ตอนที่ 873 เยี่ยมไข้ตามมารยาท
เช้าตรู่ของวันที่สาม หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ฟางเว่ยกั๋วก็พาลูกหลานตระกูลฟางหอบหิ้วของขวัญมากมายเพื่อไปยังบ้านของคุณปู่จ้าว ซึ่งเป็นสหายคนสนิทมากที่สุดของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
หลินม่ายเคยมาเยี่ยมคุณปู่จ้าวและคุณย่าจ้าวพร้อมกับฟางจั๋วเยวี่ยแล้วครั้งหนึ่ง
มันเป็นครั้งแรกที่เธอมายังเมืองหลวง เธอต้องการขอให้สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนออกอากาศโฆษณาชุดแรกของร้านเสื้อผ้ายูนีค ซึ่งยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อในเวลานั้น คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางบอกให้เธอขอความช่วยเหลือจากปู่จ้าวตอนที่กำลังประสบปัญหา
แม้การขอความช่วยเหลือจากคุณปู่จ้าวจะไม่นับเป็นบุญคุณขนาดนั้น แต่พวกเขาก็ยังไปเยี่ยมคู่สามีภรรยาอาวุโสด้วยความเต็มใจ
เมื่อไปถึงบ้านของปู่จ้าว คุณปู่จ้าวและภรรยาไม่เพียงจดจำเธอได้ แต่ยังเรียกชื่อของเธอได้อย่างถูกต้อง
คู่สามีภรรยาสูงวัยมีความสุขมากที่ได้เห็นคู่พี่น้องฟางจั๋วหราน พวกเขาจึงพูดคุยกันไม่หยุด
บ่นว่าฟางจั๋วหรานถูกย้ายมาทำงานในเมืองหลวงแล้ว แต่เขากลับไม่เคยมาเยี่ยมกันเลย
ฟางจั๋วหรานอธิบายว่าเขายุ่งกับงานมากเกินไปและไม่มีเวลา
แต่เขาสัญญาว่าจะไปเยี่ยมทั้งสองทุกครั้งที่มีเวลาว่างเว้นจากงาน
วันส่งท้ายปีเก่าครั้งนี้ ลูกหลานของคุณปู่จ้าวต่างก็อยู่ที่บ้านเช่นกัน ทำให้บ้านค่อนข้างครึกครื้น
ทั้งสองครอบครัวเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ลูกหลานส่วนใหญ่ล้วนโตมาด้วยกัน พวกเขาจึงรักใคร่กันดี
ทั้งสองครอบครัวพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
แม้แต่หลินม่ายก็ยังถูกห้อมล้อมไปด้วยลูกสะใภ้หลายคนของตระกูลจ้าว ขณะบอกเคล็ดลับการเลี้ยงดูลูกน้อย
ถึงกระนั้นหลินม่ายและลูกหลานตระกูลฟางก็อยู่ที่บ้านปู่จ้าวเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ก่อนจะลุกขึ้นและขอตัวจากไปภายใต้การนำของฟางเว่ยกั๋ว
ครอบครัวของปู่จ้าวยืนกรานให้พวกเขาอยู่รับประทานอาหารกลางวันด้วยกันก่อนออกเดินทาง แต่ฟางเว่ยกั๋วยังคงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ด้วยจำนวนคนที่มากเช่นนี้ พวกเขาจะต้องจัดโต๊ะสำหรับอาหารกลางวันหลายโต๊ะ ซึ่งจะเป็นปัญหาให้กับเจ้าภาพมากเกินไป
แม้ตระกูลจ้าวจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น แต่พวกเขาก็มีความตระหนักรู้ในตนเอง
ระหว่างทางไปบ้านหลังที่สองเพื่ออวยพรปีใหม่ หลินม่ายก็แอบกระซิบถามฟางจั๋วเยวี่ย
หญิงสาวหน้าตางดงามที่คุยกับปู่จ้าวที่บ้านเป็นใคร ดูเธอจะสนใจในตัวเขาไม่น้อยเลย
ฟางจั๋วเยวี่ยตอบกลับเสียงเรียบ “ผู้หญิงคนนั้นคือหลานสาวของปู่จ้าวชื่อจ้าวเชี่ยนหรู พี่สะใภ้ อย่าเดาส่งเดชแบบนั้นสิ หล่อนจะมาสนใจผมได้อย่างไร?”
หลินม่ายคิดกับตัวเอง ดวงตาจ้าวเชี่ยนหรูพลันเปล่งประกายอย่างมากเมื่อเห็นฟางจั๋วเยวี่ย เธอจึงไม่เชื่อว่าหญิงสาวจะไม่สนใจในตัวเขา
แต่ในเมื่อฟางจั๋วเยวี่ยไม่ยอมรับ เธอก็ไม่คิดโต้เถียงกับเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยนี้
บ้านหลังที่สองที่พวกหลินม่ายไปคือบ้านของคุณปู่ฮั่ว
คุณปู่ฮั่วและคุณปู่ฟางมีมิตรภาพที่ดีต่อกันมายาวนาน
ในช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น กองทหารของคุณปู่ฮั่วมีหนอนบ่อนไส้และถูกศัตรูล้อมรอบ ทำให้ไม่สามารถบุกทะลวงออกมาได้
คุณปู่ฟางเป็นผู้นำกลุ่มทหารเข้าร่วมกองโจรมากกว่าหนึ่งโหลเพื่อสร้างความแตกแยกและทำให้ศัตรูสับสน ซึ่งทำให้คุณปู่ฮั่วและคนอื่น ๆ มีโอกาสล่าถอย ซึ่งเป็นผลให้ทั้งสองครอบครัวใกล้ชิดสนิทสนมกัน
เนื่องจากความสัมพันธ์ของเหล่าผู้ใหญ่ ทำให้สวี่เมิ่งลูกสาวของฟางเสียนจิ้งและฮั่วเสวี่ยเหมยหลานสาวของคุณปู่ฮั่วกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
ทันทีที่ฮั่วเสวี่ยเหมยเห็นฟางเสียนจิ้ง เธอถามขึ้นว่า “คุณป้าฟางคะ เมิ่งเมิ่งยังเรียนอยู่ที่อเมริกาหรือเปล่าคะ หล่อนไม่ค่อยตอบกลับจดหมายของหนูเลย”
ฟางเสียนจิ้งหลบตาเล็กน้อย “เมิ่งเมิ่งยุ่งอยู่กับการเรียนเล็กน้อย หล่อนจึงไม่ค่อยมีเวลาตอบกลับจดหมายของหนูน่ะ”
ฮั่วเสวี่ยเหมยพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เมิ่งเมิ่งไปเรียนอยู่ต่างประเทศสองปีแล้ว หล่อนควรจะได้กลับประเทศจีนในเร็ววัน”
ทุนจากรัฐบาลเพื่อศึกษาในต่างประเทศทั่วไปจะให้เวลาหนึ่งปี และแทบไม่มีทุนไหนที่ให้อยู่ถึงสองปี
ผู้ที่สามารถศึกษาต่อต่างประเทศเป็นเวลาสองปีด้วยทุนจากรัฐบาลล้วนเป็นเด็กหัวกะทิ
อย่างไรก็ตามในบรรดาผู้ที่ได้รับทุนจากรัฐบาลเป็นเวลาหนึ่งปี มีไม่กี่กรณีที่เกี่ยวข้องกับการเล่นพรรคเล่นพวก บุคคลเหล่านี้เป็นส่วนน้อยที่สามารถไปต่างประเทศโดยพิจารณาจากภูมิหลังและสายสัมพันธ์มากกว่าความดีความชอบหรือความเป็นเลิศ
พวกเขาเพียงใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศเพื่อเดินทางไปต่างประเทศ เพื่อที่จะกลับมาหางานที่ดีและมีโอกาสที่ดียิ่งกว่า
สวี่เมิ่งเป็นคนเช่นนั้น
คนแบบหล่อนมักจะเดินทางกลับประเทศบ้านเกิดหลังชุบตัวจากต่างประเทศแล้ว
มีเพียงหล่อนเท่านั้นที่ชุบตัวไม่ติดแม้จะเรียนอยู่ที่ต่างประเทศสองปี
ไม่ใช่ทุกมหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่มีข้อกำหนดที่เข้มงวด และการขอใบรับรองการศึกษาต่อจากบางสถาบันอาจเป็นเรื่องยาก
การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยไก่ป่าหรือวิทยาลัยทั่วไปอาจทำการชุบตัวได้ง่ายกว่า
ผู้ที่พึ่งพาวิธีการนอกระบบเพื่อให้ได้ไปศึกษาในต่างประเทศด้วยทุนจากรัฐบาลต่างก็แห่แหนกันไปวิทยาลัยสองประเภทนี้เพื่อทำการชุบตัว
หากยังไม่สามารถชุบตัวผ่านวิทยาลัยประเภทนี้ได้ สถานการณ์ของพวกเขาก็ถึงขั้นเลวร้ายเกินเยียวยา
คำพูดไม่ได้ตั้งใจของฮั่วเสวี่ยเหมย เกือบทำให้ฟางเสียนจิ้งสูญเสียความสุขุม
สวี่เมิ่งอาจไม่ใช่เด็กหัวกะทิ แต่หลังจากเรียนต่างประเทศเป็นเวลาสองปีแล้วยังชุบตัวไม่ติด นั่นคงไม่ได้แสดงว่าหล่อนค่อนข้างแย่ใช่ไหม?
ฟางเสียนจิ้งไม่รู้จะตอบกลับคำพูดของฮั่วเสวี่ยเหมยอย่างไรดี
คุณย่าฮั่วเป็นผู้ที่ตระหนักได้ถึงบางอย่างผิดปกติในบทสนทนาและเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อช่วยเหลือฟางเสียนจิ้ง
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเป็นเวลาสี่โมงเย็น
เมื่อกลับจากการอวยพรปีใหม่กับเหล่าผู้อาวุโสในช่วงบ่าย หลินม่ายก็แทบไม่มีเวลาแม้แต่กินข้าวเย็น เธอส่งลูกทั้งสองให้คุณย่าฟางดูแลและขับรถไปโรงพยาบาลตามลำพัง เพื่อไปตามนัดหมายของพ่อไป๋
พ่อไป๋รออยู่ที่ทางเข้าโรงพยาบาลแล้ว เขาเห็นว่าหลินม่ายนำนมผง ขนม นมมอลต์ และผลไม้ที่หาดูได้ยากในฤดูหนาวมาด้วย
เขาขมวดคิ้ว “ลูกจะใจดีเกินไปแล้ว เราแค่มาเยี่ยมตามมารยาท แต่ลูกยังนำของดีมาให้พวกเขาตั้งมากมาย! ที่จริงนำมาแค่นมมอลต์หนึ่งกระป๋องและขนมขบเคี้ยวสักสองถึงสามอย่างก็พอแล้ว แม่สามีคนนี้คอยวางแผนต่อต้านพี่สาวคนโตและพี่ขายของลูกมาโดยตลอด หล่อนไม่ควรได้รับนมผงหรือผลไม้จากเราด้วยซ้ำ”
หลินม่ายนำนมผงและผลไม้กลับเข้าไปในรถอย่างเชื่อฟัง จากนั้นเดินไปยังแผนกผู้ป่วยในกับพ่อไป๋พร้อมกับขนมในมือ เธอถามขึ้นว่า “พี่ใหญ่กับพี่รองไม่มาด้วยเหรอคะ?”
“พ่อบอกแล้วว่ามาเยี่ยมเป็นมารยาท แล้วจะพาพวกเขามาที่นี่ด้วยทำไม เพื่อเห็นแก่หน้าพ่อแม่หยางเหรอ? ลูกเป็นหญิงสาวแต่งงานแล้ว ตอนนี้แม่สามีพี่สาวคนโตเจ็บป่วย ลูกจึงต้องมาเยี่ยมเยียนพวกเขา ไม่อย่างนั้นคนนอกจะนินทาว่าร้ายได้ พ่อรู้ว่าลูกไม่สนใจสิ่งที่คนอื่นพูด แต่หากเลือกได้ ทำไมถึงต้องเลือกสร้างชื่อเสียงฉาวโฉ่แทนที่จะรักษาชื่อเสียงอันดีไว้? ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น พ่อคงไม่ขอให้ลูกมาด้วยกันหรอก”
หลินม่ายพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เมื่อพ่อและลูกสาวมาถึงแผนกผู้ป่วยใน พวกเขาขอหมายเลขวอร์ดของแม่หยางจากแผนกต้อนรับ ก่อนจะตรงไปที่นั่น
แต่ก่อนที่จะไปถึงวอร์ด พวกเขาเห็นร่างใหญ่ของพ่อหยางกำลังซุบซิบนินทากับผู้อื่น จนน้ำลายกระเซ็นเป็นฟองฝอยไปทั่ว
“คุณคิดดูสิ ลูกชายคนโตของผมมีร้านค้าสองแห่ง ลูกสะใภ้คนโตก็ทำงานในธนาคาร สภาพครอบครัวของพวกเขาดีมากขนาดไหน แต่น้องชายและน้องสะใภ้ไม่มีงานทำ ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน มันก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอที่พวกเขาจะขอใช้หน้าร้านร่วมกับพี่ชายและพี่สะใภ้ ลูกชายคนโตและภรรยาไม่เพียงไม่ยอมยกหน้าร้านให้น้องชายและน้องสะใภ้ แต่พวกเขาเริ่มทำให้เรื่องนี้บานปลายกว่าเดิม แม่ของเขาเข้าโรงพยาบาล พวกเขายังไม่คิดจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ด้วยซ้ำ มันเป็นลูกที่เลวจริงๆ!”
พ่อไป๋พูดขึ้นทันที “ภรรยาของคุณต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะลูกชายคนเล็กและลูกสะใภ้ไม่ใช่หรือไง? แล้วทำไมลูกชายคนเล็กและภรรยาของเขาไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาลล่ะ? ทำไมถึงต้องมาขอจากลูกเขยและลูกสาวของผมด้วย? พวกคุณต่างหากที่เป็นพ่อแม่ประสาอะไร?”
เนื่องจากพ่อหยางยืนหันหลังให้พ่อไป๋และหลินม่าย เขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมา
เมื่อได้ยินเสียงขอ’พ่อไป๋ ใบหน้าของพ่อหยางก็ซีดเผือดด้วยความตกใจ
เขารีบหันไปด้วยตัวแข็งทื่อและพูดด้วยความอาย “คุณพ่อของลูกสะใภ้!”
“อย่าเรียกผมแบบนั้นเลย ผมจ่ายให้คุณไม่ได้หรอก!” พ่อไป๋พูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ตอนที่ลูกสาวคนโตของผมแต่งงานเข้าไปในบ้านของคุณ เงินเดือนและโบนัสของคู่สามีภรรยาล้วนตกเป็นของภรรยาคุณทั้งหมด แต่พอลูกเขยของผมป่วยและขอเงินไปรักษาในโรงพยาบาล คุณและภรรยากลับไม่ให้สักหยวน กลายเป็นผมนี่แหละที่จ่ายค่าผ่าตัดให้ลูกเขยแทน คุณลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้วหรือ? กล้าดียังไงถึงมาขอค่ารักษาพยาบาลจากลูกสาวและลูกเขยของผมอีก! นี่ยังไม่พูดถึงหน้าร้านทั้งสองนั่นอีกนะ ที่ลูกเขยมีทุนเช่าหน้าร้าน เขาต้องยืมจากผมทั้งหมด คุณยังกล้ามาขอลูกสาวและลูกเขยของผมให้ยกหน้าร้านแห่งหนึ่งให้กับลูกชายคนเล็กและภรรยาอีก นั่นไม่ใช่การเอาเปรียบผมทางอ้อมเหรอ? ผมช่วยเหลือลูกเขยและลูกสาวของผมได้ แต่ทำไมผมต้องช่วยเหลือคนตระกูลหยางทั้งหมดด้วย โดยเฉพาะลูกชายคนเล็กและภรรยาจอมขี้เกียจของเขา?”
แท้จริงหยางเซิงและภรรยาไม่ใช่คนเกียจคร้านถึงขนาดนั้น พวกเขาแค่ชอบฉวยโอกาสเพื่อรักษาหน้าตัวเอง
พวกเขาเต็มใจที่จะเช่าร้านค้าและประกอบอาชีพอิสระ แต่พวกเขาไม่สามารถยอมรับตัวเองหากต้องไปเป็นพ่อค้าเร่ริมถนนที่มีแผงลอยเล็ก ๆ ได้ เพราะมันกระทบต่อศักดิ์ศรีของพวกเขา
หลังจากเข้าสู่ปี 1985 การปฏิรูปและการเปิดประเทศก็ดำเนินมาเป็นเวลาหลายปี คนทั่วไปค่อย ๆ ยอมรับอาชีพอิสระ
นั่นเป็นเหตุผลที่หยางเซิงและภรรยารบเร้าให้แม่หยางขอหน้าร้านแห่งหนึ่งจากหยางจิ้นและไป๋เหยียน
พวกเขาทั้งสองจะได้มีหน้าร้านโดยไม่ต้องลงทุน แล้วยังไม่ต้องทนเปิดแผงขายอาหารเล็ก ๆ ข้างถนนด้วยความยากลำบากอีกด้วย
พ่อไป๋พูดแบบนั้นออกไปโดยเจตนาเพราะต้องการทำลายชื่อเสียงของหยางเซิงและภรรยา ใครบอกให้พ่อหยางทำลายชื่อเสียงของลูกเขยและลูกสาวคนโตของเขาก่อนล่ะ!
พ่อไป๋ไม่ได้รู้สึกแย่แต่อย่างใดที่ทำลายชื่อเสียงของหยางเซิงและภรรยา เพราะทั้งสองไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ในเรื่องนี้
หลินม่ายและพ่อไป๋เข้าขากันเป็นอย่างดี เธอพูดขึ้นว่า “พ่อคะ ถึงพวกเขาจะใจร้าย แต่เราก็ไม่ควรเสียมารยาท เรารีบเข้าไปเยี่ยมผู้ป่วยกันเถอะค่ะ”
พ่อไป๋พูดทุกอย่างที่ควรพูดแล้ว หากเขายังพูดต่อไป มันอาจกลายเป็นเรื่องไร้สาระและส่งผลเสียตามมา ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปในวอร์ดพร้อมกับหลินม่าย
ปากและตาของแม่หยางบิดเบี้ยว หล่อนนอนน้ำลายไหลอยู่บนเตียง เพียงมองแวบแรกก็รู้ว่าหล่อนอาการแย่มาก
ข้างเตียงของหล่อนว่างเปล่าไร้คนดูแล
หลินม่ายหัวเราะเยาะอยู่ในใจ แม่หยางต่อสู้ในแนวหน้ามาทั้งชีวิตเพื่อลูกชายคนเล็กและลูกสะใภ้ แต่ช่างน่าขันนักที่ลูกชายคนเล็กและลูกสะใภ้ไม่แม้แต่จะมาดูแลยามเมื่อหล่อนมาถึงจุดตกต่ำขนาดนี้เพื่อลูกชายสุดที่รัก!
พ่อและลูกวางของเยี่ยมบนโต๊ะข้างเตียง
พ่อไป๋ปลอบโยนแม่หยางด้วยถ้อยคำสุภาพ ก่อนขอตัวจากไปพร้อมกับหลินม่าย
แม่หยางได้แต่พูดอ้อแอ้ไม่เป็นภาษาเพราะสมองตายเป็นบริเวณกว้าง หล่อนพูดพล่ามเรียกหาหลินม่าย บอกว่าหล่อนต้องการปัสสาวะและให้นำโถปัสสาวะมาให้ เพราะตอนนี้หล่อนกลายเป็นคนอัมพาตและไม่สามารถลุกไปเข้าห้องน้ำได้ด้วยตัวเอง
พ่อไป๋และหลินม่ายต่างมองไปที่แม่หยางด้วยสายตาแปลก ๆ
หญิงชราคนนี้กล้าดีอย่างไรถึงมาร้องขอให้หลินม่ายนำโถปัสสาวะมาให้!
ลูกชายคนเล็ก ลูกสะใภ้ และสามีของหล่อนตายไปหมดแล้วหรืออย่างไร?
แต่ถึงแม้ลูกชายคนเล็ก ลูกสะใภ้ และสามีของหล่อนจะตายหมดแล้ว หล่อนก็ไม่มีสิทธิ์มาขอให้หลินม่ายช่วยเหลือแบบนี้!
พ่อลูกเดินออกจากวอร์ด ก่อนที่พ่อไป๋จะพูดเย้ยหยันกับพ่อหยาง “ภรรยาของคุณจะฉี่ คุณยังมัวยืนพูดโม้อยู่ที่นี่อีก รีบกลับไปรับใช้ภรรยาของคุณสิ”
พ่อหยางทั้งเดือดดาลและอับอาย แต่ก็ไม่กล้าพูดสิ่งใด
เขาเป็นคนหัวใสมากกว่าภรรยา รู้ดีว่าผู้คนที่มีเงินและอำนาจไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาแบบเขาจะสามารถทำให้ขุ่นเคืองได้
เขารีบเข้าไปในวอร์ด และช่วยเหลือแม่หยางปัสสาวะด้วยความรังเกียจ พลางดุด่าหล่อนเสียงดัง “คุณก็รู้นี่ว่าตัวเองเป็นอัมพาต ทำได้แค่นอนอยู่บนเตียงและรอคนอื่นมาช่วย แล้วยังจะดื่มน้ำเยอะทำไม บอกมาสิ แค่วันนี้วันเดียว ผมต้องเอาผ้าปูเตียงมาให้คุณกี่ครั้งแล้ว!”
แม่หยางรู้สึกผิดและพึมพำไม่ได้ศัพท์ พยายามปกป้องตัวเอง โดยบอกว่าหล่อนไม่ได้ดื่มน้ำ ปัสสาวะทั้งหมดเกิดจากยา และหล่อนต้องได้รับน้ำเกลือหลายขวดต่อวัน
เมื่อได้ยินเสียงพึมพำอันน่าสมเพช หลินม่ายไม่เพียงไม่รู้สึกสงสาร แต่ยังอยากหัวเราะเยาะอีกด้วย
ที่เรื่องลงเอยมาถึงจุดนี้เป็นเพราะหล่อนยกหินทุบเท้าของตัวเอง
หล่อนต้องการขู่ฆ่าตัวตายเพื่อบังคับให้ลูกชายคนโตและภรรยายอมยกหน้าร้านหนึ่งแห่งให้ลูกชายคนเล็ก
ทว่าหล่อนกลับไม่บรรลุเป้าหมายตามที่หวัง แล้วยังกลายเป็นคนที่ตายทั้งเป็น
หากโรคอัมพาตครึ่งซีกไม่ได้รับการรักษา ชีวิตที่เหลือของหล่อนก็จะไม่มีอะไรอีกนอกจากความเจ็บปวดทรมาน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทีนี้ก็ไม่มีแม่สามีมากวนใจอีกแล้ว บ้านไป๋เหยียนสบายใจได้เสียที
โดนพ่อสะใภ้เปิดโหมดด่าไปขนาดนั้น หน้าชาเป็นแถบเลยไหมคะ
ไหหม่า(海馬)