“ท่านอาจารย์ พวกเรามิได้เป็นดินแดนเพียงแห่งเดียวหรอกหรือ แล้วเหตุใดจึงกลายเป็นสถานที่กักขังไปได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์จนคำพูด
“ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ตอนนี้พอเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว” มารเฒ่าพูด “เพราะที่นี่สะกดอสูรร้ายเอาไว้กระมัง ดังนั้นจึงต้องผนึกสถานที่แห่งนี้เอาไว้ ถึงแม้ว่าพวกมันจะหนีออกไปได้ก็มิอาจทำร้ายดินแดนอื่นได้อยู่ดี”
“ท่านหมายถึงเจ้าตัวที่อยู่ใต้เทือกเขาหมื่นอสูรนั่นน่ะหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงมองมารเฒ่าแล้วเอ่ยถาม “ท่านอาจารย์ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยถามท่านเลยว่าพอท่านลงไปในทะเลสาบแล้วท่านเจออะไรบ้างหรือ ได้เห็นเจ้าตัวที่ถูกสะกดเอาไว้หรือไม่”
“น่าจะใช่กระมัง” มารเฒ่าพูดถึงเรื่องนี้แล้วท่าทีเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาในทันที เขาเอ่ยว่า “ความจริงแล้วข้ามิได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสะกดเอาไว้หรอก”
“อะไรนะ!”
คราวนี้ไม่เพียงแค่ซือหม่าโยวเย่ว์เท่านั้นที่ตกใจ แม้กระทั่งอูหลิงอวี่ก็ยังหน้าถอดสี “ตาเฒ่า สิ่งมีชีวิตที่ถูกสะกดเอาไว้ข้างล่างนั่นร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
มารเฒ่าพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ข้าว่าก่อนหน้านี้เจ้าสิ่งมีชีวิตนั่นคงจะร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง จนถึงตอนนี้ข้ายังเอาชนะมันไม่ได้เลย แม้แต่กลิ่นอายของมันก็ทำให้ข้าหวาดหวั่นแล้ว ยิ่งเข้าไปก็ยิ่งเกิดความรู้สึกเช่นนั้น”
“ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว!” ซือหม่าโยวเย่ว์คางแทบจะร่วงลงพื้นอยู่แล้ว
อูหลิงอวี่ตกใจยิ่งกว่าซือหม่าโยวเย่ว์เสียอีก เพราะเขาล่วงรู้ความสามารถของมารเฒ่าเป็นอย่างดี แม้กระทั่งเขายังพูดเช่นนี้ ที่แท้แล้วเจ้าสิ่งที่อยู่ข้างล่างนั่นมันคือสิ่งใดกันแน่!
“ความจริงแล้วข้ารู้สึกว่าข้าเพิ่งไปได้เพียงแค่ครึ่งทางเท่านั้นเอง” มารเฒ่าพูด “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าไก่ฟ้า ข้าพบเขาบริเวณที่ขีดจำกัดของข้าจะทนรับไหว เขาเดินเข้าไปได้ถึงที่นั่นเลยทีเดียว”
“ท่านอาจารย์ ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจสิ เจ้าสิ่งนั้นร้ายกาจถึงเพียงนี้ ถ้าหากวันไหนมันออกมา พวกเราก็จบเห่เลยสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ้าวางใจเถิด กว่ามันจะออกมาก็คงอีกนาน พวกเจ้ายังไม่เจอกับมันตอนนี้หรอก” มารเฒ่าพูด
“ในเมื่อยังเร็วเกินไป ตอนนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้เลยนะ คิดเรื่องไปที่โลกย่อส่วนก่อนจะดีกว่า” อูหลิงอวี่พูด
ตอนนี้ให้เธอคิดเรื่องเหล่านี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งยังจะรบกวนสมาธิในการฝึกยุทธ์ของเธออีกด้วย
พูดถึงโลกย่อส่วน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็หดหู่ใจนัก ที่นี่คือสถานที่กักขัง ทั่วทั้งดินแดนก็ใช่เช่นกัน ทั้งยังปิดผนึกห้วงมิติอีก ทำให้ทรัพยากรในการบำเพ็ญของพวกเขาน้อยลงไปเป็นอันมาก ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“ในเมื่อพวกท่านบอกว่าไม่มีทางเข้าที่ดินแดนแห่งนี้ แล้วข้าจะเข้าไปได้อย่างไรกันเล่า”
“เจ้ามันช่างโง่งมนัก ไม่คิดเสียบ้างเลยว่าข้าเป็นใคร!” มารเฒ่าพูด “ต่อให้ไม่มีทางเข้า ข้าก็ต้องหาทางเข้าให้เจ้าจนได้อยู่ดี”
“ท่านอาจารย์ช่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรนัก!” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางเอ่ยอย่างประจบประแจง
เธอจะไม่รู้ได้อย่างไร พวกมารเฒ่าพูดเรื่องนี้กับเธอ ย่อมต้องคิดหาหนทางเอาไว้ให้เธอแล้ว เพียงแต่เธอทำอะไรตามลำพังเสียจนเคยชิน คอยคิดหาหนทางเอาเองอยู่ตลอด หรือไม่ก็พาพวกเจ้าอ้วนชวีไปด้วย ตอนนี้มีคนคิดหาลู่ทางฝึกฝนให้เธอ ทำให้เธอซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งโดยแท้จริง
“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่นะ ข้าจะกลับไปดูก่อน” มารเฒ่าพูดพลางใช้สองมือร่ายคาถา ทางเดินเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขา พอเขาเข้าไปแล้วทางเดินนั้นก็ประสานติดกันดังเดิม
“ท่านอาจารย์กลับไปยังดินแดนโบราณแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างอิจฉา
“รอให้พลังยุทธ์ของเจ้าถึงขั้นแล้ว เจ้าก็จะสร้างทางเดินเช่นนี้ได้เหมือนกัน” อูหลิงอวี่พูด “ตอนนี้ข้าจะเล่าข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนและโลกย่อส่วนเหล่านั้นให้เจ้าฟังก่อนก็แล้วกัน”
“ดี”
หลังจากฟังข้อมูลอูที่หลิงอวี่สรุปให้ตนฟัง ซือหม่าโยวเย่ว์ถึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วดินแดนที่พวกตนอยู่นี้ย่ำแย่เพียงใด!
เธอรู้สึกว่าหลังจากที่ออกมาแล้ว ปราณวิญญาณของสี่อาณาจักรใหญ่นี้ก็เข้มข้นพออยู่แล้ว แต่อูหลิงอวี่บอกว่าที่นี่มีปราณวิญญาณเบาบางที่สุดในทุกดินแดนเท่าที่เขาเคยเห็นมา
เธอรู้สึกว่าตนเลื่อนระดับขั้นได้อย่างรวดเร็วอยู่แล้ว แต่อูหลิงอวี่บอกว่าคนในดินแดนอื่นก็มิได้ช้าไปกว่าเธอสักเท่าใดนัก
พรสวรรค์ที่แท้จริงต้องดูหลังจากระดับเทพเป็นต้นไป เพราะคนที่มีพรสวรรค์ไม่เลวจำนวนมาก หลังจากไปถึงระดับเทพแล้ว กว่าจะเลื่อนได้สักหนึ่งระดับขั้นย่อยนั้นต้องใช้ระยะเวลายาวนานอย่างยิ่ง แต่ก็มีบางคนที่ร้ายกาจได้เป็นยอดฝีมือตั้งแต่ยังเยาว์วัยเช่นเดียวกับอูหลิงอวี่ ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
ซือหม่าโยวเย่ว์เสียขวัญอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งแล้ว ตอนนี้ถึงเพิ่งจะรู้สึกว่าตนเองนั้นยังอ่อนหัดนัก!
“เจ้าก็อย่าเพิ่งเสียขวัญไปเลยนะ พลังการต่อสู้ของเจ้านั้นหากเทียบกับระดับเดียวกันก็นับได้ว่าไร้คู่ต่อสู้แล้ว บวกกับสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาเหล่านั้นของเจ้า เจ้าจะเดินวางก้ามในโลกย่อส่วนก็ไม่มีปัญหาเลย!” อูหลิงอวี่พูด
“เดินวางก้ามอะไรกันเล่า ข้ามิใช่ปูเสียหน่อย!” ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่
“เอาน่า เรื่องที่ควรบอกเจ้าข้าก็บอกไปหมดแล้ว เจ้ายังมีคำถามอะไรอีกหรือไม่” อูหลิงอวี่ถาม
“มี” ซือหม่าโยวเย่ว์ตอบ “ในท้ายที่สุดแล้วทุกคนในดินแดนก็จะไปที่ดินแดนโบราณกันหมดเลยใช่หรือไม่”
“ถูกต้อง”
“แล้วดินแดนโบราณนั่นจะไม่มีผู้คนมากมายไปหมดเลยหรือ คงจะแออัดน่าดูเลยสินะ”
“ดินแดนโบราณกว้างใหญ่กว่าที่เจ้าจินตนาการได้มากมายนัก พอเจ้าไปถึงก็จะรู้เองแหละ”
“ก็ได้” ตอบก็เหมือนไม่ตอบเลย
“ยังมีคำถามอีกหรือไม่” อูหลิงอวี่ถาม
“มี”
“ว่ามา”
“ท่านจะดีกับข้ามากขนาดนี้ไปทำไม เพื่อไม่ให้ข้าคิดแค้นท่านอีกใช่หรือไม่”
อูหลิงอวี่เงียบงันไป ตนบอกเธอไปทำไม ก็เพราะอยากให้เธอพัฒนาขึ้นเร็วสักหน่อย ให้ไปยังโลกเบื้องบนได้เร็วขึ้นสักนิด
“เพราะถ้าเจ้าไม่ขึ้นไปยังโลกเบื้องบนให้เร็วหน่อย ตาเฒ่าก็จะถูกกดดันให้หาผู้สืบทอดน่ะสิ” อูหลิงอวี่หาข้ออ้างที่ฟังดูดี “ตอนนี้ยังมีคำถามอีกหรือไม่”
“ไม่มีแล้ว ท่านไปได้แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกมือส่งเขาแล้วเอนตัวลงพักผ่อน
“…”
อูหลิงอวี่เห็นว่าเพียงพริบตาเดียวซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่สนใจตนแล้ว จึงนึกอยากเข้าไปมอบบทลงโทษให้เธอสักหน่อย แต่คิดดูแล้วอาจจะไปทำให้เธอตกใจเข้า จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย แล้วจากไปแต่โดยดี
แน่นอนว่าเพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหา เขาจึงทำเหมือนตอนเข้ามา…ข้ามกำแพง
ซือหม่าโยวเย่ว์เอนตัวอยู่บนเตียง เธอพลิกตัวไปมาพลางครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้รับรู้มาในวันนี้ วันนี้ได้ยินได้ฟังอะไรมามากมายเหลือเกิน จะต้องย่อยข้อมูลให้ดี เมื่อนึกถึงเรื่องของดินแดนแห่งอื่นที่อูหลิงอวี่เล่าให้ฟังแล้วเธอก็ผุดลุกขึ้นนั่งพลางพูดว่า “คนพวกนั้นร้ายกาจก็จริง แต่เราเองก็ใช่ย่อยเลยนะ แล้วจะต้องให้เรื่องนี้มากระทบจิตใจไปทำไมกัน หึๆ ถ้าเจอกันแล้วกล้ามายุ่มย่าม ก็ต้องโดนเก็บเรียบเหมือนกันแหละ!”
เมื่อคิดเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอจึงเอนตัวลงนอนใหม่ แล้วคิดเรื่องเหล่านี้ต่อไป
“คิดไม่ถึงว่าทั่วทั้งดินแดนจะเป็นสถานที่กักขังทั้งหมด ช่างทำให้คนหดหู่จริงๆ เลย”
“ไม่รู้ว่าโลกย่อส่วนพวกนั้นจะเปิดเมื่อไหร่ อยากจะพบเจอผู้มีพรสวรรค์จากดินแดนแห่งอื่นบ้างจัง”
“เมื่อไหร่ถึงจะทำแบบท่านอาจารย์กับศิษย์พี่ได้บ้างนะ โบกมือครั้งเดียวก็สร้างทางเดินได้แล้ว อยากไปไหนก็ไปได้หมดเลย”
“เฮ้อ… คิดเรื่องพวกนี้ไปก็เสียเวลาเปล่า ไปตั้งใจฝึกยุทธ์ให้ดีก่อนดีกว่านะ!”
“เจ้าไก่ฟ้านี่นะ เรายังไม่หายบาดเจ็บดี ก็หายหัวไปไม่เห็นแม้แต่เงาทั้งวันเสียแล้ว”
“เขาพาเจ้าสายรุ้งตัวน้อยไปไหนเนี่ย! คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว”
“ครืด…”
ประตูถูกผลักเปิด เป่ยกงถังเดินไปพลางกินไปพลางแล้วเอ่ยว่า “อยู่นอกประตูก็ได้ยินเสียงเจ้าบ่นพึมพำเสียแล้ว เจ้าไม่อาจบำเพ็ญได้ คงจะเบื่อน่าดูเลยสินะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้กลิ่นอาหารจึงดีดตัวจากเตียงขึ้นมานั่งแล้วพูดว่า “พวกเจ้าไม่เห็นมาอยู่เป็นเพื่อนข้าเลย ข้าเบื่อหน่ายจะตายอยู่แล้ว”
เป่ยกงถังวางอาหารลงบนโต๊ะแล้วพูดด้วยสีหน้าชิงชังว่า “เท่าที่ข้ารู้ ก่อนหน้านี้ไม่นานท่านอาจารย์กับศิษย์พี่ของเจ้าก็ยังอยู่ที่นี่เลยมิใช่หรือ”
“พอพวกเขาจากไปข้าก็เบื่อแล้วนี่” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้ามาหยิบตะเกียบแล้วเริ่มต้นกินอาหาร “ใช่แล้ว ระยะนี้พวกเจ้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับอะไรกัน แต่ละคนไม่มาให้เห็นเลยทั้งวัน”