Ch.6 – ลมหายใจแห่งราชาที่จะเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่าง
Translator : ปลาดุกอเมซอน / Author
──มุมมองโชมะ──
[แกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!]
อสูรตัวที่ใหญ่กว่าตัวอื่นคำรามออกมา
พร้อมกับเหวี่ยงดาบไปมาด้วยแขนข้างเดียว น่ากลัวแฮะ
[แก! แกเองเหลอ คนที่ตัดแขนของข้า!!]
“…แกจริงๆด้วยสินะ”
ก็อบลินสีดำที่ผมตัดแขนขาดไปเมื่อวาน
สุดยอดไปเลยแฮะ พลังชีวิตของอสูรเนี่ย ขนาดแขนขาดก็ยังไม่ตาย…
“ก็ไม่ได้ใจเด็ดขนาดจะฆ่าให้ตายนี่นะ…”
“ท่านโชมะเป็นคนจัดการเจ้านั้นจริงๆสินะคะ?”
อ๊ะ…ความแตกแล้ว
ไม่สิ ปิดยังไงก็ไม่อยู่สินะ ตอนนี้ผมก็ใช้[ปลุกเผ่ามังกร]อยู่ด้วย
เกล็ดมังกรก็เห็นเต็มๆตา ความสามารถร่างกายนี้ก็เกิดจากการปลุกขึ้นมา
ที่ใช้เวลาตามริเซ็ตมานานก็เพราะทางมันไม่ค่อยดีบวกกับผมใช้ความสามารถร่างกายยังไม่คล่อง
วิ่งเต็มแรงก็เกือบจะชนต้นไม้เอา ก็เลยหักเลี้ยวซะจนตกแม่น้ำ
ก็โลกก่อนทำแต่งานเลยไม่ได้ออกกำลังกายเลย ถึงจะมีความสามารถร่างกายสูง แต่ก็ตอบสนองได้ไม่ทันอยู่ดี
ถึงจะใช้พลังของมังกรได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ๆก็จะไร้เทียมทาน
“ถ้าใช้พลังได้คล่องก็คงจะจัดการหมอนี่ได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะนะ…”
แต่ว่า ก็อบลินที่อยู่ตรงหน้าก็ยังแกว่งดาบตะโกนไปมาได้อย่างสบายๆ
ดูเหมือนว่าถ้าเกิดไปดูถูกพลังชีวิตของอสูรล่ะก็คงแย่แน่ๆ
“นี่ดันไปสร้างปัญหาให้ริเซ็ตกับพวกเด็กๆไหมเนี่ย”
“ไม่หรอกค่ะ เพราะว่าได้ท่านโชมะตัดแทนให้ข้างหนึ่งถึงได้ยังต่อสู้ไหวค่ะ”
ริเซ็ตพูดอยู่ข้างๆผม
“[ก็อบลิน ลอร์ด]นี้อาศัยอยู่ในป่าลึก เป็นคนสนิทของ[อัศวินดำ]ค่ะ ถ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์…ริเซ็ตคนเดียว คงไม่สามารถปกป้องพวกเด็กๆไปด้วยได้หรอกค่ะ”
“ถ้าพูดแบบนั้นก็ดี แต่ว่า ช่วยบอกสักเรื่องจะได้ไหมครับ?”
“ค่ะ ไม่ว่าอะไรก็เชิญค่ะ ท่านโชมะ”
“เมื่อกี้ริเซ็ตปล่อยไฟจากมือสินะ เจ้านั่น ทำยังไงน่ะ?”
ผมถาม
ริเซ็ตทำหน้าตกใจเล็กน้อย
“จริงๆแล้วมันเป็นเวทมนต์พื้นฐานแรกสุดค่ะ รวบรวมพลังเวท…ไปไว้ที่มือ แล้วก็ร่ายคาถาสร้างขึ้นมาค่ะ คาถานั้นก็เหมือนกับกุญแจที่จะทำให้เปิดใช้งาน ดังนั้นรายละเอียดจะเป็นยังไงก็ได้ค่ะ จินตนาการคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ริเซ็ตสามารถใช้ได้…ก็เป็นพื้นฐานของพื้นฐานจริงๆค่ะ–”
[ผู้ดอะไรกานอยู่ด้ายยยย!!]
ก็อบลินสีดำตัวใหญ่–[ลอร์ด]ตะโกนออกมา
[แก! เป็นคราย!? จะเมื่อวานหรือวันนี้ ทำไมถึงเอาแต่ขัดขวางข้าอยู่ด้ายยย!?]
“ไม่รู้ว้อย”
[ศัตรูของข้า! ศัตรูของข้าาาา!]
“…ถ้าไม่คิดจะคุยก็อย่าพูดสิวะ”
น่าหงุดหงิดจริงๆ
ทางนี้ก็เหนื่อยเป็นนะ
ทั้งๆที่คิดว่าลาออกจากงานก็จะได้เป็นอิสระแล้ว แต่ก็ถูกอัญเชิญมาต่างโลก
แถมยังบอกว่าเป็นความผิดพลาดเลยไม่ได้ความสามารถอะไรมาอีก
แถมยังเป็นโลกยุคมืดที่มีอสูรเกิด ในระดับเวรี่ฮาร์ด
“…พอลาออกจากงาน อยู่ๆก็มาอยู่กลางป่าในต่างโลก…นี่นะ”
แน่นอนว่าไม่ได้เสียใจสักนิดที่ลาออกจากงาน
ถ้ายังอยู่ในที่แบบนั้นก็รู้สึกว่าคงจะตายในฐานะสิ่งมีชีวิตอยู่ดี ดังนั้น ถึงจะย้อนเวลากลับไปใหม่ ก็จะทำแบบเดิม
ทั้งเรื่องที่ถูกอัญเชิญอีก…เอาเถอะ ก็ช่วยไม่ได้นี่นา
คุณเทพธิดาเอง ก็ไม่ได้ตั้งใจแกล้งด้วย แถมยังอธิบายเรื่องราวให้ จดหมายก็ทิ้งไว้ให้
ริเซ็ตก็เป็นคนดี รับฟังคำพูดของผม นอกจากนั้นยังแอบไปได้ยินหน้า[สุสานจักรพรรดิมังกร]ว่า”ไม่อยากจะต่อสู้”อีก ขืนไปปล่อยให้เธอไปสู้ผมได้รู้สึกแย่แหงๆ ถึงจะไม่รู้วิธีสู้ แต่ก็พอจะเป็นเหยื่อล่อให้ได้ ดังนั้นก็เลยมาที่นี่
…เอ๊ะ? ไม่เข้าใจเข้าแล้วสิ นี่ผมกำลังหงุดหงิดอยู่กับอะไรเนี่ย?
[ฆ่า! แก! แกต้องตายยย!]
ลอร์ดคำรามน้ำลายฟูมปาก
พอเห็นเจ้านี่ ก็พอจะรู้แล้วว่าทำไมตัวเองถึงได้โกรธ
“…อา งั้นเหรอ นาย ไม่ฟังที่ผมพูดเลยสินะ”
[หา?]
“ถึงจะฟังรู้เรื่อง ถึงจะพูดภาษาคนได้ แต่นาย ไม่ได้สนใจผมเลยสินะ? ถึงจะถามว่า[เป็นใคร]ก็เถอะ แต่ได้ยินไปแล้วจะทำไมล่ะ ยังไงนายก็จะฆ่าผมอยู่แล้วนี่”
กึ๊กกึ๊ก ราวกับมีเสียงดังขึ้นจากภายในหัว
ตอนที่ลาออกจากงาน ผมโกรธจัด
รู้สึกว่าจริงๆแล้วก็โกรธจัดมานานมากแล้ว ไม่เข้าใจ นึกไม่ออกเลย
ราวกับความทรงจำถูกผนึกอยู่อย่างนั้น
[อะไล!? แกพูดเลื่องอะไล!?]
“จะให้พูดเหรอ ก็อบลินดำ ทำไมนายถึงอย่างจะฆ่าพวกเราล่ะ? ทำไมถึงได้โจมตีพวกเด็กๆล่ะ?”
[เพราะว่ายุคของมนุด มันจบลงแล้วยังไงล่ะ!]
เห
[วิชาที่“จักรพรรดิเพลิงทมิฬ”อันยิ่งไหย่หลงเหลือเอาไว้ก็คือเส้นทางสัมหลับพวกข้าสู่โลกใบนี้ พวกแกจะต้องลาบคาบ มันคือโชคชะตาที่แน่นอนอยู่แล้ว! โลกใบนี้มันก็เป็นแบบนั้นล่ะ!]
“โลกใบนี้มันเป็นแบบนั้น งั้นเหรอ”
ก่อนหน้านี้ก็เลยได้ยินมาสินะ คำพูดนั้น จากใครกันนะ
มาพูดแบบนั้นเอาตอนที่กำลังหงุดหงิด มันก็ยิ่งทำให้หงุดหงิดเข้าไปใหญ่
“มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่านะ ลองพิสูจน์ดูหน่อยไหม”
[แกนั่นล่ะทำไม!?]
“หืมม?”
[พลังนั่น มันเป็นของ“ราชาปลอม”สินะ!? แล้วทำไมถึงเป็นพวกเดียวกับอมนุดย์ล่ะ!?]
“จะไปรู้เหรอฟะ”
ผมหันดาบเข้าใส่ก็อบลินลอร์ดสีดำ
พวกอสูรตัวอื่นไม่ขยับ เพราะว่าริเซ็ตระวังหลังให้ผมอยู่
พวกเด็กๆอยู่ระหว่างผมกับริเซ็ต
ทุกคนนั้นตัวเล็กประมาณเด็กประถมต้น
…เหตุผลที่เป็นพวกเดียวกับเด็กพวกนี้? เรื่องแบบนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้วสิ
“ถ้าให้พูดตามตรง ผมก็เกือบสามสิบแล้ว อีกไม่นานก็จะเป็นตาลุงอยู่แล้วน่ะ”
[หา?]
“ตาลุงเนี่ย ต้องใส่ใจกับเด็กที่ร้องไห้ให้มากเลยนะ ถ้าอยู่ๆส่งเสียงทักไปก็จะกลายเป็นคนน่าสงสัยอีก จะไปช่วยตรงๆเลยก็ไม่ได้…แต่ว่า! ถ้ามีเด็กกำลังจะถูกฆ่าตรงหน้า มันก็ต้องไปช่วยอยู่แล้วสิ! ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องอะไรน่าอายหรอกนะ! ไอ้ปีศาจ!!”
[พูดอะไลบ้าๆ!!]
กิ๊ง!
ดาบสนิมที่ฟาดลงมาของก็อบลิน ลอร์ดสีดำถูกหยุดไว้ด้วยดาบ
ดาบที่คุณเทพธิดาให้มาก็หักลง
ไม่ไหวจริงๆสินะ
ผมไม่มีฝีมือดาบสักนิด แค่รับไว้ด้วยพลังมังกรก็สุดฝีมือแล้ว
“…ต้องลองใช้เวทมนต์ดูงั้นเหรอ”
วิธีการใช้ริเซ็ตได้บอกมาเมื่อกี้แล้ว
ก่อนอื่นก็รวมพลังเวทไว้ที่มือ
เพราะว่า[ปลุกเผ่ามังกร]นั้นใช้พลังเวทเป็นแหล่งพลังงาน ดังนั้นผมเองก็มีพลังเวทแน่ๆ
ก่อนอื่น…ก็รู้สึกถึงสิ่งที่น่าจะเป็นพลังเวท…
……อืม มีอะไรอุ่นๆ ไหลเวียนอยู่ในร่าง เจ้านี้ล่ะมั้ง
งั้นต่อไปก็จินตนาการสูดมันเข้าไปในร่าง…
สูด ซู๊ด ลมหาย เข้าไป
“–ท่านโชมะ!?”
“““พี่ชาย!!?”””
[ไลกัน!? กานไหลของพลังเวทนี่—-!?]
–นี่มันอะไรกัน
นี่คือพลังเวทงั้นเหรอ? รู้สึกคิดถึงแบบแปลกๆ
รู้สึกเหมือนเคยเจอในโลกเดิม…เหรอ?
ไม่มีทางน่า ถ้าเกิดเคยโลกของผมคงเต็มไปด้วยดาบกับเวทมนต์แล้ว ทั้งๆที่พัฒนาวิทยาการไปถึงขั้นนั้น ก็คงไม่พลาดของอย่างพลังเวทอยู่แล้วล่ะ โลกของผมคงจะไม่มีเวทมนต์ ถ้ามีก็คงจะน้อยมาก
ส่วนโลกใบนี้ รู้สึกได้เลยว่ามีอยู่มากมายราวกับเป็นอากาศ
ไหลเข้ามาในร่างเหมือนกับต้นไม้ทำการดูดน้ำขึ้นมา
…พอทำแบบนั้นก็เริ่มเข้าใจวิธีการใช้[ปลุกเผ่ามังกร] ราวกับความทรงจำเก่าแก่ในร่างกำลังหลั่งไหลออกมา รู้ดีว่าต้องทำยังไงต่อ
ก่อนอื่นก็รวมพลังเวทไว้ที่มือทั้งสองข้าง
[บ้าน่า! หยุด หยุดนะว้อยยยยยย!!!]
“…ต่อจากนี้ ก็ต้องร่ายคาถา…”
ดูเหมือนจะใช้เป็นแค่กุญแจในการใช้งาน ริเซ็ตบอกเอาไว้ว่า จินตนาการนั้นสำคัญที่สุด
จินตนาการเหรอ…
ถ้าพูดถึงมังกร มันก็ต้องเปลวเพลิงที่เผาผลาญทุกสิ่งสินะ
ทั้งในเกมและนิทาน มังกรก็เป็นอสูรที่ทรงพลังและเป็นสิ่งมีชีวิตในตำนาน แล้วในโลกใบนี้ก็เป็นถึงราชา
ถ้าพูดถึงสิ่งที่ราชาองค์นั้นจะปล่อยออกมา–
“จงมา–เพลิงมารที่เผาพลาญซึ่งทุกสิ่งอย่างเอ๋ย จนมาปรากฎพร้อมกับลมหายใจนี้–”
[หนีไปซะ! ทุกคนหนีปายยยยยยยยยย!!!]
ไม่ปล่อยให้หนีหรอก
ผมเอาสองมือที่เต็มไปด้วยพลังเวท วางไว้ตรงเบื้องหน้าของใบหน้า
จากนั้นก็สูดหายใจ แล้ว–พ่นออกมารวดเดียว!
“จงแผดเผาศัตรูของข้าให้เป็นจุล–ลมหายใจแห่งมังกรเอ๋ย! [Breath(มังกรคำราม)]!!”
ลำแสงเพลิงพุ่งออกมาจากปากของผม
ตามจริงก็คือจากช่องว่างระหว่างมือทั้งสองที่ตั้งอยู่หน้าใบหน้าของผม
พุ่งออกไปขยายออกตรงข้างหน้าของผมประมาณ30เซน คลุมไปทั่วร่างของ[ก็อบลิน ลอร์ดดำ]
[กว๊ากกกกกกกก!!]
กรัดร้องอย่างทรมาน
เปลวเพลิงปกคลุมทั่วร่างของมัน–ไม่ใช่แค่นั้น
เปลงเพลิงที่พ่นออกไปนั้นยังเป่าร่างซีกขวาของ[ก็อบลิน ลอร์ดดำ]ไปด้วย
นี่มันอะไรกัน
ราวกับเป็น[ลมหายใจมังกรที่พ่นออกมาจากปากของคน]เลยไม่ใช่เหรอ
“ริเซ็ต! พวกเด็กๆด้วยหลีกออกไปก่อน!”
“คะ ค่ะ!” “““ครับ/ค่ะ! พี่ชาย!”””
พอเห็นว่าพวกริเซ็ตหลบไปแล้ว ผมก็หันไปซ้ายและขวา
เพื่อให้เปลวเพลิงโดนพวกก็อบลินตั้งแต่พวกก็อบลินด้านขวาสุดไปจนถึงซ้ายสุดทั้งหมด
[[[[โกบุ๊!!!!!?]]]]
ตอนที่ย่างไปได้5ตัว–พลังเวทก็หมด
พร้อมกันนั้น[ปลุกเผ่ามังกร]ก็คลายออก
ดูเหมือนจะพ่นไฟออกไปมากเกินไป ยิ่งพลังทำลายสูงก็ยิ่งกินพลังเวทเยอะสินะ
ทั้งเปลวเพลิงทั้งเกล็ดมังกรก็หายไป ผมกลับเป็นแบบปกติ
[–ฮิ ฮี๊]
ก็อบลินยังเหลือรอดอยู่2ตัว จับดาบหันมาทางนี้
ท่าทางจะไม่คิดหนี
“ฝากได้เลยค่ะ! ท่านโชมะ!”
ดาบของริเซ็ต ตัดเข้าไปที่ลำคอของก็อบลินที่เหลือรอด
[–กุกะ]
พวกก็อบลินล้มลงบนพื้นแล้วไม่ไหวติง
ดูเหมือนจะจบแล้ว
“…เฮ้อ”
…กลัวจัง
ก็อบลิน เหรอ ในโลกแฟนตาซีก็เป็นอสูรที่อ่อนที่สุดสินะ
การที่ตรึงมือกับพวกนี้ แสดงว่าพลังของผมมันก็ไม่ดีเด่อะไร ขนาดใช้พลังเวทจนหมดก็ยังจัดการให้หมดไม่ได้
พวกผู้ถูกอัญเชิญตัวจริงเนี่ย คงจะไม่ใช่แบบนี้สินะ
แล้วก็…เนี่ย แขนยังสั่นอยู่เลย
ถึงจะปล่อยตัวไปตามอารมณ์ก็เถอะ แต่พอใจเย็นลงก็เป็นแบบนี้ บางทีผมคงจะไม่เหมาะกับการต่อสู้
–ถึงเมื่อกี้ในใจจะเต็มไปด้วยความโกรธก็เถอะ
“…พี่ชาย”
พอรู้สึกตัว เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ก็มองมาที่ผม
“ขอบคุณที่ช่วยค่ะ! พี่ชาย เก่งสินะคะ!”
“…ไม่หรอก”
ผมสะบัดฝุ่นที่ก้นแล้วลุกขึ้นยืน
ยื่นมือออกไป–จะลูบหัวของเด็ก แต่ก็ต้องหยุด
ในโลกเดิมถ้าทำแบบนี้กับเด็กที่เจอกันครั้งแรกก็เป็นอาชญากรแน่ๆ แต่ทำได้สินะ
เด็กผู้หญิงเองก็หลับตายื่นหัวมาให้ผมแล้ว ถึงบนหัวจะมีเขาสีงาช้างงอกออกมาก็เถอะ
“ช่วยลูบเถอะค่ะ ท่านโชมะ”
ริเซ็ตเห็นผมแบบนั้นแล้วหัวเราะออกมา
“ว่ากันว่าการถูกคนที่แข็งแกร่งลูบเขาจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นด้วยค่ะ”
“ที่เขาเหรอ?”
“ค่ะ หมู่บ้านฮาซามะที่ดูแลริเซ็ตนั้นเป็นหมู่บ้านของ[เผ่ายักษ์]ค่ะ นี่ก็เป็นเรื่องเล่าของเผ่ายักษ์ค่ะ”
–เผ่ายักษ์
มีอะไรแบบนั้นด้วยสินะ มีสินะ
เด็กตัวเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าผมยื่นเขามาให้แล้วหัวเราะออกมา
“เอเฮะเฮะ–”
“…เอ เด็กดีเด็กดี”
ได้คำอนุญาตแล้วผมก็เลยลูบหัวเด็กผู้หญิง
เขานั้นแข็งและอุ่น รู้เลยว่าไม่ใช่ของที่สร้างขึ้นมา
งั้นเหรอ โลกใบนี้นอกจากคนที่สืบสายเลือดของมังกรแล้ว ก็ยังมีคนที่สืบสายเลือดของยักษ์สินะ–
ปิ๊ง
มีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นในหัวของผม
…เอ๊ะ?
จะว่าไปแล้ว…เมื่อวานตอนที่ยืนยันตัวตนของมังกรก็มี[ปลุกเผ่ามังกร]โผล่ออกมาสินะ
งั้นในตอนนี้ที่ผมยืนยันตัวตนของยักษ์แล้ว ก็หมายความว่า–
[ปลุกเผ่ายักษ์]
สกิลที่สามารถใช้ได้ด้วยการยืนยันตัวตนของยักษ์
สามารถใช้พลังและความสามารถในการฟื้นฟูของยักษ์ได้
เพิ่มมาแล้ว
…ในโลกใบนี้ ผมเป็นอะไรกันแน่เนี่ย…
“–พระองค์ท่าน? เป็นอะไรเหรอคะ?”
“ใครเป็นพระองค์ท่านกันฟะ”
อย่าเรียกคนด้วยชื่ออะไรแบบนั้นสิ ริเซ็ต
“พระองค์ท่าน!” “พระองค์ท่าน–” “พระองค์โชมะ–!”
พวกเด็กๆเองก็อย่ามาล้อมแล้วทำท่าบันไซสิ!
“อ๊ะ ไม่สิ ขอโทษค่ะ เห็นท่านโชมะกำลังทำท่าทางคิดมากก็เลย…”
“แค่คิดเรื่องต่อจากนี้น่ะครับ”
“ต่อจากนี้ เหรอคะ”
“ก็ผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้สักนิดเลยน่ะครับ”
ถึงจะความแตกกับพวกเด็กๆว่าเป็นคนต่างโลกก็เถอะ แต่ปิดไปก็ไม่ได้อะไรแล้ว
เล่นปล่อยพลังไปซะขนาดนั้น
แถมถ้าเป็นคนต่างโลกก็คงจะไม่คิดว่าเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับ[จักรพรรดิมังกร]
“ก็ไม่ได้จะขอเป็นรางวัลที่ช่วยหรอกนะ แต่อยากจะขอสักสองเรื่องได้ไหมครับ?”
ผมพูดออกไป
“อย่างแรก ระหว่างที่เดินกันอยู่ อยากให้ช่วยบอกเรื่องราวของโลกนี้ที”
ผมจะต้องเอาตัวรอดในโลกแห่งนี้
เพื่อการนั้นจำเป็นต้องมีข้อมูลความรู้
ทำยังไงถึงจะสามารถเอาชีวิตรอดได้ดีที่สุด ต้องทำยังไงถึงจะรีบๆชินกับงานแล้วใช้เวลาที่เหลือแบบสบายๆได้ ตอนนี้คือช่วงที่ควรจะเก็บเกี่ยวข้อมูลให้มากที่สุด
“อีกหนึ่งอย่าง…คือว่า ถ้าได้จะดีมากเลยครับ ในช่วงหลายวันนี้…อยากจะขออยู่ในหมู่บ้านได้ไหมนะ?”
ทางนี้ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรหรอก ก็เป็นคนนอกนี่นา
แต่ว่า
“ค่ะ! ริเซ็ตเองก็ยินดีเป็นอย่างมากค่ะ!”
““ครับ/ค่ะ พี่ชาย!!””
ริเซ็ตกับพวกเด็กๆพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า