“เอาเป็นว่าถ้าลูกเจอคนที่ถูกใจตอนไปโรงเรียน ลูกก็ไม่จำเป็นต้องสงวนท่าทีเอาไว้ล่ะ จำไว้ให้ดีว่าลูกเป็นลูกชายของเจ้าแม่ค้าอาวุธ เมื่อถึงตอนนั้นลูกก็ควรทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ อย่าปล่อยตัวเลือกดีๆ ทิ้งไปเสียล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูด พร้อมกับดึงซาลาเปาน้อยเข้ามากอดแล้วขยี้ผมของเขา
เด็กชายตัวน้อยดิ้นออกจากอ้อมกอดของนาง ผมสีดำของเขาชี้ไม่เป็นทรง จากนั้นเขาก็หยิบกางเกงยีนส์ส่งให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่ ”เวยเวยคนสวย ที่ที่ผมจะไปคือโรงเรียนอนุบาล ไม่ใช่โรงเรียนมัธยมปลาย มันยังเร็วเกินไปที่ผมจะหลงรักใครได้”
“เรื่องของความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ควรเก็บเกี่ยวตั้งแต่อายุยังน้อย” เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้ยางรัดผมสีดำรวบผมของตัวเองเข้าหากันด้วยท่าทางสบายๆ บนใบหน้างดงามนั้นพลันปรากฏสีหน้าเศร้าหมองขึ้นมา ”ลูกต้องเลือกคนที่หน้าตาดีเข้าไว้ล่ะ”
เด็กชายตัวน้อยยื่นนมที่เขาเตรียมไว้ให้กับเธอ ”เวยเวยคนสวย อย่าบอกนะครับว่าตอนนั้นแม่ตกหลุมรักพ่อของผมเพราะใบหน้าของเขา”
“แล้วลูกคิดว่าอย่างไรล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือไปบีบหูเล็กๆ ของลูกชาย ก่อนจะบิดตัวอย่างเกียจคร้าน ”นอกจากหน้าตาแล้ว หุ่นเขาก็ยังดีทีเดียว หืม น้ำเสียงของเขาก็ยังไพเราะน่าฟังอีกด้วย แต่ลูกยังเด็กเกินไปที่จะถามรายละเอียดเรื่องนั้นนะ”
ซาลาเปาน้อยพูดไม่ออก ผมไม่ได้ถามเรื่องนี้สักหน่อย แม่ต่างหากที่กระตือรือร้นอยากเล่าให้ผมฟังเอง
ตั้งแต่เด็กชายยังเล็ก นิทานก่อนนอนของเขานั้นถ้าไม่ใช่เรื่องความรู้เกี่ยวกับปืนสไนเปอร์ ก็จะเป็นเรื่องที่แม่ไล่ตามจีบพ่อ
มิหนำซ้ำ แม่ของเขายังถึงกับเขียนคู่มือจีบภรรยาขึ้นมาอีกด้วย
หลังจากที่เขาได้อ่านคู่มือฉบับนั้นแล้ว เขาก็คิดว่าพ่อที่เขาไม่เคยพบหน้าค่าตามาก่อนคนนั้นจะต้องเป็นผู้ชายชั่วร้ายและเจ้าแผนการอย่างแน่นอน
มีแต่ผู้ชายประเภทนั้นเท่านั้นแหละที่จะไม่ทุกข์ร้อนเวลาโดนผู้หญิงจีบ แต่ไม่ใช่แค่นั้น บางครั้งบางคราวเขาก็จะปล่อยเหยื่อเพื่อให้แม่ของเขากระตือรือร้นขึ้นอีกด้วย
แต่ไม่ว่าอย่างไร การรับมือกับผู้ชายอย่างเขาคงจะยุ่งยากมากทีเดียว
“เสี่ยวชิงเฉิง มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ ไปกันเถอะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบศีรษะของซาลาเปาน้อย นางอยากแต่งตัวเข้าคู่กับเขา ดังนั้นวันนี้นางจึงเลือกที่จะสวมเสื้อเชิ้ต สีขาวสะอาดตาเข้าคู่กับกางเกงหนังและหมวกเบเร่ต์หนังแท้จากแบรนด์บอยลอนดอนได้อย่างลงตัว ใต้ผมสีน้ำตาลหยักศกยาวถึงเอวของนางคือต่างหูเพชรสีดำ เมื่อประกอบเข้ากับเครื่องหน้าอันงดงามของนาง เวลานี้นางจึงดูเท่อย่างมาก
ลูกค้าส่วนหนึ่งที่มาอู่ซ่อมรถถึงกับเคยสงสัยว่าเธอชอบผู้หญิงด้วยกันหรือเปล่า
อย่างไรผู้หญิงหน้าตาเช่นนี้ก็สามารถดึงดูดความสนใจได้อย่างล้นหลาม และยากที่ใครจะมองข้ามความงามที่อยู่เหนือเพศสภาพได้
นอกจากนั้น เธอยังเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นโทมาฮอว์กที่แค่เห็นแวบเดียวทุกคนก็ต้องร้องกรี๊ดอีกด้วย
เมื่อพิจารณาจากสีและส่วนเว้าส่วนโค้งของมัน เจ้ารถคันนี้นับว่าหล่อเหลาอย่างมากในหมู่บิ๊กไบค์ด้วยกัน
แทบไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะสามารถขี่เจ้ารถรุ่น S1000RR ได้ เว้นแต่ว่าขาของพวกเธอจะยาวพอ ไม่อย่างนั้นพวกเธอจะต้องถูกความงดงามของยานพาหนะคันนี้กลบรัศมีจนมิด
แต่เจ้าบีเอ็มดับเบิลยูคันนี้ราวกับถูกสร้างมาเพื่อเฮ่อเหลียนเวยเวย ในระหว่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้ขาเรียวยาวคู่นั้นทรงตัวอยู่บนจักรยานยนต์ นางก็ยกมือขวาขึ้นแล้วปิดหน้ากากหมวกกันน็อคเสียงดังฉับ!
สายตาของผู้คนมากมายจับจ้องอยู่ที่พวกเขา เด็กชายตัวน้อยนั่งอยู่ด้านหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยพร้อมกับสวมหมวกกันน็อคขนาดเล็กที่นางทำให้เขาโดยเฉพาะ ช่างดูหล่อเสียไม่มี!
ราวกับแม่ลูกคู่นี้เกิดมาเพื่อให้ทุกคนจับตามอง ทั้งสองหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่งตอนที่เร่งเครื่องออกตัวไป
ผู้ใช้รถใช้ถนนต่างอดไม่ได้ที่จะหันมองตามพวกเขา โดยเฉพาะบรรดาเซียนรถทั้งหลาย แม้แต่คนที่อยู่ในรถสปอร์ตก็ยังลดกระจกลงมาผิวปากให้กับทั้งสอง
“รถโคตรเท่เลยครับ!”
“นี่มันบีเอ็มดับเบิลยูโทมาฮอว์กนี่นา ขายหมดเกลี้ยงไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เฮ้ยดูสิ คนขับเป็นผู้หญิงล่ะ!”
“ไม่มีทาง! แกคิดว่าโทมาฮอว์กเป็นสกูตเตอร์ไฟฟ้าที่บ้านแกหรือไง ใช่ว่าทุกคนจะขับได้สักหน่อย!”
คนขับที่ถูกคนคนนั้นแย้งพลันรู้สึกไม่พอใจ เขากัดริมฝีปากบางของตัวเองเล็กน้อย ก็คนขับเป็นผู้หญิงจริงๆ นี่!
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ใช้เวลาอยู่บนถนนกว้างๆ นี้มากเกินไปนัก เพราะโทมาฮอว์กคันนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว ทันทีที่นางโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อเร่งความเร็วสิ่งเดียวที่ทุกคนได้เห็นจึงมีเพียงแค่ความดุดันของอสูรเพลิงอันงดงามขณะที่มันแล่นผ่านตาของพวกเขาไปเท่านั้น
เอี๊ยด!
เฮ่อเหลียนเวยเวยจอดรถจักรยานยนต์แล้วถอดหมวกกันน็อคออก จากนั้นนางจึงอุ้มซาลาเปาน้อยลงจากรถด้วยความช่ำชอง ”โรงเรียนอนุบาลของลูกดูดีทีเดียว”
โรงเรียนอนุบาลในกรุงปักกิ่งมีระบบการศึกษาที่คลอบคลุม โดยพื้นฐานแล้วการศึกษาของโรงเรียนนี้จึงจัดว่ายอดเยี่ยมอย่างมาก ดังนั้นนางจึงคิดว่าลูกชายคงไม่รู้สึกเบื่อตอนที่อยู่โรงเรียน
“อืม” เด็กชายตัวน้อยมีความสุขที่จะได้เข้าเรียนชั้นอนุบาล เขายื่นมือออกไปกระตุกแขนเสื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วพูดกับนางอย่างสุภาพว่า ”แม่ห้ามเอาแต่เตร็ดเตร่ตอนที่ผมอยู่ในชั้นเรียนนะครับ ผมเลิกห้าโมงเย็น พอเลิกเรียนแล้วผมจะกลับบ้านเอง”
“เดี๋ยวก่อน เสี่ยวชิงเฉิง แม่ว่ามีบางอย่างผิดปกตินะ ปกติแล้วลูกต้องบอกให้แม่มารับไม่ใช่หรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”ลูกพยายามทำอะไรลับหลังแม่อยู่หรือเปล่า”
เด็กชายตัวน้อยยกมือขึ้นกุมหน้า ”ผมแค่อยากเดินกลับบ้านเองต่างหาก”
“ก็ได้ เสี่ยวชิงเฉิงเริ่มอยากมีอิสระเป็นของตัวเองแล้วอย่างนั้นสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพร้อมกับมองไปทางที่สายตาของเด็กชายตัวน้อยมองอยู่ ตรงนั้นมีร่างสีดำรางๆ ย่อตัวอยู่ภายใต้เงาของประตูโรงเรียน มันมีขนาดเล็กและคงเป็นเด็กที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่นานมานี้
แน่นอนว่าเด็กน้อยย่อมสังเกตเห็นว่าเด็กชายกำลังจ้องมองเขาอยู่เหมือนกัน เขาทำตาโตก่อนจะกระโดดเข้ามาหาอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ ”นายมองเห็นฉันด้วยเหรอ นายมองเห็นฉันจริงๆ ด้วย!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม เป็นสัญญาณบอกว่านางไม่คิดที่จะทำอะไรกับเรื่องนี้ แต่เพียงแค่มองลูกชายด้วยสายตาราบเรียบ
ซาลาเปาน้อยเยือกเย็นอย่างมากในระหว่างที่ตอบอีกฝ่ายอย่างไม่เร่งรีบว่า ”จริงอยู่ที่ฉันมองเห็นนาย แต่ถ้านายยังไม่ไปเกิดใหม่ แล้วเอาแต่อยู่ที่นี่เพื่อทำร้ายคนอื่นๆ ละก็ ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะพานายไปเอง”
เมื่อได้ยินดังนั้น เงาเล็กๆ นั้นก็รู้ว่าเด็กชายไม่ใช่คนที่เขาจะสามารถหาเรื่องได้ จากนั้นเขาก็ตั้งใจว่าจะยื่นมือออกไปเพื่อแตะตัวซาลาเปาน้อย
แต่เงานั้นนึกไม่ถึงเลยว่าทันทีที่เขาขยับตัว เขาจะได้เห็นสุนัขสีดำปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเด็กชายตัวน้อย สุนัขสีดำตัวนั้นตัวใหญ่จนน่ากลัว ดวงตาของมันเป็นสีแดงเหมือนเลือดสดๆ และยังมีหมอกสีดำหนาทึบปกคลุมไปทั่วร่างของมัน
ถึงเงาเล็กๆ นั้นจะเพิ่งตายได้ไม่นาน แต่อย่างน้อยตัวเขาก็เป็นผี สัญชาตญาณแห่งความเป็นผีบอกเขาว่าเขาควรจะรีบไปจากเด็กชายคนนี้ทันที ไม่อย่างนั้นเขาคงได้จบไม่สวยแน่
ดังนั้นเงาเล็กๆ สีดำจึงเริ่มลนลาน แล้วหายวับไปทันที!
เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มหน้าลงพร้อมกับจัดเนกไทขนาดเล็กที่อยู่รอบคอให้กับลูกชาย ”ปราณแห่งความเคียดแค้นจะค้างอยู่ในที่ที่วิญญาณคนตายเกิดขึ้น ลูกต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดีด้วย เข้าใจหรือเปล่า”
“เข้าใจครับ” เด็กชายตัวน้อยตอบ แต่ความจริงแล้วเขาไม่สนใจภูตผีวิญญาณพวกนี้แม้แต่นิดเดียว ความเย่อหยิ่งที่มีมาแต่กำเนิดนี้ถูกถ่ายทอดมาตามสายเลือดของเขา ”แม่กลับไปที่อู่ได้แล้วครับ ช่วงนี้ธุรกิจของอู่เราไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าแม่ไม่ตั้งใจทำงานให้หนักขึ้น เดี๋ยวจะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมผมเอาได้นะครับ”
เด็กชายตัวน้อยพูดเช่นนี้เพราะสองแม่ลูกคู่นี้ต่างก็มีแนวคิดเรื่องเงินตราในแบบเดียวกัน
พวกเขาเพียงแค่หาเงินเป็นงานฆ่าเวลา
แต่คนอื่นย่อมเข้าใจคำพูดนั้นต่างออกไป
“เวยเวย เธอมาลงเอยอยู่ในสภาพยากจนถึงขนาดนี้ได้ยังไง ฉันนึกไม่ถึงเลยผู้หญิงที่สวยที่สุดในคณะนิติอย่างเธอจะไม่สามารถจ่ายค่าเทอมให้ลูกชายตัวเองได้”