ลู่หมิงพูดอย่างง่ายๆ แต่ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังกลับเห็นทั้งความรุ่งโรจน์และความร่วงโรยจากคำพูดของเขา
“ตระกูลหลี่ คือตระกูลของหลี่มู่ใช่หรือไม่” เป่ยกงถังถาม
“ใช่แล้ว” ลู่หมิงพูด “ตระกูลหลี่เป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งแห่งอาณาจักรนางแอ่นอุดร อีกทั้งยังเป็นตระกูลนักหลอมยาอีกด้วย ท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งของข้าเคยไม่ลงรอยกันกับตระกูลหลี่ หลังจากเขาสิ้นลม ตระกูลหลี่ก็เป็นอริกับพวกเรามาโดยตลอดเลย”
“ดังนั้นที่หลี่มู่ทำร้ายเจ้าในคราวนี้ก็มิใช่เรื่องบังเอิญน่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางตัวเองพลางเอ่ยขึ้น
“ใช่แล้ว เพราะว่าข้าพรสวรรค์พอใช้ได้ ดังนั้นจึงได้เข้าสมาคมนักหลอมยา แต่หลังจากเข้าไปแล้วก็ถูกหลี่มู่กดดันมาโดยตลอด ทั้งยังถูกเขาทำร้ายอีกด้วย” พอลู่หมิงพูดถึงหลี่มู่ สีหน้าก็ฉายแววโกรธแค้น “ใช่แล้ว พวกเจ้ามิได้มาที่เมืองวิเศษกันเป็นครั้งแรกหรอกหรือ เหตุใดจึงไม่ลงรอยกับหลี่มู่ได้เล่า”
“เขาเคยพาคนไปหาเรื่องพวกเราตอนอยู่ที่เขาภาพมังกร จึงถูกข้าต่อยตีอย่างหนักหน่วงยกหนึ่ง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ไม่ใช่สิ ข้าต่อยตีอู๋เฟิง ผู้ติดตามของเขาจนมารดาเขาจำลูกตัวเองไม่ได้ต่างหาก หลังจากนั้นก็เอาชนะเขาตอนหลอมยาได้”
“เจ้าเอาชนะหลี่มู่ได้อย่างนั้นหรือ” ลู่หมิงอุทานอย่างตกใจ
“ใช่แล้ว อย่างสบายๆ เลยละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
พี่น้องลู่หมิงมองเธอราวกับมองตัวประหลาด
พวกเขาเติบใหญ่ขึ้นมาในเมืองวิเศษแห่งนี้ ย่อมต้องรู้ถึงความสามารถของหลี่มู่เป็นอย่างดี แต่เธอกลับเอาชนะเขาได้อย่างสบายๆ เช่นนั้นเธอจะร้ายกาจสักเพียงใดกัน!
“ข้าเห็นว่าด้านนอกเรือนพวกเจ้ามีร่องรอยการขนย้ายใหม่ๆ อยู่มากมาย นั่นมันเรื่องอันใดกันหรือ” เป่ยกงถังถาม
“ล้วนเป็นฝีมือคนชั่วพวกนั้นทั้งสิ้น จะให้พวกเรามอบเคล็ดวิชาลับการหลอมยาวิเศษของตระกูลให้ พอพวกเราไม่ยอมมอบให้ พวกเขาก็บอกว่าพวกเราซ่อนเอาไว้ในข้าวของเหล่านี้ แล้วยกเอาภูเขาจำลองและอะไรต่อมิอะไรของพวกเราไปจนหมด รวมทั้งเครื่องเรือนของพวกเราด้วย นอกจากม้านั่งไม่กี่ตัวนี้ สิ่งอื่นล้วนถูกยกไปจนจะหมดอยู่แล้ว” ลู่ยวนพูดอย่างชิงชัง
“พวกนั้นเป็นใครกันหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังจนคำพูด มิน่าเล่าในเรือนของพวกเขาจึงแทบจะไม่หลงเหลือสิ่งใดอยู่เลย
“จะยังเป็นใครได้อีกเล่า ก็เจ้าพวกที่ติดตามเกาะแกะหลี่มู่นั่นปะไร!” ลู่หมิงกำหมัดแน่น “สักวันหนึ่งข้าจะต้องเหยียบย่ำพวกมันเอาไว้ใต้ฝ่าเท้าให้จงได้! คืนความอัปยศที่พวกมันให้พวกเรามากลับไปให้หมด!”
“เฮอะ มิใช่ว่าคนพวกนั้นกลัวพี่ใหญ่หรอกหรือ ถึงได้มายกข้าวของตอนที่พี่ใหญ่ออกไปเสาะหาสมุนไพรให้พี่รองทุกครั้ง หมายจะบีบให้พวกเราออกไปจากเมืองวิเศษ!” ลู่ยวนพูด “แต่เหตุใดพวกเขาจึงยังไม่กลับมากันอีกเล่า คงจะมิได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรอกกระมัง”
“วางใจเถิด พวกเขาต้องไม่เป็นไรอยู่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ
สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของพวกซือหม่าโยวเล่อก็รวดเร็วมากเช่นเดียวกัน จะต้องไล่ตามเขาได้ทันแน่
“ปึง…”
ประตูใหญ่ของบ้านตระกูลลู่ถูกเตะเปิดออกในทันใด กลุ่มคนท่าทีไม่น่าไว้ใจเข้ามาจากด้านนอกพลางเอ่ยว่า “เจ้าพวกตระกูลลู่ พวกเจ้าคิดดีแล้วหรือยัง สรุปแล้วจะยอมมอบเคล็ดวิชาลับออกมาหรือไม่”
“คนพวกนั้นมากันอีกแล้ว!” ลู่ยวนกระทืบเท้าแล้ววิ่งออกไป เมื่อเห็นผู้มาจึงด่าทอว่า “พวกเจ้ามากันอีกแล้ว! ข้าวของในบ้านเราถูกพวกเจ้าชิงไปจนจะหมดอยู่แล้ว พวกเจ้าจะมาทำอะไรกันอีก!”
“พวกเรายังไม่ได้ของของเจ้าเลย ก็ต้องมาอีกอยู่แล้วละ!”
“พวกเจ้าช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!”
“พูดมาสิ สรุปแล้วจะมอบให้หรือไม่” ชายที่เป็นหัวหน้าถามขึ้น
“บอกพวกเจ้าไปเป็นร้อยรอบแล้วว่าพวกเราไม่มีเสียหน่อย พวกเจ้าจงใจหาเรื่อง พวกเราก็เลยเล่นเป็นเพื่อน!” ลู่ยวนพูดอย่างหยิ่งยโส
“เฮอะ ไม้อ่อนไม่ชอบ ต้องให้ใช้ไม้แข็ง! ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมมอบให้ดีๆ เช่นนั้นพวกเราก็ต้องยกข้าวของกลับไปตรวจสอบเองน่ะสิ!”
“พวกเราไม่มีข้าวของจะให้พวกเจ้ายกแล้วนะ”
“จริงหรือ” ชายหนุ่มผู้นั้นกวาดตามองรอบหนึ่งก็พบว่าภายในเรือนไม่มีของเหลือแล้วจริงๆ สุดท้ายสายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่ตัวบ้านแล้วเอ่ยว่า “มานี่ แยกส่วนบ้านให้ข้าแล้วยกกลับไปเสีย!”
“ใครกล้าก็มาสิ!” ลู่หมิงออกมาจากในบ้านพลางถลึงตาใส่พวกเขา
คนเหล่านั้นเห็นว่าบาดแผลบนมือลู่หมิงหายดีแล้วจึงประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่ก็ยังยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่ามือของเจ้าจะหายดีแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะหาต้นหญ้าแรดอายุสองร้อยปีพบแล้วสินะ แต่ลู่หมิงเอ๋ย ต่อให้บาดแผลของเจ้าหายดี เจ้าก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราพี่น้องอยู่ดี ข้าแนะนำว่าพวกเจ้ารีบมอบเคล็ดวิชาลับออกมาดีกว่า จากนั้นก็รีบไสหัวไปจากเมืองวิเศษเสีย แล้วพวกเราจะไว้ชีวิตพวกเจ้าก็ได้!”
“แล้วถ้าข้าไม่ยอมเล่า” ลู่หมิงพูดอย่างเย็นชา
“ถ้าหากไม่ยอม วันนี้เราจะรื้อบ้านพวกเจ้าเสีย หลังจากนั้นก็จะทำให้พวกเจ้าพิการแล้วโยนออกไปเลย!”
“ปากดีเสียเหลือเกินนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์แค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชา
เธอและเป่ยกงถังเดินออกมา เมื่อหัวหน้าผู้นั้นได้เห็นก็ตาค้างไปในทันที น้ำลายจวนเจียนจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ
“วันนี้พวกเจ้าจะไม่มอบให้ก็ได้นะ แต่ต้องส่งตัวหญิงสาวผู้นั้นให้พวกเรา พวกเราก็จะยอมกลับไปแล้วให้เวลาพวกเจ้าไตร่ตรองกันอีกสักสองสามวัน”
“หยุดคิดไปได้เลย!” ลู่หมิงด่าทอ
“เฮอะ! ช่างกล้าดีนักนะ มาคิดมิดีมิร้ายกับข้า!” เป่ยกงถังแค่นเสียงเฮอะ
“คนงามจ๋า เจ้าตามพวกเราไปจะดีกว่านะ อย่ามัวสานสัมพันธ์กับตระกูลลู่ มีแต่การติดตามพวกเราไปเท่านั้นจึงจะอยู่ที่เมืองวิเศษแห่งนี้ต่อไปได้!” ชายหนุ่มผู้นั้นมองเป่ยกงถังด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“อยากให้ข้าไปกับพวกเจ้าหรือ” แววตาเยียบเย็นของเป่ยกงถังราวกับมองคนตายอยู่ นางเอ่ยว่า “กลัวแต่ว่าข้ากล้าไปกับพวกเจ้า แต่พวกเจ้าจะไม่มีชีวิตรอดมาอยู่กับข้าน่ะสิ!”
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปกอดเอวเป่ยกงถังพลางเอ่ยว่า “ข้ารังเกียจการที่ผู้อื่นมาหมายตาผู้หญิงของข้าที่สุดเลย พวกเจ้าว่าข้าจะควักลูกตาพวกเจ้าออกมา หรือทำให้พวกเจ้าพิการแล้วโยนออกไปดีเล่า!”
“ฮ่าๆๆ ปากดีเหลือเกินนะ! ที่เมืองวิเศษแห่งนี้ไม่เคยมีใครกล้าพูดจาเช่นนี้มาก่อนเลย!” ชายหนุ่มผู้นั้นหัวเราะเสียงดังลั่น ผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังของเขาก็หัวเราะไปพร้อมกันด้วย
“จริงหรือ เช่นนั้นวันนี้เจ้าก็ได้ฟังแล้วสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ไม่ว่าวันนี้พวกเจ้าจะมาปล้นชิงตระกูลลู่ หรือคิดจะมาชิงตัวผู้หญิงของข้าก็เถอะ จงรีบไสหัวไปก่อนที่ข้าจะบันดาลโทสะดีกว่านะ!”
ชายหนุ่มผู้นั้นพรั่นพรึงกับกลิ่นอายของซือหม่าโยวเย่ว์ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเจ้าถิ่นของที่นี่ เมื่อนึกถึงผู้หนุนหลังของตนจึงค่อยสงบลงแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเด็กน้อย ข้าเป็นถึงลูกน้องของใต้เท้าหลี่มู่ เจ้ากล้าลงมือกับพวกเรา แล้วคิดจะรับมือกับใต้เท้าหลี่มู่เช่นไรเล่า”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองท้องฟ้าแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อให้โอกาสแล้วพวกเจ้าไม่รับไว้ เช่นนั้นข้าก็จะสนองให้พวกเจ้าเอง!”
พอพูดจบ ร่างกายเธอก็วูบไหวแล้วมาถึงตรงหน้าพวกเขาตั้งแต่ตอนที่ทุกคนยังไม่ได้สติกลับคืนมา ก่อนจะยกเท้าขึ้นเตะคนเหล่านั้นออกไป
“โครม… โครม… โครม…”
คนเหล่านั้นถูกเธอเตะลอยกระเด็นกระแทกพื้นกันหมด แต่ละคนกุมท้องพลางร้องโอดโอย
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปแล้วเหยียบบนท้องของผู้ที่เป็นหัวหน้าพลางเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้ารังเกียจอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือมีคนคิดไม่ดีต่อข้าและคนข้างกายข้า สองคือมีคนมาพูดต่อหน้าข้าว่าเป็นคนของหลี่มู่ เข้าใจแล้วหรือยังเล่า”
“เจ้าเด็กน้อย หากเจ้ามีปัญญาก็ประกาศชื่อตัวเองออกมาสิ กล้าไม่เห็นใต้เท้าหลี่มู่อยู่ในสายตา เจ้าต้องอยู่ในเมืองวิเศษแห่งนี้ต่อไปไม่ได้แน่!” คนผู้นั้นพูดพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“จริงหรือ เช่นนั้นเจ้ากลับไปบอกหลี่มู่ทีสิว่าข้า ซือหม่าโยวเย่ว์ อยู่ที่นี่ รีบมาเรียกข้าว่าลูกพี่เสีย! ไสหัวไปสิ!”
พอพูดจบเธอก็เตะพวกเขาทั้งหมดออกไปอีกครั้ง
“เจ้าเด็กน้อย ฝากไว้ก่อนเถิด!” คนพวกนั้นร้องก่อนจะวิ่งหนีไป
“ศิษย์น้อง เจ้าช่างหยาบคายเสียจริง” น้ำเสียงอ่อนโยนดังมาจากบนหลังคา