ตอนที่ 870 การวางแผนของตระกูลเฝิง
ภายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถเมอร์เซเดส เบนซ์ของหลินม่ายก็ปรากฏขึ้นในเขตเจียฉู่ที่เป็นสถานที่ที่เฝิงเยว่จู๋อาศัยอยู่
หลายคนที่พบเห็นพยายามคาดเดาว่าใครขับรถหรูเช่นนี้เข้ามา
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เฝิงเยว่จู๋ต้องการ
หล่อนลงจากรถเมอร์เซเดส เบนซ์ด้วยสีหน้าภูมิใจเล็กน้อย ยิ่งสร้างความริษยาให้กับเหล่าเพื่อนบ้านในละแวกนั้นไม่จบสิ้น
ภายในบ้านทรุดโทรมของพวกเขา หงส์ทองคิดโบยบินแล้วงั้นหรือ?
หลินม่ายลงจากรถพร้อมกับเด็กในอ้อมแขน ส่วนฟางจั๋วหรานถือของขวัญไว้ในมือทั้งสองข้างเดินติดตามเฝิงเยว่จู๋เข้าไปด้านในบ้านตระกูลเฝิง ส่วนในมือของไป๋เซี่ยเองก็เต็มไปด้วยของขวัญเช่นกัน
ย่านที่อยู่อาศัยในเขตเจียฉู่นี้เป็นชุมชนสำหรับพนักงาน และเหล่าครัวเรือนเหล่านี้ก็มีโครงสร้างที่คล้ายคลึงกัน
เมื่อหลินม่ายมาถึงบ้านของเฝิงเยว่จู๋แล้ว ทั้งหมดก็เห็นว่าสภาพบ้านหลังนี้ตรงตามที่อีกฝ่ายพูด เพราะมันมีเพียงสองห้องเท่านั้น
ห้องหนึ่งเป็นครอบครัวพี่ชายคนโตของเฝิงเยว่จู๋อาศัยอยู่ อีกห้องหนึ่งเป็นของพ่อเฝิงและแม่เฝิง รวมถึงพี่น้องของเฝิงเยว่จู๋ พวกเขาอาศัยอัดกันอยู่ในเตียงสองชั้น ทำให้ทั้งห้องแน่นจนไม่มีพื้นที่สำหรับเดิน
มันเป็นพื้นที่เล็ก ๆ แต่กลับเต็มไปด้วยผู้คนกว่าเจ็ดถึงแปดคน
สมาชิกในตระกูลเฝิงกระตือรือร้นมากเมื่อเห็นว่าหลินม่ายพร้อมด้วยลูกทั้งสองมาถึง
บางคนก็รินชา บางคนก็หยิบถั่วลิสงพร้อมเมล็ดแตงโมออกมาเสิร์ฟ
เดิมทีห้องเหล่านี้มีขนาดเล็กอยู่แล้ว แต่เหล่าผู้ใหญ่ก็มักจะสูบบุหรี่และพ่นควันกันแบบอิสระ มันจึงทำให้บรรยากาศทั้งหมดค่อนข้างแย่เป็นพิเศษ
หลินม่ายไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปด้านในเพราะเกรงว่าเป่าเป่ากับโต้วโต้วจะถูกควันเหล่านี้ทำร้าย ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องการการต้อนรับจากตระกูลเฝิง
เธอให้ฟางจั๋วหรานวางของขวัญลง และกล่าวขอโทษเพราะมีเด็กน้อยมาด้วย เวลานี้จึงไม่สะดวกที่จะอยู่ในสถานที่แออัด เกรงว่าเด็กจะป่วยเพราะไม่มีภูมิคุ้มกัน ดังนั้นทั้งสี่คนจึงรีบจากไป
เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว ไป๋เซี่ยเองก็จากไปด้วยเช่นกัน
เขาไม่มีความสุขกับสภาพแวดล้อมของบ้านเฝิงเยว่จู๋เลยสักนิด สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาตื่นตระหนกไม่น้อย และไม่ต้องการจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป
ตระกูลเฝิงต้องการให้หลินม่ายและคนอื่น ๆ รีบออกไปโดยเร็วเช่นกัน เพื่อที่พวกเขาจะได้ถามเฝิงเยว่จู๋เกี่ยวกับการไปเยี่ยมบ้านตระกูลไป๋ครั้งแรก
พ่อเฝิงแสร้งทำตัวมีเหตุผล พวกเขาไม่เพียงแต่จะไม่ตำหนิหลินม่ายและสามีที่จากไปทันทีที่มาถึง แต่ยังกล่าวขอโทษถึงสภาพที่เลวร้ายภายในครอบครัวด้วย
พวกเขาเดินมาส่งครอบครัวหลินม่ายและคนอื่น ๆ ออกไป ก่อนจะมองดูรถที่ขับออกไปลับตา แล้วรีบกลับเข้ามาในบ้านทันที
ทันทีที่ปิดประตูลง พ่อเฝิงแม่เฝิง ญาติพี่น้องทั้งหมดในตระกูลเฝิงก็นั่งล้อมรอบเฝิงเยว่จู๋ และถามหล่อนเกี่ยวกับเรื่องราวในตระกูลไป๋
เฝิงเยว่จู๋ตอบกลับอย่างมีเลศนัย “พวกคุณไม่อยากรู้เหรอว่าน้องสาวของไป๋เซี่ยเป็นใคร?”
ทุกคนตอบว่า “หล่อนดูหน้าคุ้น ๆ นะ แต่ฉันก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน”
ในยุคนี้ไม่มีอินเทอร์เน็ต และหลินม่ายไม่ได้ปรากฏตัวในหนังสือพิมพ์หรือทีวีบ่อยนัก
คนแก่ในตระกูลเฝิงไม่ได้ติดตามข่าวสาร ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเพียงว่าหน้าคุ้น แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร
เฝิงเยว่จู๋กะพริบตาด้วยความภูมิใจ “น้องสาวของไป๋เซี่ยเป็นนักร้องชื่อหลินม่าย หล่อนเป็นเจ้าของเพลงชีวิตที่เบ่งบาน และยังเป็นเจ้าของห้องเสื้อจิ่นซิ่วด้วย”
เมื่อผู้คนในตระกูลเฝิงรู้ว่าหลินม่ายคือเจ้าของว่านถงกรุ๊ป พวกเขาก็ตกตะลึง ไม่คิดว่าหลินม่ายจะมีอำนาจมากขนาดนั้น
เพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องราวของว่านถงกรุ๊ปเลย จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่เข้าใจ
แต่ถ้าบอกว่าหลินม่ายเป็นเจ้าของห้องเสื้อจิ่นซิว พวกเขาถึงเข้าใจชัดเจน เพราะห้องเสื้อจิ่นซิวมีชื่อเสียงมาก
แน่นอนว่าในเวลานี้ทั้งครอบครัวต่างฮือฮา “เยว่จู๋ ทำไมเธอโชคดีจัง? เธอได้คบหากับครอบครัวใหญ่แล้วจริง ๆ”
ในแววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา
ญาติคนหนึ่งกล่าวแผ่วเบาว่า “แล้ววันนี้เธอไปที่บ้านตระกูลไป๋ พวกเขาสนใจเธอไหม?”
เฝิงเยว่จู๋พยักหน้า “พวกเขาชอบฉัน ลุงไป๋ยังต้องการเชิญให้พ่อกับแม่ของฉันไปรับประทานมื้อเย็น และพูดคุยกันเรื่องการแต่งงานของฉันกับไป๋เซี่ย”
พ่อเฝิงและแม่เฝิงได้ยินอย่างนั้นยิ่งยินดี แต่เหล่าญาติพี่น้องกลับมีความรู้สึกอื่นที่ซับซ้อนยิ่งกว่าผุดขึ้นมา
เพราะพวกเขาส่วนใหญ่ต้องการได้ยินว่าเฝิงเยว่จู๋ถูกเหยียดหยามจากตระกูลไป๋มากกว่า ทั้งหมดล้วนอยากจะรับชมเรื่องตลกของอีกฝ่าย
พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าตระกูลไป๋จะชื่นชอบที่ไป๋เซี่ยมีความสัมพันธ์กับเฝิงเยว่จู๋ง่ายดายเช่นนี้
กล่าวได้ว่าสาวน้อยเฝิงเยว่จู๋คนนี้โชคดีนัก
ญาติบางคนเอ่ยปากถามด้วยความอิจฉา “พ่อสามีในอนาคตของเธอเป็นถึงประธานเลขาธนาคารใหญ่ และว่าที่น้องสามียังเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ คราวนี้เธอคงจะได้รับสินสอดมากมายหลังจากแต่งงานเข้าสู่ตระกูลไป๋สินะ?”
แม้เฝิงเยว่จู๋จะไม่ค่อยพอใจกับเงินรับขวัญที่ตระกูลไป๋มอบให้ แต่ก็ยังต้องรักษาใบหน้าของตนเองโดยแสร้งทำเป็นยินดี
หล่อนกล่าวตอบกำกวม “ไม่มากเท่าไหร่หรอกค่ะ”
ญาติเหล่านั้นไม่ได้รู้สึกอะไร เพียงแต่นึกคิดว่าหล่อนคงจะไม่อยากเปิดเผยข้อมูลเฉพาะพวกนั้น
และเพราะหล่อนปฏิเสธที่จะเปิดเผยมันตรงๆ เช่นนี้ตระกูลไป๋คงจะมอบสินสอดมากมายจริง ๆ
ในแววตาของทุกคนพลันร้อนผ่าวขึ้นมา ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะหดหู่ใจ
ลูกสาวของครอบครัวอื่นสามารถปีนขึ้นกิ่งไม้สูงได้ แต่ลูกสาวของครอบครัวตนไม่อาจแต่งงาน ใครกันเล่าจะรู้สึกยินดี?
ญาติพี่น้องทั้งหลายพูดคุยกันสักครู่ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
หากพวกเขาต้องอยู่ที่นี่ต่อไป ทั้งหมดจะไม่สามารถควบคุมสีหน้าไม่ให้ริษยาได้ เพราะสุดท้ายแล้วทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความอิจฉาและเกลียดชังในใจ
พ่อเฝิงและแม่เฝิงก็ต้องการให้ญาติเหล่านี้จากไปโดยเร็ว เพราะอยากจะพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
หลังจากที่ญาติทั้งหมดออกไปแล้ว แม่เฝิงปิดประตูลงกลอนแน่นหนาทันที
จากนั้นจึงหันกลับมาเอ่ยปากถามเฝิงเยว่จู๋ว่า “พ่อกับน้องสามีของแกให้สินสอดเท่าไหร่?”
เวลานี้พี่ชายใหญ่ พี่สะใภ้ และน้องชายกำลังจ้องมองเฝิงเยว่จู๋ด้วยความคาดหวัง แววตาของพวกเขาเปล่งประกาย
เมื่ออยู่ต่อหน้าครอบครัว เฝิงเยว่จู๋จึงไม่ต้องปิดบังอะไร
อีกทั้งยังต้องการให้พ่อกับแม่แนะนำบางอย่าง
หล่อนนั่งลงบนเตียงด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “อย่าพูดเรื่องนั้นเลยค่ะ ตระกูลไป๋ทั้งหมดนั้นไร้ค่าและไร้น้ำยาจริง ๆ พวกเขาร่ำรวยมากอย่างเห็นได้ชัด แต่ลุงไป๋กลับมอบเงินให้ฉันแค่ 500 หยวน”
พี่สะใภ้เอ่ยปากบ่นพึมพำ “แต่เงินรับขวัญเท่านี้ก็นับว่าค่อนข้างมากเลยทีเดียว ตอนที่ฉันแต่งงานกับตระกูลเฝิงของเธอ พ่อแม่ของเธอให้สินสอดฉันแค่ 30 หยวนด้วยซ้ำ”
เมื่อเห็นว่าภรรยาของตนกำลังรื้อฟื้นเรื่องเก่า พี่ใหญ่เฝิงรีบใช้ศอกสะกิดให้หล่อนหยุดปากโดยเร็ว
แม่เฝิงยังไม่สนใจถ้อยคำเหล่านั้น ก่อนจะถามเฝิงเยว่จู๋ต่อว่า “แล้วน้องสะใภ้ที่เป็นผู้บริหารใหญ่ล่ะ หล่อนให้เท่าไหร่?”
เมื่อเฝิงเยว่จู๋ได้ยินอีกฝ่ายถามถึงหลินม่าย หล่อนก็ยิ่งไม่พอใจ “หล่อนใจดำและขี้เหนียวที่สุดในตระกูลไป๋แล้ว ให้เงินรับขวัญฉันเพียง 300 หยวนเท่านั้นแหละ”
ใบหน้าของแม่เฝิงพลันมืดมนทันที “นั่นไม่ใช่เพราะหล่อนขี้เหนียวหรือใจดำ เป็นเพราะหล่อนไม่ชอบแกมากกว่า! ไม่แปลกใจเลยที่หล่อนจะปฏิเสธที่จะเหยียบบ้านของเรา แต่ใช้เด็กน้อยเป็นข้ออ้าง คงคิดว่าพวกเราโง่มากสิท่า!”
พ่อเฝิงเห็นแล้วว่าแม่เฝิงโกรธจัดและพร้อมดุด่าผู้อื่นในทันที เวลานี้จึงกล่าวโน้มน้าว “แน่นอนว่าคนรวยพวกนั้นย่อมดูถูกคนจนอย่างเรา แต่เราอย่าได้โกรธเกลียดพวกเขาเลย กลืนกินความเจ็บปวดนี้ไว้เถอะ มิฉะนั้นพวกเราจะต้องทุกข์ทรมานแทน”
ส่วนน้องชายของเฝิงเยว่จู๋รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ผมอยากให้พี่สาวขอทุนการศึกษาจากตระกูลไป๋ หลังจากผมเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่เพราะสมาชิกตระกูลไป๋ขี้เหนียวมาก แผนของผมคงจะต้องล้มเหลวแล้วล่ะ”
แม่เฝิงโบกมือก่อนจะพูดขึ้นว่า “อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้นเลย เราจะคุยรายละเอียดกันหลังจากที่ได้พบเจอพ่อสามีในอนาคตของพี่สาวแก”
แต่จู่ ๆ เฝิงเยว่จู๋ก็กังวลขึ้นมา “แม่คะ! แม่คงไม่คิดเสนอให้ลุงไป๋จ่ายค่าเรียนในต่างประเทศเป็นเงื่อนไขในการแต่งงานของฉันกับไป๋เซี่ยหรอกนะคะ!”
“แน่นอน ครอบครัวของพวกเขาร่ำรวยขนาดนั้น พวกเขาจะไม่ช่วยเราเหรอ?”
ทันทีที่แม่เฝิงพูดออกไปอย่างนั้น พ่อเฝิงสวนกลับอย่างรวดเร็ว “คุณคิดอะไร? ลูกชายของคุณอยากจะไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่คุณกลับอยากให้ลูกเขยช่วยออกค่าใช้จ่าย? เรื่องนี้… มันเหมาะสมแล้วเหรอ?”
แม่เฝิงเท้าสะเอว ก่อนจะพูดว่า “แล้วถ้าไม่ให้ลูกเขยจ่าย คุณมีปัญญาจ่ายไหม?”
“ใช่ เราไม่มีปัญญาจ่าย แต่ลูกเขยของเราไม่มีเงินไม่ใช่หรือไง? ไปเซี่ยกำลังจะเรียนจบในฤดูร้อนที่จะถึงนี้ และเมื่อเขาได้ทำงานเป็นช่างเทคนิคระดับสูงทางธรณีวิทยา เขาย่อมมีรายได้สูงเหมือนกัน แล้วคุณรู้ไหมล่ะว่าช่างสำรวจทางธรณีวิทยาภาคสนามมีรายได้เดือนละเท่าไหร่?”
แม่เฝิงถามกลับ “เท่าไหร่?”
พ่อเฝิงชูสามนิ้วขึ้นมา “300 หยวน นี่เป็นเงินเดือนเริ่มต้นเมื่อเขาได้ทำงาน หลังจากที่เขาทำงานในทีมสำรวจธรณีวิทยาสองปี จึงจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นวิศวกร และเวลานั้นจึงจะได้รับเงินเดือน 500 หยวนต่อเดือน แล้วถึงตอนนั้นคุณยังกลัวว่าจะไม่มีเงินส่งลูกเรียนต่างประเทศอีกหรือ?”
แม่เฝิงตบต้นขาดังฉาดก่อนจะพูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว เราจะให้ครอบครัวลูกเขยของเราจ่ายเงินให้เสี่ยวเฝิงไปเรียนต่อต่างประเทศไม่ได้ แต่เราสามารถให้ลูกเขยช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของเสี่ยวเฟิงตอนที่ไปเรียนต่างประเทศได้”
เฝิงเยว่จู๋รู้สึกไม่ค่อยมีความสุขนัก หล่อนพูดออกไปอย่างลังเล “แต่งานสำรวจธรณีวิทยาภาคสนามเป็นงานหนักสำหรับไป๋เซี่ยนะคะ”
แม่เฝิงใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากของลูกสาว “ยังไม่ทันจะแต่งงานก็รักครอบครัวสามีมากกว่าแล้ว ถ้าไป๋เซี่ยไม่เป็นช่างสำรวจธรณีวิทยาภาคสนาม แล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนมาส่งให้น้องชายแกไปเรียนต่อ?”
เฝิงเยว่จู๋ไม่กล้ากล่าวโต้เถียง เวลานี้หล่อนลูบหน้าผากที่ถูกแม่จิ้มอย่างเจ็บปวด
น้องชายของหล่อนมีความรู้เพียงหางอึ่ง สิ่งที่อาจารย์พร่ำสอนในระดับมัธยมเขายังไม่เข้าใจด้วยซ้ำ แต่เขากลับกล้าหาญคิดเรื่องการไปต่างประเทศ
แม่เฝิงขอให้เฝิงเยว่จู๋บอกกล่าวกับไป๋เซี่ยว่าครอบครัวฝั่งตนจะไปพบพ่อแม่ของอีกฝ่ายในวันเทศกาลโคมไฟ
ความจริงแล้ว พวกเขาคาดหวังว่าจะได้พบพ่อไป๋ในวันรุ่งขึ้นด้วยซ้ำ และต้องการจัดงานแต่งงานให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ทั้งหมดก็เพื่อผลประโยชน์ที่คาดหวังว่าจะได้รับ
แต่แม่เฝิงกังวลว่าหากแสดงออกมากเกินไป ตระกูลไป๋จะยิ่งเหยียดหยามพวกตนมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงเลือกกำหนดเป็นวันเทศกาลโคมไฟแทน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทำท่าจะเกาะครอบครัวผู้ชายได้แล้วฝันหวานกันยกใหญ่ ระวังผิดหวังขึ้นมาแล้วจะเจ็บหนักนะ
ไหหม่า(海馬)