ตอนที่ 182 หลิ่วสืออีผู้ไร้พ่ายในขอบเขตที่เจ็ด
เด็กหนุ่มที่สวมอาภรณ์บางสีขาวคนนั้นนั่งหันหลังให้ทุกคนตรงตีนหุบเขานิรันดร์
ประตูแสงดาราลุกโชติช่วงนี้ และยังมีหมอกที่บางลงเรื่อยๆ เหมือนกับร่องน้ำธรรมชาติ
วาดอัตราส่วนความแตกต่างกันจากสองด้านออกมาได้อย่างถึงอกถึงใจ
ทุกคนอยู่นอกภูเขา
มีเพียงเขาคนเดียวที่นั่งในภูเขา หันหน้าเข้าศิลาเข้าสู่ความเงียบสงบ
ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาที่มาถึงหุบเขานิรันดร์แรกสุด พวกเขาต่างมองหน้ากัน รู้สึกฉงนใจจริงๆ คาดไม่ถึงเลย พวกเขามาถึงที่นี่ก่อนแท้ๆ อย่าว่าแต่เห็นเด็กหนุ่มอาภรณ์บางสีขาวคนนี้เลย แม้แต่เงาผีสีขาวก็ยังไม่เห็น
“ศิลาหินใต้หุบเขานิรันดร์ มีเพิ่มมาอีกก้อนตั้งแต่เมื่อไรกัน”
มีคนพูดงึมงำ รู้สึกเหลือเชื่อ
คนที่มีคุณสมบัติเข้าหุบเขานิรันดร์มาวางศิลา อย่างน้อยต้องราชันดาราระดับสุดยอด คนใหญ่คนโตเช่นพวกเขาจะสลักสิ่งที่ตนเรียนรู้มาทั้งชีวิตไว้ในศิลาเสื่อมสภาพเช่นนี้ จากนั้นวางไว้ตีนเขาแบบนี้ ขอแค่ก้าวเข้ามาก็เห็นเลยได้อย่างไร
“ข้ารู้จักคนนี้…”
ทันใดนั้นมีเสียงตกใจและตื่นตะลึงดังมาจากกลางกลุ่มคน ผู้บำเพ็ญคนนั้นที่พูดมองเด็กหนุ่มอาภรณ์ขาวที่นั่งตีนหุบเขานิรันดร์ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกคุ้นแผ่นหลัง จนกระทั่งซ้อนทับกับเงานั้นในความคิด ก็ไม่มีความผิดพลาดใดๆ อีก
เขาชี้เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวทางนั้นของประตู ความตื่นตกใจบนใบหน้าไม่เคยหายไป ก่อนพูดเสียงดังด้วยน้ำเสียงมั่นใจมาก “เขาคือหลิ่วสืออี! หลิ่วสืออีแห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่!”
ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาที่มาถึงคนแรกสุดและสับสนไม่เข้าใจนั้น หลังได้ยินนามของหลิ่วสืออี ก็เหมือนจะมีสีหน้าปล่อยวาง
เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่คนปัจจุบัน มีนามว่าหลิ่วสือ
หลิ่วสือไม่ใช่ยอดฝีมือขอบเขตนิพพาน แต่เป็นราชันดาราที่เก็บตัวเงียบมาก ในมุมมองโลกภายนอก แทบจะไม่มีผลการรบที่ตรวจสอบได้ แต่ก็ไม่มีใครดูถูกเขา
เพราะหลังจากหลิ่วสือสืบทอดมรดกตำหนักทะเลสาบกระบี่แล้วก็มาเมืองหลวงด้วยตนเอง ฝ่าบาทได้พบหน้ากับหลิ่วสือครั้งหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าสองคนคุยอะไร…จากนั้นมาหลิ่วสือก็ได้รับเชิญให้มาหุบเขานิรันดร์
เข้าหุบเขานิรันดร์ได้ก็เป็นการพิสูจน์ศักยภาพของหลิ่วสือแล้ว
นามหลิ่วสืออีจดจำง่ายมาก เพราะเขามีคำว่า ‘อี’ เพิ่มมาจากนามของเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่
นี่เป็นการสืบต่อรุ่นของตำหนักทะเลสาบกระบี่ และเป็นการกำหนดตำแหน่งบางอย่าง ขอแค่หลิ่วสืออีฝึกบำเพ็ญต่อไป เช่นนั้นเจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่แห่งแดนประจิมคนต่อไปก็จะเป็นเขา
ผู้บำเพ็ญแดนบูรพาที่มาถึงหุบเขานิรันดร์กลุ่มแรกแต่ไม่พบหลิ่วสืออีจึงไม่เข้าใจพวกนั้น ก็เหมือนจะเข้าใจแล้ว บางเรื่องก็น่าเหลือเชื่อจริงๆ แต่หากคนที่ทำเรื่องพวกนี้ เดิมทีเป็นคนที่น่าเหลือเชื่ออยู่แล้ว เช่นนั้นก็เข้าใจได้
หลิ่วสืออีมีคำเรียกขาน
‘ไร้พ่ายในขอบเขตที่เจ็ด’
คำเรียกขานนี้ฟังดูน่าขำนิดๆ
บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งเขาศักดิ์สิทธิ์ คนที่อยู่ขอบเขตที่แปดเสียเปรียบหนักแล้ว
ทว่าหลิ่วสืออีเป็นผู้สืบทอดเจ้าตำหนักรุ่นต่อไปของตำหนักทะเลสาบกระบี่แน่นอนแล้ว กลับอยู่เพียงขอบเขตที่เจ็ด อีกทั้งไม่ว่าคนอื่นจะฝึกบำเพ็ญรวดเร็วอย่างไร ไม่รีบไม่ร้อน ก็ไม่รู้สึกว่าพลังบำเพ็ญตนไม่เหมาะสม
เพราะหลิ่วสืออี ตอนที่หมู่ดาวส่องแสง เพิ่งออกจากภูเขามาก็ใช้พลังบำเพ็ญขอบเขตที่เจ็ดสังหารผู้บำเพ็ญขอบเขตที่แปด
หลิ่วสืออีมีอายุไม่มาก หากไม่ใช่เพราะเขาเชียงมีเซียนกระบี่น้อยหวังอี้ที่อายุสิบสี่ปี เช่นนั้นเขาก็น่าจะเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด กระทั่งเยาว์วัยที่สุดในรุ่นเยาว์ต้าสุย
เขาเพิ่งออกจากภูเขาก็ทำเรื่องนั้นด้วยอายุเท่านี้ได้…ทำให้ทั้งต้าสุยต้องชมเชย นี่หมายความได้ว่าหลิ่วสืออีเป็นคนที่น่าเหลือเชื่ออยู่แล้ว
สิ่งที่เขาทำย่อมเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ
ตอนนี้เขานั่งอยู่ตีนเขา มองศิลาหินนั้น
แม้ศิลาหินนั้นจะเป็นเพียงศิลาธรรมดาจริงๆ และต้องมีคนมากมายตระหนักรู้ได้ก็ตามที
……
“ไม่มีพลังบำเพ็ญขอบเขตหลังก็ยากจะต้านแรงกดดันแสงดาราที่นี่ได้”
“แรงใจไม่แกร่งพอก็ไม่อาจต้านได้”
ตรงตีนหุบเขานิรันดร์ ผ่านไปช่วงหนึ่งก็มีคนลองฝ่าประตูสี่เหลี่ยมที่มีแสงดาราลุกโชน อีกทั้งยังทำสำเร็จ ส่วนผู้มีอำนาจรุ่นเยาว์ของขุมอำนาจสำนักศึกษาและเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด เหมือนจะยังรออีกครู่หนึ่ง รอถึงช่วงท้ายแล้วค่อยออกตัว
มีคนเข้าไปสำเร็จแล้ว
ไม่เกินความคาดหมาย ผู้บำเพ็ญที่เข้าไปในหุบเขานิรันดร์ได้สำเร็จ สิ่งแรกที่ทำคือ…ไปข้างหลังหลิ่วสืออี อยากจะมองศิลาหินนั้น
จากนั้นพวกเขาต้องผิดหวัง
เพราะหลิ่วสืออีนั่งอยู่หน้าศิลา พวกเขาเลยไม่ได้เข้าไปใกล้มากเกินไป
ตรงหน้าตักหลิ่วสืออีวางกระบี่ยาวสีขาวหิมะเล่มหนึ่ง ฝักกระบี่แกะสลักฟองคลื่นดุจลายหิมะ
หากศิลาหินนี้แกะสลักเจตจำนงกระบี่ของคนใหญ่คนโตที่สุดยอดบางท่าน หรือท่วงทำนองที่ล้ำค่า เช่นนั้นพวกเขาจะต้องเข้าไปรวมกัน ศึกษาอย่างจริงจัง แม้จะชนกับฝักกระบี่ของหลิ่วสืออีก็ตาม
แต่บนศิลาหินไม่มีอะไรเลย
เพียงแต่ภาพที่แปลกประหลาดยิ่งนี้ ด้วยสายตาของผู้บำเพ็ญขอบเขตหลัง มองไกลๆ ก็ยังเห็นได้
ไม่มีท่วงทำนอง
ไม่มีปราณกระบี่
ไม่มีอะไรเลย
ศิลาหินนี้วางอยู่ก้นสุดของหุบเขานิรันดร์ ไม่มีการชะล้างของแรงเจตนารมณ์หุบเขานิรันดร์ อากาศสดชื่น หญ้าน้ำค้างปลิวไสว เติบโตกันงอกงาม เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวหลิ่วสืออีนั่งหน้าศิลาหินเช่นนี้ มองศิลาหินอย่างเคลิบเคลิ้ม
โลกนอกประตูส่งเสียงดังเกรียวกราว
โลกในประตูเงียบงัน
ผู้บำเพ็ญที่ก้าวเข้ามาในหุบเขานิรันดร์มองตัวประหลาดด้วยสีหน้าซับซ้อนและแปลกประหลาด อีกฝ่ายนั่งอยู่หน้าศิลาหิน ใช้เวลาอันล้ำค่าไป พวกเขาไม่เข้าใจว่าหลิ่วสืออีทำเพื่ออะไร พวกเขาเองก็ไม่อยากเข้าใจด้วย…
ดังนั้นผู้บำเพ็ญที่เข้ามาในหุบเขานิรันดร์ หลังจากเห็นหลิ่วสืออีมองศิลาแล้วก็ทยอยกันออกห่างจากหลิ่วสืออี เดินหน้าขึ้นหุบเขานิรันดร์ไปที่ที่สูงกว่า
ผู้คนขวักไขว่ ไปๆ มาๆ
มีเพียงหลิ่วสืออีคนเดียวที่นั่งตรงตีนเขา
….
“เขากำลังทำอะไร”
“ศิลานั่นมีอะไร”
ความสงสัยเช่นนี้กระจายไปในตีนหุบเขานิรันดร์ ผู้บำเพ็ญพวกนั้น โดยเฉพาะคนที่เข้าหุบเขานิรันดร์ไม่ได้ แต่มองหลิ่วสืออีผ่านประตูเช่นนี้ เกิดความสงสัยมากมายขึ้นในใจ แต่ก็ไม่ได้คำตอบ
หลายชั่วยามต่อมา ในที่สุดก็ได้คำตอบของคำถามนี้
ผู้บำเพ็ญคนแรกที่พละกำลังไม่พอและถูกหุบเขานิรันดร์ ‘ขับไล่’ ออกมา คนเฝ้าภูเขาปกป้องจิตวิญญาณของเขาไว้ พี่น้องร่วมสำนักเข้ามาประคองเขา ใบหน้าซีดขาว หันไปมองเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวในประตูด้วยสีหน้าอ่อนแรงและสับสน ปากพูดพึมพำ “หลิ่วสืออีมองศิลานั่น บนศิลานั่น…ไม่มีอะไรเลย”
คำตอบนี้ไม่ทำให้ทุกคนยอมรับแน่นอน
ดังนั้นจึงมีผู้บำเพ็ญที่ออกจากหุบเขานิรันดร์คนที่สองมาตอบคำถามนี้
ผู้บำเพ็ญคนนี้ เห็นได้ชัดว่าหาศิลาหินนั้นที่ตนต้องการพบแล้ว เขาไม่ได้ปีนขึ้นไปสูงต่อเพราะระดับความแกร่งของวิญญาณไม่พอ จากนั้นก็ออกจากหุบเขานิรันดร์ เขาได้ยินคำถามเกี่ยวกับหลิ่วสืออีในหุบเขานิรันดร์ จึงพูดอย่างจริงจัง “หลิ่วสืออีกำลังมองศิลาหินที่ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ไม่มีท่วงทำนอง ไม่มีปราณกระบี่ ไม่มีอะไรที่ตระหนักรู้ได้เลย…อย่างน้อยข้าก็มองอะไรไม่ออก”
หุบเขานิรันดร์เปิดได้สิบชั่วยามแล้ว ผู้บำเพ็ญพเนจรที่มามุงดูบางส่วนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของสำนักใหญ่พวกนั้นถึงไม่ได้รีบร้อนเข้าหุบเขานิรันดร์ในทันที
บนเขาหุบเขานิรันดร์ จะเป็นแรงเจตนารมณ์ของขอบเขตราชันดาราก่อน จากนั้นเป็นของยอดฝีมือนิพพาน ต่อให้คนเฝ้าหุบเขาจะรักษาค่ายกลกดแรงปะทะจิตวิญญาณพวกนี้ลดลงถึงระดับต่ำมาก ก็ไม่ใช่ว่าผู้บำเพ็ญขอบเขตหลังจะต้านไหว
เพราะการก้าวเข้าหุบเขานิรันดร์ ระหว่างการตามหาศิลาหิน เวลาทุกลมหายใจล้วนมีค่ามาก
ผู้บำเพ็ญสำนักใหญ่จะใช้วิธีการ ‘ทิ้งทหารรักษารถ’ ให้ศิษย์ที่พลังบำเพ็ญไม่ได้สูงมากสำรวจจากทุกทิศทาง จากนั้นเก็บภาพเส้นทางที่ตนสำรวจรวมถึงการกระจายของศิลาและทางลัดที่เหมาะกับสำนักตนมากที่สุดออกจากหุบเขานิรันดร์ จากนั้นวาดออกมาตามความทรงจำในความคิดทุกอย่าง เพื่อให้มั่นใจว่าอัจฉริยะที่แท้จริงจะเสียกำลังน้อยที่สุดแต่ได้ทรัพยากรมากที่สุด
เซียนกระบี่น้อยหวังอี้แห่งเขาเชียง มาถึงตีนหุบเขานิรันดร์เป็นคนแรก
เขาแบกกระบี่ยาวสูงเท่าตัว เส้นผมมัดด้วยเชือกมัดผมสีดำ สวมชุดคลุมดำทั้งตัว มีกลิ่นอายสังหาร เดินมาอยู่หน้าประตูไฟลุกโชน
เขาต่างจากผู้บำเพ็ญขอบเขตหลังที่ต้องใช้แรงใจมหาศาลในการผ่านประตูนี้
จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครรู้พลังบำเพ็ญของหวังอี้ มีคนเดาว่าเขายังไม่ถึงขอบเขตหลังด้วยซ้ำ
หวังอี้ในชุดคลุมดำยื่นมานิ้วหนึ่ง กดตรงระหว่างคิ้วตัวเอง
เขาใช้วิชาลับแขนงหนึ่ง
ทันทีที่ปลายนิ้วกดระหว่างคิ้ว ปราณกระบี่แผ่ออกมาทั้งตัวหวังอี้ เหมือนกับมังกรเล็กสีดำตัวหนึ่งพุ่งออกจากแขนเสื้อ ปกคลุมศีรษะ
ตอนที่ข้ามผ่านประตูนั้น จิตวิญญาณของคนเฝ้าหุบเขาแผ่เข้ามา เขาเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เปล่งเสียงที่เบาจนไม่ได้ยินจากในลำคอ เดินไปหนึ่งก้าวก็มาถึงในประตูหุบเขานิรันดร์
ผู้บำเพ็ญพวกนั้นที่มุงอยู่รอบนอกประตู ในดวงตามีความปลงและอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง
นี่คืออัจฉริยะในรายนามดารา
มุกใสแวววาว กระเบื้องไร้แสงสว่าง
เทียบกับหวังอี้ในชุดคลุมดำแล้ว ผู้บำเพ็ญพวกนั้นที่ก้าวเข้าไปในประตูแสงดาราก่อน บ้างมีสีหน้าเจ็บปวด บ้างก็ถูกทรมาน บ้างก็ถูกหามออกมา ไม่เทียบไม่เท่าไร แต่เมื่อเทียบกันแล้ว กลายเป็นหนึ่งอยู่บนฟ้า อีกหนึ่งอยู่บนดิน
หลังจากหวังอี้ก้าวเข้าหุบเขานิรันดร์
หลิ่วสืออีที่หันหลังให้ทุกคนมาตลอด แน่นิ่งดุจหินผา ในที่สุดตอนนี้ก็สั่นไหวนิดๆ
หลิ่วสืออีเบนสายตาออกจากศิลาหิน หันไปมองเซียนกระบี่น้อยหวังอี้
ก่อนที่หวังอี้จะก้าวเข้าหุบเขานิรันดร์ก็เห็นสภาวะที่หลิ่วสืออีในชุดคลุมขาวคนนี้หันหลังมองศิลาแล้ว เขาเดินเข้ามามองศิลานั้น เพียงแค่ชำเลืองตามอง มั่นใจว่าในนั้นไม่มีปราณกระบี่หรือท่วงทำนองก็ไม่เสียเวลามองอีก
“แค่ศิลาเก่า แค่ภาพเก่า”
หวังอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “มองมันจะมีประโยชน์อะไร”
หลิ่วสืออีเงยหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ตอบคำถามของหวังอี้
หลิ่วสืออีพูดขึ้น “ได้ยินว่าแขกจากแดนบูรพา คนเขาศิลาเต่ากับคนเขาล่องโอฬารไปหาคุณชายใหญ่สำนักศึกษา สู้กันอย่างสุดความสามารถ แต่เจ้ามีพลังบำเพ็ญต่ำเกินไป ห่างไกลจากอ้อยอิ่ง เลยไม่กล้าไปท้าสู้นาง”
หวังอี้พลันหน้าเปลี่ยนสีไป
เขาจ้องหลิ่วสืออีพลางหรี่ตาลง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
หลิ่วสืออีมีใบหน้าเฉยเมย เขามองหวังอี้พลางพูดนิ่งๆ “ไม่มีอะไร แค่อยากบอกเจ้าว่า ถ้าไม่สู้กันที่นี่ก็ไปไกลๆ หน่อย”
…………………………..