ตอนที่ 874 ฟางเสียนจิ้งยืมเงิน
วันหยุดเทศกาลปีใหม่กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
คืนวันที่ห้าของเทศกาลปีใหม่ ฟางจั๋วหรานจองโต๊ะมากมายในภัตตาคารเฉวียนจวี้เต๋อ
ตระกูลฟางทุกคนร่วมรับประทานอาหารมื้อใหญ่ มีการดื่มสุราฟูลมูนเพื่อฉลองให้กับเสี่ยวมู่ตง และก็ยังเป็นงานเลี้ยงอำลาสำหรับฟางเว่ยกั๋วและคนอื่น ๆ ด้วย
เสี่ยวมู่ตงหลับไปขณะนั่งรถกลับบ้าน
เมื่อกลับมาถึงบ้าน สองสามีภรรยาก็ล้างหน้า ล้างเท้า และก้นของทารกน้อย ก่อนจะวางเขาลงบนเปลเพื่อให้เขานอนหลับได้สบายขึ้น
เวลานี้ เสียงเคาะประตูได้ดังขึ้น
ฟางจั๋วหรานรีบวิ่งไปเปิดประตู
เขาถามด้วยความประหลาดใจ “คุณอา มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
ฟางเสียนจิ้งมองเข้าไปในบ้านก่อนจะกล่าวเรียบง่าย “ฉันมีบางอย่างจะพูดคุยกับม่ายจื่อน่ะ”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้าก่อนจะอนุญาตให้หล่อนเข้ามา ขณะที่เขาหันกลับไปเทน้ำซักผ้าของทารก ก่อนจะเอาผ้าอ้อมไปซักในห้องน้ำ
นับตั้งแต่มีลูกชาย ฟางจั๋วหรานไม่เคยบอกกล่าวให้หลินม่ายซักผ้าอ้อม ไม่ว่าจะเป็นเธอหรือว่าพี่เลี้ยง
ฟางเสียนจิ้งเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็เผยความประหลาดใจจนดวงตาแทบถลนออกมา
หล่อนอยากจะบอกฟางจั๋วหรานว่าหลินม่ายนั้นออกจากการอยู่เดือนแล้ว ควรจะให้หลินม่ายเป็นคนซักผ้าอ้อมเหล่านี้
แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดทุกอย่างลงไป
มีใครในตระกูลฟางบ้างที่ไม่รู้ว่าหลินม่ายนั้นเปรียบกับสมบัติของฟางจั๋วหราน
หากสงสารฟางจั๋วหราน และบอกเขาว่าไม่ให้ซักผ้าอ้อม ควรจะให้หลินม่ายเป็นคนซักแทน
ไม่เพียงแต่ฟางจั๋วหรานจะไม่เห็นเป็นเจตนาดีแล้ว เขาอาจจะโกรธด้วยซ้ำ
แล้วทำไมหล่อนต้องไปล่วงเกินเรื่องของสามีภรรยาคู่นี้ด้วย
หลินม่ายเห็นว่าฟางเสียนจิ้งมาหาเธอในเวลาค่ำคืนอย่างนี้ก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แต่เธอก็ยังเอ่ยปากชวนให้นั่งลงอย่างสุภาพ
ก่อนจะถามว่า “คุณน้ามีอะไรหรือเปล่าคะ ฉันยินดีรับฟังค่ะ”
ฟางเสียนจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงลังเลเล็กน้อย “ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่อยากจะยืมเงินเธอ 300,000 หยวน…”
ฟางเสียนจิ้งกล่าวอย่างรวดเร็ว และเป็นอย่างที่หลินม่ายคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ฟางเสียนจิ้งมักลังเลที่จะพูดเสมอ
เป็นหลินม่ายที่ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะยืมเงินมากขนาดนี้
หลินม่ายไม่ได้ถามว่าทำไมฟางเสียนจิ้งถึงต้องยืมเงินมากมายเช่นนี้
เธอยกยิ้มก่อนจะพูดว่า “การเงินของครอบครัวทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของจั๋วหราน ถ้าคุณอาต้องการยืมเงิน คุณควรจะพูดคุยเรื่องนี้กับเขา มาคุยกับฉันไม่ได้อะไรหรอกค่ะ”
แม้หลินม่ายจะดูแลการเงินในครอบครัว แต่อีกฝ่ายเป็นอาของฟางจั๋วหราน
และจากความคิดของหลินม่าย เธอไม่สามารถให้ยืมเงินจำนวนนี้โดยง่ายแน่นอน
ฟางเสียนจิ้งมีพ่อแม่ พี่ชาย และหลานชาย พวกเขาทุกคนล้วนร่ำรวย
แม้เงินจำนวน 300,000 หยวนจะค่อนข้างมาก แต่ในครอบครัวก็สามารถรวบรวมเงินกันแล้วมอบให้หล่อนได้ ดังนั้นฟางเสียนจิ้งไม่ควรจะมายืมเงินเธออย่างนี้
การที่อีกฝ่ายต้องแบกหน้ามายืมเธอ อาจจะเป็นไปได้ว่าทั้งพ่อแม่ พี่ชาย และหลานชายของฟางเสียนจิ้งไม่ได้ให้หล่อนยืมเงิน
หากญาติสนิทของฟางเสียนจิ้งไม่ให้หล่อนยืม ซึ่งแปลว่าเงินที่ถูกยืมก่อนหน้ายังไม่ได้รับคืน มิฉะนั้นหล่อนคงหาเงินได้ไปแล้ว
แต่อย่างไรเธอไม่สามารถทำให้ฟางเสียนจิ้งต้องอับอายได้
เพราะอีกฝ่ายคือลูกสาวของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง อีกทั้งยังเป็นอาหญิงเพียงคนเดียวของฟางจั๋วหราน ซึ่งหลินม่ายจำเป็นต้องให้เกียรติ
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมฟางจั๋วหรานเป็นผู้นำครอบครัวของพวกเขา เผือกร้อนนี้จึงถูกโยนใส่ฟางจั๋วหรานแทน
ส่วนฟางจั๋วหรานจะทำอะไร เธอย่อมสนับสนุนแน่นอน
ฟางเสียนจิ้งไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินอย่างนั้น “ผู้ชายจะมาดูแลการเงินในบ้านได้อย่างไร ม่ายจื่อ เธออย่ามาโกหกฉันจะดีกว่า!”
หลินม่ายยังคงสงบ “หัวหน้าครอบครัวคือจั๋วหรานจริง ๆ ค่ะ ถ้าไม่เชื่อก็ลองถามจั๋วหรานดู”
ฟางเสียนจิ้งไม่ได้โง่ เมื่อหล่อนถามฟางจั๋วหราน อีกฝ่ายก็ต้องตอบว่าใช่น่ะสิ
แทนที่จะนั่งโต้เถียงกับหลินม่ายเรื่องนี้ หล่อนรีบถามอย่างร้อนรน “แล้วเธอสามารถให้ฉันยืมเงิน 300,000 หยวนได้ไหม?”
หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขยะแขยงคนผู้นี้ แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับไว้ “ฉันไม่ได้เป็นคนดูแลเรื่องเงินในครอบครัว และนี่เป็นวันปีใหม่ด้วย ถึงคุณอาจะบีบบังคับอย่างไร ฉันก็ตอบเรื่องนี้ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันว่าคุณอาไปถามจั๋วหรานดีกว่า”
จากนั้นเธอก็กล่าวเสริมอีกเล็กน้อย “ในเมื่อคุณอาอยากจะขอยืม คุยกับจั๋วหรานยังไงก็ง่ายกว่าค่ะ เพราะเขาเป็นหลานของคุณ”
ฟางเสียนจิ้งพูดไม่ออกสักครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายหล่อนก็เปิดปากว่า “ฉันเคยขอยืมเงินจากจั๋วหรานแล้ว แต่เขาไม่ให้ยืม ฉันเลยมาขอยืมเธอแทน ถ้าเธอไม่ให้ฉันยืมเงิน ลูกพี่ลูกน้องของเธอที่เรียนอยู่ในอเมริกาจะถูกรังแก”
หล่อนคว้ามือของหลินม่ายก่อนจะกล่าวอ้อนวอน “ฉันรู้ว่าในฐานะอา ฉันไม่ควรยืมเงินจากลูกหลาน แต่ตอนนี้ฉันไม่มีที่พึ่งแล้วจริง ๆ เพราะลูกพี่ลูกน้องของเธอมีทุนเรียนต่อแค่ปีเดียว ค่าใช้จ่ายในปีแรก รัฐเป็นผู้รับผิดชอบ แต่ค่าใช้จ่ายในปีที่สอง จะต้องรับผิดชอบเอง ทั้งอาเขยกับฉันได้ขายสมบัติในครอบครัวทั้งหมดเพื่อใช้จ่ายเป็นค่าเล่าเรียนปีที่สองของหล่อนไปแล้ว เวลานี้ฉันไม่มีเงินจริง ๆ เลยต้องมายืมเงินจากเธอ”
สวี่เมิ่งแก่กว่าหลินม่ายก็จริง แต่หลินม่ายเป็นน้องสะใภ้ของอีกฝ่าย แม้สวี่เมิ่งจะแก่กว่าไม่กี่ปี เช่นนี้ทั้งสองจึงถูกนับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
ฟางเสียนจิ้งยืมเงินจากพี่น้องทั้งสามคนของฟางเว่ยกั๋ว แม้กระทั่งปู่ฟางและย่าฟางก็ไม่ละเว้น
แต่ไม่มีใครให้ยืม ทุกคนต่างบอกให้หล่อนโทรหาสวี่เมิ่งซึ่งเป็นลูกสาวให้เดินทางกลับประเทศจีน เพราะสุดท้ายแล้วการไปเรียนต่อต่างประเทศของสวี่เมิ่งก็เป็นเรื่องไร้สาระ และเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์
ฟางเสียนจิ้งจะปล่อยให้สวี่เมิ่งกลับประเทศจีนได้อย่างไร?
ถ้าให้สวี่เมิ่งกลับมาตอนนี้ ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาจะไม่สูญเปล่าหรือ?
ยิ่งกว่านั้น ลูกสาวของหล่อนก็ไม่ได้อยากจะกลับบ้านด้วย
เพราะฟางเสียนจิ้งถูกปฏิเสธจากฟางเว่ยกั๋วและคนอื่น ๆ หล่อนจึงไม่กล้ายืมเงินจากฟางจั๋วหราน
หล่อนกลัวว่าจะถูกฟางจั๋วหรานปฏิเสธโดยการใช้ข้ออ้างว่าไม่สามารถขอเงินจากหลินม่ายได้ เพราะเหตุนี้หล่อนจึงมาคุยกับหลินม่ายโดยตรง
หล่อนคิดว่าหลินม่ายยังเด็ก และน่าจะมีผิวหน้าที่บางสักหน่อย อีกฝ่ายไม่น่าจะกล้าปฏิเสธ
หล่อนไม่ได้คาดหวังว่ามันจะยุ่งยากเช่นนี้ อีกทั้งหลินม่ายยังโยนทุกอย่างไปที่ฟางจั๋วหรานในประโยคเดียว
ฟางเสียนจิ้งไม่มีทางเลือก หล่อนทำได้เพียงบอกเล่าความจริงทั้งหมดและหวังว่าหลินม่ายจะเห็นใจและยอมช่วยเหลือ
หลินม่ายกล่าวโน้มน้าว “ถ้าไม่มีเงินก็ไม่เห็นต้องเรียนต่อเลยนี่คะ กลับประเทศจีนดีกว่าไหม?”
ฟางเสียนจิ้งโกรธมาก แต่พยายามระงับความเกรี้ยวกราดเอาไว้ก่อนจะตอบกลับว่า “ถ้ากลับประเทศจีนตอนนี้คงจะน่าเสียดายแย่ ลูกพี่ลูกน้องของเธอบอกว่าถ้าเรียนอีกหนึ่งปี จะได้รับใบรับรองการเรียนอย่างแน่นอนเลยล่ะ”
หลินม่ายนึกคิดอยู่ในใจก่อนจะขมวดคิ้วแน่น
“การที่ลูกพี่ลูกน้องจะไปเรียนต่อต่างประเทศสักปี ค่าใช้จ่ายทั้งหมดไม่ควรเกิน 200,000 หยวน แต่คุณอาขอยืมเงินฉัน 300,000 หยวนเลยนะคะ?”
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายเริ่มผ่อนปรนลงบ้างแล้ว ฟางเสียนจิ้งเริ่มรู้สึกดีใจ
หล่อนรีบอธิบาย “คนผิวสีบางคนในอเมริกาตกงานและชอบรังแกพวกที่อ่อนแอกว่า พวกเขามักจะเลือกจับเด็กนักเรียนจีนมาเพื่อรีดไถ ลูกพี่ลูกน้องของเธอตกเป็นเป้าหมายของพวกผิวสี หล่อนจึงต้องจ่ายค่าคุ้มครองทุกเดือน มิฉะนั้นจะถูกคนเหล่านั้นทุบตีเอาได้ เงิน 300,000 หยวนนี้รวมค่าคุ้มครองที่ลูกพี่ลูกน้องของเธอต้องจ่ายน่ะจ้ะ”
หลินม่ายได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งรู้สึกว่ามันผิดปกติ “ลูกพี่ลูกน้องของฉันถึงกับถูกรังแกในต่างแดน แต่หล่อนก็ยังต้องการจะเรียนให้จบเหรอคะ? ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันแปลก ๆ?”
ฟางเสียนจิ้งยกมือขึ้นฟ้าพร้อมกล่าวสาบาน “ทุกสิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริง!”
หลินม่ายรู้สึกสบประมาทอยู่ในใจ ‘แต่สิ่งที่ลูกสาวของคุณพูดน่ะเป็นเรื่องโกหก’
หลินม่ายจับมือหล่อนก่อนจะเริ่มกล่าวโน้มน้าวด้วยความจริงใจ “สถานการณ์ของลูกพี่ลูกน้องในต่างประเทศแย่มาก มันจะดีกว่าถ้าบอกกล่าวให้หล่อนกลับมาประเทศจีน เพื่อจะได้หลุดพ้นจากอันตรายพวกนั้น”
ฟางเสียนจิ้งกล่าวต่อ “แต่ตราบใดที่เรามีเงินจ่ายค่าคุ้มครองในทุกเดือน ลูกพี่ลูกน้องของเธอก็จะปลอดภัย ฉันว่าเธอไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย เพียงแค่หยิบเงินออกมาให้ฉันยืมเท่านั้น สุดท้ายแล้วเงินเพียง 300,000 หยวนก็นับว่าน้อยนิดสำหรับเธออยู่แล้ว”
ได้ยินอย่างนั้น หลินม่ายก็ไม่รู้จะแสดงสีหน้าอย่างไร
หรือว่าเพราะเธอร่ำรวยจึงสมควรถูกเอาเปรียบเช่นนี้?
ฟางจั๋วหรานกลับมาหลังจากซักผ้าอ้อมเสร็จแล้ว เขาได้ยินคำพูดสุดท้ายของฟางเสียนจิ้งพอดี ใบหน้าจึงเผยความเย็นชาก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ม่ายจื่อร่ำรวยเพราะหาเงินด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ไม่ใช่อาศัยลมพัดพา เวลานี้คุณอาพูดว่าหล่อนต้องให้คุณยืมเงิน แต่เมื่อได้รับแล้ว คุณต้องจ่ายคืนพวกเรา 300,000 หยวน! แล้วคุณอามีความสามารถที่จะชำระคืนไหมครับ?”
เมื่อกล่าวถึงการคืนเงิน ฟางเสียนจิ้งรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
เงินเดือนของสามีภรรยารวมกันไม่เกิน 600 หยวนต่อเดือน
พวกเขาได้รับเงินเพียง 7,200 หยวนต่อปี และถ้าไม่กินหรือดื่มอะไรเลย อยู่อย่างประหยัด ใน 10 ปีพวกเขาจะเก็บเงินได้เพียง 100,000 หยวนเท่านั้น
ถ้าต้องการเก็บเงินกว่า 300,000 หยวน คงจะต้องไม่กินหรือดื่มอะไรนานกว่า 30 ปี!
ฟางเสียนจิ้งถึงกับกล่าวติดขัด “ฉัน… กับอาของเธอ จะชดใช้คืนให้ตลอดชีวิตที่เหลือของพวกเรา”
ฟางจั๋วหรานถึงกับเย้ยหยัน “พวกคุณจะใช้เวลานานแค่ไหนในการคืนเงินเหรอครับ? แล้วมันจะครบ 300,000 หยวนไหม?”
ฟางเสียนจิ้งรู้สึกอับอายในคราวแรก ในเวลานี้กลับโกรธจัด “ฉันเป็นอาหญิงของเธอนะ แต่กลับกล้าต่อว่าฉันมากขนาดนี้ ยังคิดว่าฉันเป็นอาหญิงอยู่ไหม?!”
ฟางจั๋วหรานลดเสียงลง “คุณเป็นอาหญิงของผมจริง ๆ แต่กลับวางแผนจะข่มเหงพวกเรา อย่างนั้นผมขอถามหน่อยว่าคุณมองพวกเราเป็นหลานไหม!”
ฟางเสียนจิ้งคล้ายกับลูกบอลที่ถูกปล่อยลมออก “จะไม่ให้ฉันยืมจริง ๆ เหรอ?”
“ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้ออ้างครับ”
ฟางจั๋วหรานเปิดประตูออกกว้าง “ผมไม่อนุญาตให้คุณอายืมเงินม่ายจื่อเด็ดขาด กลับไปเถอะครับ นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเราจะพักผ่อนครับ”
ฟางเสียนจิ้งไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับออกไปด้วยความหดหู่
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โห ยืมเยอะขนาดนี้ไม่ปล้นกันเลยล่ะจบๆ เห็นม่ายจื่อเป็นตู้เอทีเอ็มเหรอ
สิ่งที่ป้าควรทำคือไปลากตัวลูกสาวกลับประเทศค่ะ ได้ทุนแล้วไม่ตั้งใจเรียนก็อย่าไปกันที่คนอื่นเขา
ไหหม่า(海馬)