หลังจากไป๋หลี่ซ่างเสียได้ยินคำพูดของเด็กอ้วนแซ่เฉิง เขาก็ตวัดดวงตาสีแดงขึ้นมองอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ปฏิกิริยาของเขาทำให้เด็กอ้วนแซ่เฉิงขมวดคิ้วเข้าหากัน ในสถานการณ์ปกตินั้น เมื่อเขารู้ว่าบ้านอีกฝ่ายมีฐานะยากจน เขาก็ควรที่จะมาจับมือกับเขาเพื่อหัวเราะเยาะคนคนนั้นด้วยกันไม่ใช่หรือ
“ซ่างเสีย พวกเราคุยกันแล้วว่าจะให้ความร่วมมือกับนาย พวกเรามาแสดงให้เจ้าเด็กบ้านนอกนั่นเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเรากันเถอะ” เด็กอ้วนแซ่เฉิงพยายามยุเด็กชายอย่างไม่ลดละ จากนั้นจึงเหลือบมองเสี่ยวชิงเฉิงด้วยความรังเกียจ
แต่ไป๋หลี่ซ่างเสียหัวเราะเยาะ เขาดูไม่เหมือนเด็กอายุสามขวบแม้แต่นิดเดียว แต่กลับดูเหมือนอันธพาลตัวน้อยมากกว่า ”ฉันเคยพูดหรือไงว่าจะร่วมมือกับนาย ไสหัวไปซะ”
“นะ นาย นายนี่มัน!” เด็กอ้วนแซ่เฉิงเป็นผู้นำตัวเล็กๆ ในกลุ่มเด็กๆ มาตลอดชีวิต ไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งความเคารพเช่นนี้มาก่อน
ไป๋หลี่ซ่างเสียไม่คิดที่จะเสียเวลาเสวนากับเขาไปมากกว่านั้น เขาเกลียดเวลาที่คนชี้นิ้วใส่เขามากที่สุด ดังนั้นเขาจึงกระชากคอเสื้อของเด็กอ้วนแซ่เฉิงขึ้นอย่างแรง ”ฉันมีทางเลือกให้นายสองทาง เลือกเอาว่าจะมาเป็นลูกน้องฉัน หรือว่าจะให้ฉันอัดนายให้น่วม” วิญญาณของมนุษย์คนนี้เน่าเฟะไปทั้งดวง โดยปกติแล้วเขาคงไม่แม้แต่จะปรายตามองเด็กอย่างเจ้าเด็กอ้วนแซ่เฉิงคนนี้แน่ แต่ตอนนี้เขาอยู่อนุบาล เขาจำเป็นต้องมีมนุษย์ประเภทนี้คอยจัดการเรื่องต่างๆ ให้กับเขา
เด็กอ้วนแซ่เฉิงหัวเราะ ”เป็นลูกน้องของนายหรือ” เขาคิดในใจว่า ดูขนาดตัวของฉันซะก่อนเถอะ แค่ฉันคนเดียวก็สามารถล้มนายสามคนได้อย่างง่ายดาย แต่นายกลับอยากให้ฉันไปเป็นลูกน้องนายเนี่ยนะ
ไม่มีทางเสียล่ะ เด็กอ้วนแซ่เฉิงเอี้ยวตัว เขาพยายามที่จะกระชากผมของซ่างเสียแล้วกระทุ้งศอกใส่ท้องของเขา
การทะเลาะกันของเด็กมักไม่มีกฎกติกาใดมาบังคับ เด็กอ้วนแซ่เฉิงตัวใหญ่อ้วนกลม และยังมีพื้นฐานครอบครัวทรงอิทธิพล ดังนั้นเขาจึงโหดเหี้ยมอย่างมากเวลารังแกคนอื่น เขาไม่เคยคิดถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แต่มันกลับไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เขาคิด ก่อนที่มือของเขาจะทันได้แตะแม้แต่เสื้อของเด็กชายฐานะร่ำรวยคนนั้น จู่ๆ เขาก็ถูกอีกฝ่ายผลักออกอย่างป่าเถื่อน จากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรง!
เด็กอ้วนแซ่เฉิงรู้สึกเวียนหัวจากการล้มนั้นจนเห็นดาวในทันที
โชคร้ายที่เด็กชายยังไม่คิดที่จะหยุด เขายกขาสั้นๆ ของตัวเองขึ้นแล้วเหยียบลงไปบนท้องของเขา ความเย็นชาที่อยู่ในน้ำเสียงของเขาทำให้เด็กอ้วนแซ่เฉิงตัวสั่น ”นายคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองจะสู้ฉันได้”
เด็กอ้วนแซ่เฉิงงอตัวด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับระเบิดร้องไห้ออกมา
อาจารย์ประจำชั้นรีบมาที่ห้องเรียน และเห็นภาพแห่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเข้าพอดี ใบหน้าเล็กๆ ของเธอซีดเผือด เธอรีบยื่นมือออกไปช่วยพยุงเด็กอ้วนแซ่เฉิงลุกขึ้น อันที่จริงเธออยากอุ้มเขาขึ้นมาเองด้วยซ้ำ แต่เพราะร่างกายอันใหญ่โตของเด็กอ้วนแซ่เฉิง เธอจึงทำได้เพียงพยายามช่วยเขาให้ลุกขึ้นยืนอย่างสุดความสามารถแทนเท่านั้น
เวลานี้เมื่อมีผู้ใหญ่อยู่ด้วย เด็กอ้วนแซ่เฉิงจึงเริ่มร้องไห้หนักขึ้นอย่างน่าสงสาร ”ครูครับ ซ่างเสีย… เขา… แง! เขาตีผมครับ!”
อาจารย์ประจำชั้นตบหลังเขาเบาๆ เพื่อปลอบให้เขาสงบลง จากนั้นจึงหันไปทางไป๋หลี่ซ่างเสีย ”ซ่างเสีย เธอตีเขาได้ยังไงกัน”
“ครูครับ” ไป๋หลี่ซ่างเสียยิ้มให้กับเด็กอ้วนแซ่เฉิง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววตาอันตราย ”เขาเป็นคนทำร้ายผมก่อนต่างหาก ที่ผมทำก็แค่ป้องกันตัวเท่านั้น”
อาจารย์ประจำชั้นรู้สึกสับสนเมื่อได้ยินเขาบอกว่าเป็นการป้องกันตัว จากนั้นเธอก็หันมองขนาดตัวระหว่างเด็กทั้งสองคนแล้วเงียบไป
อย่างไรเด็กอ้วนแซ่เฉิงก็ตัวใหญ่เกินไปจริงๆ แค่ดูจากรูปร่างก็รู้ได้ว่าปกติเขาเป็นฝ่ายรังแกคนอื่นก่อนเสมอ
“ไม่ว่าเรื่องจะเป็นมาอย่างไร แต่เด็กๆ ก็ไม่ควรทะเลาะกันนะจ๊ะ” อาจารย์ประจำชั้นอยากให้ทั้งสองจับมือกันเพื่อคืนดี
แต่เด็กอ้วนแซ่เฉิงกลับแผดเสียงร้องไห้ออกมาดังกว่าเดิมเสียอีก ”ครูครับ ถ้าครูไม่ดุเขา ผมจะไปบอกพ่อว่ามีคนตีผมที่โรงเรียน แต่ครูไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง ผมจะบอกให้พ่อไล่ครูออก!”
นี่เป็นปีที่สองที่เธอได้เป็นอาจารย์ประจำชั้นของห้องนี้ เธออาจจะไม่ใช่คนที่มีความซื่อสัตย์ยุติธรรมมากนัก แต่อย่างน้อยเธอก็เป็นผู้หญิงจิตใจดี สีหน้าของเธออึมครึมขึ้นมาทันทีที่เด็กชายพยายามใช้ผู้ปกครองของตัวเองมาข่มขู่เธอ ”ถ้าอย่างนั้นไปบอกพ่อของเธอให้เขาไล่ครูออกได้เลย”
เด็กอ้วนแซ่เฉิงตกตะลึง เขาคิดว่าอาจารย์จะกลัวคำพูดเขา แต่คำขู่ของเขากลับไม่ได้ผลเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มสะอื้นต่อ
อาจารย์ประจำชั้นไม่คิดที่จะผูกใจเจ็บกับเด็กเพียงคนเดียว แต่เธอก็ไม่สามารถปล่อยให้เขาร้องไห้ต่อไปอย่างนี้ได้ ดังนั้นเธอจึงโทรศัพท์เรียกผู้ปกครองของเขามารับกลับ
เมื่อถึงคาบที่สาม เด็กอ้วนแซ่เฉิงก็หยุดร้องไห้ เขาไม่กล้ามองไป๋หลี่ซ่างเสียอีก ท้องของเขาปวดร้าวขึ้นมาทุกครั้งที่เขามองไปทางไป๋หลี่ซ่างเสีย
เด็กอ้วนแซ่เฉิงไม่เคยรู้สึกเสียใจมากขนาดนี้มาก่อน เขาเป็นผู้นำของกลุ่มเด็กๆ ในห้องนี้มาโดยตลอด แต่เขากลับกลายเป็นคนไร้ค่าไปในทันทีที่ไป๋หลี่ซ่างเสียมาถึง
ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขาถูกทำร้าย แต่คุณครูกลับไม่แม้แต่จะลงโทษไป๋หลี่ซ่างเสียด้วยซ้ำ
บ้าที่สุด! คำว่าป้องกันตัวเองหมายความว่าอะไร?!
สติปัญญาของเด็กอ้วนแซ่เฉิงไม่สามารถเทียบกับไป๋หลี่ซ่างเสียได้เลย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กคนอื่นๆ จะฉลาดเหมือนอย่างไป๋หลี่ซ่างเสีย
ยกตัวอย่างเช่น เสี่ยวชิงเฉิงที่นั่งกินอมยิ้มอยู่ที่โต๊ะของตัวเองพลางมองดูเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้นอย่างเงียบๆ จากนั้นเขาก็ยิบเค้กช็อกโกแลตที่เวยเวยคนสวยเตรียมไว้ให้ขึ้นมาพลางคิดกับตัวเองว่า ถ้าเข้าใจไม่ผิด คำว่า ”ป้องกันตัวเอง” ไม่น่าจะเป็นคำที่เด็กอายุสามขวบควรรู้นี่นา
ดูเหมือนเขาจะไม่ใช่ปีศาจไร้สติปัญญาไปเสียทีเดียว
เขาแฝงตัวเข้ากับมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เวยเวยคนสวยเคยพูดว่าปีศาจประเภทนี้เป็นประเภทที่รับมือยากที่สุด เพราะไม่รู้ว่ามันเพียงแค่อยากใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์หรือมีเจตนาร้ายกันแน่
ดังนั้นตราบใดที่ไป๋หลี่ซ่างเสียไม่ได้รบกวนเขา เขาก็จะไม่ทำอะไร
แต่เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ปีศาจไปเสียทีเดียว
ปีศาจมักจะมีกลิ่นฉุนแสบจมูกติดตัวอยู่เสมอ
นอกจากดูรวยล้นฟ้าแล้ว เด็กผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป
ยิ่งกว่านั้น เสื้อแจ็กเกตหนังตัวเล็กๆ ที่เขาสวมอยู่ก็ดูสวยดีทีเดียว
มันเป็นเสื้อแบบที่เสี่ยวชิงเฉิงอยากได้มาตลอด
“เสี่ยวเฮย นายมองตัวจริงของเขาออกหรือเปล่า” เสี่ยวชิงเฉิงถามเสียงเบาพร้อมกับพยายามอัญเชิญสุนัขปีศาจออกมา
แต่กลับมีบางอย่างผิดปกติ เพราะเสี่ยวเฮยไม่ยอมปรากฏตัวออกมา
เหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นนี้ทำให้เสี่ยวชิงเฉิงหันกลับไปมองไป๋หลี่ซ่างเสียอย่างระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม เขาเคี้ยวเค้กช็อกโกแลตด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่ภาพนั้นกลับยิ่งทำให้เขาดูน่ารักเป็นที่สุด
ปีศาจน้อยไป๋หลี่ซ่างเสียมีความลับที่คนไม่รู้อยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเขาชอบช็อกโกแลตอย่างมาก
โดยปกติแล้วเขาดูถูกมนุษย์อย่างกับอะไรดี แต่เมื่อเป็นเรื่องอาหารการกิน เขาจำต้องยอมรับว่ามนุษย์เก่งเรื่องทำอาหารจริงๆ พวกเขาถึงกับสามารถคิดค้นอาหารอันแสนโอชะอย่างช็อกโกแลตขึ้นมาได้
ต่อให้ไป๋หลี่ซ่างเสียจะมีเสน่ห์เพียงใด แต่เขาก็ยังเป็นแค่เด็ก
ไป๋หลี่ซ่างเสียใช้ดวงตาสีแดงเจิดจ้านั้นจ้องช็อกโกแลตตาเป็นมันตั้งแต่เสี่ยวชิงเฉิงหยิบมันออกมา
เสี่ยวชิงเฉิงย่อมสังเกตเห็นสายตานั้นเป็นธรรมดา เขาหยิบเค้กช็อกโกแลตขึ้นมาแล้วกินมันด้วยท่วงท่าสง่างามทีละคำโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ไป๋หลี่ซ่างเสียคิดว่าเด็กผู้ชายคนนี้ช่างไร้ความละเอียดอ่อนเสียนี่กระไร เขาหรี่ตาลงและวางแผนที่จะทำให้เสี่ยวชิงเฉิงกลายเป็นลูกน้องของตัวเอง เขาอยากรับเจ้าเด็กนี่มาเป็นลูกน้อง แต่ไม่ใช่เพราะเค้กช็อกโกแลตของเขาหรอกนะ!