เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า – ตอนที่ 178 เถ้าถ่านไม่อาจติดไฟได้อีกครั้ง

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 178 เถ้าถ่านไม่อาจติดไฟได้อีกครั้ง

แสงตะวันรุ่งอรุณสาดลงบนถนนเมืองหลวง

เด็กหนุ่มอาภรณ์บางถือชาน้ำมันแก้วหนึ่ง นั่งลงช้าๆ ข้างขาม้านั่งไม้ยาววางร่มกระดาษมันที่พันด้วยผ้าดำคันหนึ่ง เชือกยาวสองเส้นตรงด้ามร่มกระดาษมันลอยเบาๆ ไปตามสายลม

เมื่อคืนวานเกิดฝนตกพรำ

ท้องฟ้าใสสะอาด สีครามดุจชะล้าง

หญ้าใบไม้ผลิติดน้ำค้างโคลงเคลง

สายลมเบาที่พัดม่านประตูร้านค้าริมทางพัดเส้นผมสวยของเด็กหนุ่ม

หนิงอี้ชอบความรู้สึกเช่นนี้มาก

ภายในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นใบไม้ผลิที่คืนชีพมาอีกครั้ง และยังมีอิสระ

เมืองหลวงเมื่อคืนวาน เทียบกับวันนี้มีอะไรหายไปมาก

ฝนใบไม้ผลิชะล้างดวงตะวันเหมันต์ฤดูทำให้ทั้งเมืองหลวงอบอุ่นขึ้น ในภาพจำของหนิงอี้ น้ำแข็งที่ยังไม่ละลายข้างทาง กองวัชพืช ทันทีที่เปิดประตูจวนในเช้าวันนี้ก็หายไปหมดแล้ว

เผยโฉมออกมาใหม่

สำหรับหนิงอี้ ไม่ใช่แค่พวกนี้ถูกชะล้าง

เขานั่งในร้านน้ำชาได้ก็หมายความว่าการสอดแนมของสามกรมได้หายไปแล้ว ใบหน้าจากแปลกตาไปจนถึงคุ้นตาพวกนั้นข้างนาง กลับเข้ามาในค่ำคืนเมืองหลวงอีกครั้ง

คนที่รับผิดชอบสอดแนมในสามกรมเดินในเงามืด ได้ทิ้งโอกาสเผยหน้าไปอย่างพบเห็นได้ยาก

“ซาลาเปาร้อน ขนมเปี๊ยะออกจากเตาสดๆ และยังมีไข่พะโล้”

เด็กสาวนั่งตรงข้ามหนิงอี้ ไอร้อนบนโต๊ะระเหยขึ้น เด็กสาวยิ้ม ดวงตาสองข้างโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว

หนิงอี้ยิ้มเช่นกัน

ในช่วงเวลาที่ถูกสามกรมสอดแนม เขากับเด็กสาวอยู่ในลานบ้าน สองคนคุยกัน เล่นหมาก ดื่มชา คัดหนังสือ เมื่อก่อนอยู่อารามเทือกเขาประจิม ความจริงพวกเขาก็ใช้ชีวิตกันแบบนี้ เพียงแต่ตอนนั้นไม่มีหนังสือให้อ่านให้คัด สองคนได้แต่ขดอยู่ในที่เล็กเท่าฝ่ามือ

อารามโพธิ์เทือกเขาประจิมเหมือนเปลือกของหอยทาก แม้จะไม่ใหญ่ แต่ก็อบอุ่น

ต่อมาออกจากเทือกเขาประจิม ก็ยังไม่มีเวลามากขนาดนั้น

หลังหนิงอี้มาถึงเมืองหลวงก็มีปัญหามาไม่ขาด ในที่สุดเขาก็มีเวลาพักผ่อนเสียที

ตระหนักรู้เจตจำนงกระบี่ คิดถึงการต่อสู้ภูเขาแดงซ้ำไปมา ฝึกฝนเงียบๆ

สภาพจิตใจเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าประหลาด ยุคทองต้าสุยมาถึงแล้ว แต่จิตใจของหนิงอี้กลับสงบนิ่งมาก เขาเคยเห็นทิวทัศน์บางอย่าง เคยเดินทางอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อก่อนหนิงอี้เห็นในตำราเคยบอกว่าขอบเขตชีวิตคนมีสามอย่าง มองภูเขาเป็นภูเขา มองน้ำเป็นน้ำ ต่อมาเป็นมองภูเขาไม่เป็นภูเขา มองน้ำไม่เป็นน้ำ

ขอบเขตที่สามสุดท้าย มองภูเขาก็ยังเป็นภูเขา มองน้ำก็ยังเป็นน้ำ

หนิงอี้จดจำคำพูดนี้ไว้เงียบๆ เขามองเขาสู่ซาน มองภูเขาม่วง มองเขาครามของจวนขานฟ้า ก่อนจะมองภูเขาแดง พบหลักการหนึ่ง

ภูเขาหรือไม่ใช่ภูเขา ไม่สำคัญ

ภูเขาอยู่ตรงนั้น

ดูท่าสำหรับสวีจั้งแล้ว มองเขาศักดิ์สิทธิ์ใดก็เหมือนกัน เพียงแค่กระบี่ของตนเร็วพอหรือไม่เท่านั้น จะบุกเบิกทางได้หรือไม่ ภูเขาก็ดี น้ำก็ดี หลักการพวกนั้นในตำรา คำนามพวกนั้นของปรัชญาเมธียังไม่สอดคล้องกับความจริงมากพอ เทียบไม่ได้กับการใช้กระบี่ที่คมที่สุดในโลกลงมือทำ

หนิงอี้ถือพินิจเหมันต์ วางตัวร่มขวางไว้บนหน้าตัก

เขามองใบหน้ายิ้มแย้มซื่อๆ ของเด็กสาว ก่อนจะอดขำไม่ได้

แสงตะวันส่องบนแก้มเผยฝาน เส้นผมสองเส้นตรงจอนผมเด็กสาวถูกลมพัดไปข้างหลัง เผยใบหน้าขาวสะอาด ต่างจากตอนเทือกเขาประจิม ใบหน้ารูปไข่ของเด็กสาวเติบใหญ่ขึ้น มีความรู้สึกเหมือน ‘เพื่อนบ้านมีสาวเติบใหญ่’ เพราะเหตุผลซับซ้อนหลายอย่าง ก่อนหน้านี้นางจึงอยู่ในจวนขุนนางรองท่องกระบี่มาตลอด จุดนี้ ถือว่าเป็น ‘สตรีอยู่ในห้องหับไม่รับรู้อะไร’

ครั้งนี้อาศัยใบบุญของซ่งอีเหริน ไม่รู้ว่าเขาไปไหว้วานพระโพธิสัตว์ท่านใด หลังจากเมื่อคืนวาน สามกรมก็ย้ายคนสอดแนมออกไปในความหมายแท้จริง

หนิงอี้เองก็ได้รู้การไขคดีจวนเขาครามเช่นกัน เขารู้แก่ใจดีว่าปรมาจารย์ค่ายกลนามเจี่ยนอีที่ตายไปแล้วคนนั้นถูกเจตนารมณ์ยิ่งใหญ่หมายตา ดังนั้นถึงยกมาเป็นแพะรับบาปในคดีลึกลับนี้ มองไปทั้งกระบวนการ วิธีการไขคดีทั้งหมดเรียบง่าย ราบรื่นไปเสียหมด

เรื่องราวได้บอกย่อหน้าหนึ่ง

……

“น่าเสียดายร้านสวีจี้ ร้านนั่นเหมือนจะเปลี่ยนมือขาย ไม่เปิดร้านแล้ว” หนิงอี้เอามือเท้าคาง ยิ้มตาหยีมองเด็กสาวตรงข้าม เด็กสาวใช้สองมือถือซาลาเปาใหญ่ที่มีไอร้อนพวยพุ่ง เป่าดังฟู่ๆ ก่อนจะกัดเบาๆ แล้วพูดอู้อี้ “เนื้อวัวร้านนั้นอร่อยจริงๆ”

“กรมข่าวกรองตรวจสอบคดีนี้ นี่เป็นเรื่องแปลกหรือไม่” หนิงอี้ใช้สองนิ้วคีบช้อน คนชาน้ำมันในแก้ว ก่อนพูดอย่างมีความคิดบางอย่าง “ได้ยินว่าปกติกรมข่าวกรองจะเดินในที่ที่อันตรายมาก สี่เขตแดนก็เช่นนี้ เมืองหลวงก็ไม่เว้น กรมข่าวกรองเมืองหลวงจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ การตรวจสอบขุนนางรองท่องกระบี่ตัวเล็กๆ อย่างข้า แค่วางหูตาไว้รอบถนนก็พอแล้ว หลังจบคดีนี้ พวกเขาน่าจะออกจากเมืองหลวงไปไกล เป็นไปได้ว่าจะไปแดนอุดรหรือสี่แดน”

เด็กสาวแทะซาลาเปาเนื้อไปครึ่งลูกแล้ว

“เมื่อก่อนข้าก็เคยคิดว่าหลังส่งเจ้ามาเมืองหลวงแล้ว จะหางานที่มีเกียรติทำ” หนิงอี้ยิ้ม “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญ และไม่เคยคิดว่าข้าจะอยู่ใจกลางคลื่นมรสุม ข้าคิดว่าการได้เป็นสมาชิกของสามกรมเป็นเรื่องที่มีเกียรติมาก”

เผยฝานก้มหน้าลง นางย่อยคำพูดนี้เงียบๆ

“การได้เป็นสมาชิกของสามกรมเป็นเรื่องที่มีเกียรติจริงๆ”

ทันใดนั้นมีเสียงดังมาจากนอกโต๊ะ

หนิงอี้เงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้ายิ้มแย้มสะอาดสะอ้าน

บุรุษคนนั้นมาอยู่ข้างหนิงอี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ไม่ได้สวมชุดของสามกรม แต่ในคิ้วและดวงตา มองเห็นความทุกข์ยากที่อยู่ในเมืองหลวงมานาน

“ขุนนางรองหนิง ข้าจะไม่บอกนามของข้าแล้วกัน เพราะเจ้าต้องไม่เคยได้ยินแน่”

บุรุษลากเก้าอี้มานั่งอย่างเป็นกันเอง เขามองหนิงอี้พลางยิ้มอ่อนโยน “ได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือมานาน แต่เสียดายไม่เคยได้พบหน้า”

หนิงอี้มองกู้เชียนนิ่งๆ บุรุษหนุ่มคนนี้ ต้องบอกว่าเกิดมามีใบหน้าเช่นนี้ ทำให้คนรังเกียจไม่ลงจริงๆ

เขาถามด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนในสามกรมตอนนี้รู้จักข้ากันหมดรึ”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่แค่สามกรม…”

“พูดให้ถูกคือทุกคนในเมืองหลวงรู้” กู้เชียนถอดหมวกผ้าของตนออก วางไว้บนโต๊ะเบาๆ เขาหยิบกล่องอาหารเล็กมาจากอกเสื้อ วางบนโต๊ะ ดันมาหน้าหนิงอี้ช้าๆ

“ก่อนขุนนางรองมาเมืองหลวงก็ได้ข้ามอันดับรายนามดาราของคุณชายเยี่ย เยี่ยหงฝูแห่งเขาลั่วเจียไปแล้ว ใต้ฟ้าต้าสุยยังไม่รู้จัก หลังมาเมืองหลวง คลื่นลมสำนักศึกษาเพิ่งผ่านพ้นไป จะมีใครไม่รู้จักหนิงอี้ได้อย่างไร” กู้เชียนพูดได้อย่างสวยงามมาก แต่ใบหน้าเขากลับไม่มีรอยยิ้มเลย

“คนส่วนใหญ่ในสามกรมยุ่งกับงาน ต่อให้พวกเขาได้ยินนามของลั่วฉางเซิง ก็เกรงว่าจะไม่ได้สนใจอะไรมาก” หนิงอี้มองกู้เชียนพลางพูดนิ่งๆ “เจ้าจำข้าได้ คงไม่ใช่เพราะรายนามดารา และก็ไม่ใช่เพราะสำนักศึกษากระมัง”

กู้เชียบเงียบลงเล็กน้อย

“เนื้อวัวร้านสวีจี้ พวกเจ้าเป็นสหายกันรึ”

หนิงอี้พลันนึกถึงบุรุษที่สอดแนมตนของกรมข่าวกรองคนนั้น หลังจากรับต่อร้านสวีจี้ กิจการก็ดีขึ้นมาก เวลาผ่านไปเร็วมาก ตอนนี้หนิงอี้ไม่เห็นใบหน้ายิ้มนั้นแล้ว

กู้เชียนไม่ปฏิเสธ เขาส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ว่าขุนนางรองหนิงกำลังพูดอะไร และก็ไม่รู้จักสหายที่ขายเนื้อวัวนั่นด้วย”

หนิงอี้รับกล่องอาหารมา คีบเนื้อวัวชิ้นหนึ่ง เคี้ยวอย่างละเอียด เป็นรสชาติที่คุ้นเคย

เขามองกู้เชียน

ในสีหน้าของบุรุษหนุ่มคนนี้ซีดขาวสามส่วน มีความเจ็บปวดซ่อนอยู่เจ็ดส่วน แต่ดวงตาเขากลับสงบนิ่งมาก

กู้เชียนสูดลมหายใจเข้าลึก เพ่งมองหนิงอี้พลางพูดอย่างจริงจัง “ขุนนางรองหนิงมีฝีมือไม่ธรรมดา ข้ายอมรับ”

หนิงอี้เงียบไปชั่วขณะ เขามองร้านสวีจี้ไกลๆ พลางถาม “จะกลับมาขายเนื้อวัวเมื่อไร”

“ไม่กลับมาแล้ว”

กู้เชียนนิ่งไปเล็กน้อย “เขาตายแล้ว”

เงียบ

เด็กสาวสับสนเล็กน้อย

ผู้คนไปๆ มาๆ ในร้านน้ำชา เสียงดังเจี๊ยวจ๊าว มีเพียงโต๊ะนี้ที่พลันเงียบลง

หนิงอี้พ่นลมหายใจ เขาเหมือนเดาได้ว่ากู้เชียนจะพูดอะไร เขาคลึงระหว่างคิ้ว บ่อยครั้งที่เขาไม่ยี่หระจะแก้ต่างให้ตัวเอง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน

“ขอโทษ…”

หนิงอี้มองกู้เชียน “แต่ข้าไม่ได้ทำ”

เดิมทีเขาคิดว่าการสอดแนมตนเป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่ไม่นึกเลยว่าจะมีคนต้องจ่ายด้วยชีวิต…ดูท่าเมืองหลวงเมื่อคืนวานคงไม่ใช่แค่ฝนตกแล้ว

หนิงอี้ไม่รู้ว่าเอกสารสุดท้ายของการตรวจสอบ หลังผ่านการตรวจสอบจากหอยอดวิสุทธิ์แล้วจะถูกส่งเข้าวังในอีกคืน วังอ่านแล้วไม่มีอะไรจึงยกเลิกการสอดแนม

หลังคืนหอยอดวิสุทธิ์มีสองคนตายที่นั่น

ศพคลุมด้วยผ้าขาวและถูกยกออกมา ลูกน้องสามสิบกว่าคนที่ติดตามเสิ่นหลิงพากันออกหลังจากคืนนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นอกจากกู้เชียนที่เก็บกวาดคดี

สวีจิ่นเป็นบุรุษที่มีนิสัยเข้มงวด หอยอดวิสุทธิ์เก็บเอกสารต่างๆ ไว้ในที่ที่ลึกลับมาก แต่กรมข่าวกรองก็มีจุดที่หลบเลี่ยงทุกสายตาได้ เสิ่นหลิงอยู่ในตำแหน่งเจ้ากรมข่าวกรองน้อยของเมืองหลวงมาเกือบยี่สิบปี แต่พวกเขาสองคนกลับตายที่หอยอดวิสุทธิ์อย่างเงียบเชียบ

กู้เชียนไม่เคยนึกเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

หลังจากกู้เชียนมาถึง เด็กสาวลงจากเก้าอี้ ให้เขานั่ง

นางมาข้างหนิงอี้ นั่งอยู่ชั่วครู่สั้นๆ ตอนนี้ซาลาเปาในมือนางเย็นหมดแล้ว

ความเงียบดำเนินไปชั่วขณะ

กู้เชียนพูดเสียงเบา “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี”

หนิงอี้ส่ายหน้า “ข้าเคยทำเรื่องไม่ดี แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า”

เด็กสาวพลันรู้สึกซับซ้อนนิดๆ นางอยากพูดแต่ก็เงียบไป

หนิงอี้ยื่นมือไปใต้โต๊ะ กดหัวเข่าเผยฝานเบาๆ สื่อให้นางใจเย็น

หนิงอี้พูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้าเอาของไป เราสองคนถือว่าไม่เคยเจอกัน เรื่องนี้จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า”

“ไม่จำเป็น ข้าเชื่อหรือไม่ไม่สำคัญ เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว” กู้เชียนส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าแค่อยากรู้ว่าขุนนางรองหน้าตาเป็นอย่างไร วันนี้ถึงได้พบกัน”

เมื่อเอ่ยจบ กู้เชียนก็ลุกขึ้น ไม่หันกลับมา

ความจริงเขาโกหก

กู้เชียนไม่ได้มาหาหนิงอี้โดยเฉพาะ เพียงแค่อยากมาดูร้านของสวีจิ่น…ร้านยังอยู่ เพียงแต่คนแซ่สวีจากไปตลอดกาล

บางครั้ง การจากลาครั้งนี้คือการจากลาชั่วนิรันดร์

กู้เชียนทนไม่ไหว ดังนั้นถึงได้มีเรื่องหลังจากนี้ เขานั่งตรงข้ามหนิงอี้ มองดวงตาของหนิงอี้

เขาอยากดูว่าคนที่สังหารสวีจิ่นทางอ้อมคนนี้มีหน้าตาแบบใดกันแน่

จากนั้นเขาก็ใจเย็นลงทีละนิด รู้สึกว่าการกระทำของตนไร้เหตุผลมากขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้ายก็ได้ข้อสรุป

หนิงอี้ไม่ได้โกหก

……

บุรุษเร่งรีบเดินมาถึงตรอกเล็ก

ชุดคลุมลอยขึ้น ตกลง เขาเปลี่ยนชุดคลุมใหม่ ฉีกหนังหน้าที่คลุมใบหน้าก่อนหน้านี้ออก เกิดไฟลุกไหม้

แสงไฟในตรอกเล็กไม่มีใครเห็น ส่องใบหน้าซีดขาวของบุรุษ

สวีจิ่นตายแล้ว เสิ่นหลิงก็ตายแล้ว

สหายในอดีตของเขา พี่น้องที่ดีที่สุด พบหน้าและลาจากกันในตรอกเล็กแห่งนี้

พูดไว้ดิบดีว่าจะไปดื่มสุราด้วยกัน…

หนึ่งคำ หนึ่งภาพ ไหลมาถึงก้นบึ้งหัวใจ

ไม่รู้เพราะเหตุใด กู้เชียนถึงเจ็บปวดในใจ แต่ไม่ทำให้เขาเศร้าเสียใจ

บุรุษหนุ่มนั่งยองลง มองเปลวเพลิงที่ลุกไหม้จนหมดช้าๆ

สุดท้ายเปลวเพลิงในดวงตาเขาเหลือเพียงเถ้าถ่าน

และยังมีสะเก็ดไฟ มีสายลมพัด เหมือนจะติดไฟขึ้นมาได้อีก

แต่เขาเอาเท้าเหยียบ

หลังเหยียบดับ กู้เชียนก็สะบัดแขนเสื้อ ไม่หันกลับมาอีก

………………………..

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท