิดในตอนเช้า
คืนนี้ซินโย่วนอนหลับไม่ค่อยสนิท ในใจกลับเริ่มวางแผนการดำเนินการในวันเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงวันนั้น
นางพอจำภาพภายในบ้านตระกูลโจวได้แล้ว วันนี้ไปพบมารดาโจวหนิงเยวี่ยก็คือห้องฝั่งตะวันออก การจัดวางสิ่งของต่างจากภาพที่นางเห็น เช่นนั้นสถานที่เกิดเหตุก็ย่อมเป็นห้องฝั่งตะวันตก
เรือนกลางตระกูลโจวมีด้วยกันสามห้อง ห้องฝั่งตะวันตกและโถงกลางเชื่อมต่อกัน ในห้องโถงไม่มีที่หลบซ่อน มองจากนอกหน้าต่างยิ่งไม่เหมาะ หากไม่กะเวลาให้ดี โจวหนิงเยวี่ยที่กลับมาจากข้างนอกก็จะพบเข้า
คิดไปคิดมา สถานที่เหมาะกับการซ่อนตัวที่สุดก็คือบนคานห้องฝั่งตะวันตก ดูท่าแล้ว นางต้องกลายเป็น ‘สุภาพชนเหนือคาน[1]’ สักคราแล้ว
พอวางแผนเช่นนี้เรียบร้อย ซินโย่วจึงได้ผล็อยหลับไป
วันถัดมา นางขลุกอยู่แต่ในเรือนตะวันออก ตอนสือโถววิ่งนำของจากด้านหน้ามาส่ง ถึงกับเป็นขนมจากอู่เซียงไจ
“สหายท่าน คุณหนูจี้ผู้นั้นส่งมาขอรับ”
เห็นซินโย่วเตรียมจะไปหาจี้ไฉ่หลัน สือโถวรีบเอ่ยว่า “คุณหนูจี้ได้ยินว่าท่านอยู่เรือนตะวันออก วางขนมไว้แล้วก็ไป บอกว่าจะไปที่อื่นต่อ พอดีผ่านมาทางนี้จึงแวะนำขนมมาให้ท่าน ให้ท่านลองดูว่าชอบหรือไม่”
ซินโย่วเปิดกล่องขนม หยิบขนมสองสามชิ้นส่งให้สือโถว “เจ้าเอาไปชิมกับหลิวโจว”
สำหรับเด็กที่มีชีวิตยากลำบากเช่นสือโถวแล้ว ขนมถือเป็นของดีที่หากไม่ใช่เทศกาลปีใหม่ก็จะไม่มีทางได้กิน
“ขอบคุณท่านเจ้าของร้านขอรับ” เด็กหนุ่มหยิบขนมเดินออกไปอย่างดีใจ
ซินโย่วนั่งเงียบได้ครู่หนึ่ง ก็หยิบขนมรูปดอกท้อส่งเข้าปาก ค่อยๆ ลิ้มรส
ขนมนุ่มหวานหอม รสชาติไม่เลวอย่างมาก แต่ในใจนางกลับไม่ได้ถูกความหวานนี้เกลี้ยกล่อม
กินขนมลงไปชิ้นหนึ่งแล้ว ซินโย่วก็ถอนหายใจเล็กน้อย
แม้ว่าเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์มารดาโจวหนิงเยวี่ยถูกสังหารได้ แต่สองสามีภรรยาแตกหักกันก็เป็นเรื่องที่ย่อมต้องเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นจี้ไฉ่หลันกับโจวหนิงเยวี่ยสองคนจะอยู่ร่วมกันต่อได้อย่างไร
สำหรับมิตรภาพระหว่างนางกับทั้งสองคน…เดิมก็อยู่บนมิตรภาพที่ลวงหลอก คิดมากเกินไปรังแต่จะเป็นการหาเรื่องวุ่นวายใจให้ตนเอง
พริบตาก็วันที่สิบสี่เดือนแปด ซินโย่วไปเดินร้านหนังสือรอบหนึ่งก็ออกไป มุ่งไปทางร้านอู่เซียงไจ
นางต้องการดูก่อน จะได้ประเมินว่าจากร้านขนมไปตระกูลโจวห่างกันเท่าใด
เป็นดังที่จี้ไฉ่หลันเอ่ย ร้านอู่เซียงไจห่างจากถนนจี๋เสียงฟางไม่ไกลดังคาด เพราะซินโย่วไม่รีบ ค่อยๆ เดินไป ที่นั่นก็มีคนต่อแถวยาวแล้ว
ขนมร้านนี้ขายดีจริง…ซินโย่วจึงเกิดความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา พลันชะงักฝีเท้า
เหตุใดโจวหนิงเยวี่ยจึงมาอยู่ในกลุ่มด้วย
เสื้อตัวบนสีขาวจันทร์กระจ่าง กระโปรงจีบสีดอกติงเซียงบานเย็น คล้องตะกร้าไว้ที่แขน…การแต่งกายของโจว หนิงเยวี่ยเหมือนกับภาพที่เห็น
ซินโย่วจ้องมองสาวน้อยงามกระจ่างที่เข้าแถวอยู่ ในใจพลันขมวดตึง
ผิดแล้ว!
เช่นนั้นเวลาในภาพที่เห็น ที่แท้ไม่ใช่วันเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง แต่เป็นวันที่สิบสี่เดือนแปด!
ซินโย่วไม่สนใจคิดเรื่องที่คาดเดาผิดอีก รีบก้าวเข้าไปหาโจวหนิงเยวี่ยทันที
“พี่โค่ว?” พอเห็นซินโย่ว โจวหนิงเยวี่ยก็มีท่าทีประหลาดใจระคนยินดี “พี่รู้จักร้านขนมร้านนี้ด้วยหรือ”
“วันนั้นได้ยินพี่จี้เล่าว่าร้านขนมนี้รสชาติไม่เลว คิดว่าใกล้จะเทศกาลแล้ว จึงมาซื้อขนมสักสองสามอย่างกลับไปบ้านท่านยายสักหน่อย” ซินโย่วอธิบาย พลางดึงมือโจวหนิงเยวี่ยมาเอ่ยว่า “แต่ดูท่าแล้ว น้องโจว คงซื้อขนมไม่ได้แล้ว”
“ทำไมหรือ” โจวหนิงเยวี่ยงุนงงไม่เข้าใจ
ซินโย่วดึงโจวหนิงเยวี่ยมองไปทางตระกูลโจวพลางกระซิบว่า “ข้าดูใบหน้าน้องโจวแล้ว ‘ซื่อฮู่’ มีเค้าลางเภทภัย และจะเกิดในอีกไม่ช้านี้”
‘ซื่อฮู่’ หมายถึงบิดาและมารดา โจวหนิงเยวี่ยได้ยินก็คิดถึงที่ซินโย่วบอกวันนั้นว่าท่านแม่มีเคราะห์เลือดตกยางออก สีหน้าก็แปรเปลี่ยนทันที “ท่านแม่ข้า…”
ไม่รอให้ซินโย่วดึงอีก นางยกชายกระโปรงวิ่งกลับบ้านทันที
ซินโย่วไล่ตามไปเงียบๆ
โจวหนิงเยวี่ยเป็นห่วงว่าบิดามารดาจะเกิดเรื่อง วิ่งเร็วราวกับพายุ แต่ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเค่อจึงถึงหน้าประตูบ้าน
ประตูหน้าบ้านตระกูลโจวปิดสนิท แต่ไม่ได้สลักกลอน โจวหนิงเยวี่ยผลักประตูวิ่งเข้าไป ตรงไปยังห้องโถงกลาง
[1] หมายถึงขโมย นักย่องเบา