ตอนที่ 875 โครงการใหญ่
ในวันที่หกของปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ ฟางเว่ยกั๋วและคนอื่น ๆ บินกลับไปที่เจียงเฉิงด้วยกัน
สมาชิกคนอื่น ๆ ของตระกูลฟางไม่จำเป็นต้องเตรียมของขวัญ เพราะนั่นคือครอบครัวของพวกเขาเอง
แต่พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมของขวัญสำหรับฟางเสียนจิ้งและภรรยา ลูกสาวและลูกเขยที่แต่งงานแล้วล้วนเป็นแขกผู้มีเกียรติ
หลินม่ายนำกระป๋องนมผงสองสามกระป๋อง ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากสหภาพโซเวียต นมผงแพะและจามรีแห้งจากมองโกเลียใน และของดีอื่น ๆ ใส่ถุงผ้าใบขนาดใหญ่แล้วมอบให้ฟางเสียนจิ้ง
เนื่องจากฟางเสียนจิ้งล้มเหลวในการยืมเงินจากหลินม่าย หล่อนจึงโกรธมากเมื่อเห็นเธอ
หล่อนเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ปฏิเสธที่จะรับของขวัญที่หลินม่ายเตรียมไว้ให้
เมื่อคุณปู่ฟางเห็นก็โกรธมาก จึงพูดกับหลินม่าย “หล่อนไม่อยากรับไว้หรอก อย่าพยายามไปเป็นห่วงเป็นใยเลย เก็บของดีเหล่านั้นไว้ให้ปู่กับย่ากินดีกว่า”
ฟางเสียนจิ้งและสามีของหล่อนยังคงต้องการสิ่งเหล่านั้น พวกเขาต้องการให้หลินม่ายอ้อนวอนตนมากขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบา ซึ่งบอกให้เธอทำให้อาหญิงคนเดียวของเธอขุ่นเคืองใจ
แต่ไม่คาดคิดว่าพ่อของหล่อนจะกีดกันหล่อนและสามีจากการครอบครองสิ่งดีเหล่านั้น
ฟางเสียนจิ้งถึงกับโกรธจัด หล่อนดึงสามีขึ้นแท็กซี่และตรงไปที่สถานีรถไฟด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ฐานะทางการเงินของครอบครัวของหล่อนตกต่ำลงเพราะลูกสาวสุดที่รักซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในสหรัฐฯ หล่อนไม่ร่ำรวยเท่าพี่น้องคนอื่น ๆ ที่สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับได้ แต่มีมีเงินพอจะซื้อตั๋วรถไฟเท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะโกรธ หล่อนไม่คิดจะนั่งแท็กซี่ด้วยซ้ำ
หลังจากที่ฟางเสียนจิ้งและสามีจากไป หลินม่ายและสามีก็ส่งฟางเว่ยกั๋วและครอบครัวของเขากลับไปที่เจียงเฉิงทางเครื่องบิน
ระหว่างรอในห้องโถงสนามบิน จ้าวเชี่ยนหรูหลานสาวของคุณปู่จ้าวก็มาหาเธอ
ทุกคนรู้ดีว่าจ้าวเชี่ยนหรูมาที่นี่เพื่อมาหาฟางจั๋วเยวี่ยเป็นหลัก
ทุกคนยืนห่าง ๆ เพื่อสร้างโอกาสให้ทั้งสองคนได้พูดคุยกัน
ฟางจั๋วเยวี่ยไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว และปัญหาสำคัญในชีวิตของเขายังไม่ได้รับการแก้ไข พ่อและพี่ ๆ ของเขาจึงมีความวิตกกังวลเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าฟางจั๋วเยวี่ยพูดอะไรกับจ้าวเชี่ยนหรู แต่หญิงสาวมากลับวิ่งหนีไปทั้งน้ำตา
ฟางเว่ยกั๋วและคนอื่น ๆ ล้อมรอบฟางจั๋วเยวี่ยทันทีและต่อว่าเขา
ทุกคนไม่รู้จะทำอย่างไร
จ้าวเชี่ยนหรูเข้ากับเขาทุกอย่างตั้งแต่รูปร่างหน้าตา การศึกษา สถานะครอบครัว แต่เขากลับปฏิเสธหล่อน
ไม่ว่าทุกคนจะพูดอะไร ฟางจั๋วเยวี่ยก็ยังคงเงียบ
หลินม่ายเดาว่าเขายังคงมีเถาจืออวิ๋นอยู่ในใจ จึงไม่เต็มใจที่จะลองคบหากับผู้หญิงคนอื่น
หลังจากที่ฟางเว่ยกั๋วและคนอื่น ๆ กลับไป หลินม่ายก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนจะเปิดเรียน
ขณะนี้เธอรู้สึกกดดันกับปัญหาส่วนตัว
หลินม่ายต้องใช้เวลาทั้งวันไปกับการเรียนหนังสือ แล้วเธอจะให้นมลูกได้อย่างไร
แม้การป้อนนมผงให้กับเสี่ยวมู่ตงจะช่วยแก้ปัญหาได้ แต่ลูกชายของเธอไม่ค่อยชอบดื่มนมผงทุกครั้งที่ได้ดื่มมัน เขามักจะคร่ำครวญและสะอึกสะอื้นเป็นเวลานาน จากนั้นก็ปฏิเสธที่จะดื่มมันอีก
หลินม่ายรักลูกคนนี้มาก เธอจะยอมให้เขาดื่มนมผงทุกวันเช่นนี้ได้อย่างไร จึงยอมให้ดื่มได้เพียงครั้งคราวเท่านั้น
อีกทั้งน้ำนมของเธอก็มีมากพอจะเลี้ยงลูกคนอื่นได้
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับทารก หลินม่ายพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ทารกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
ทั้งครอบครัวมีการประชุมกันเกี่ยวกับปัญหานี้ และการสนทนาที่มีชีวิตชีวาก็เกิดขึ้น
ฟางจั๋วหรานเสนอให้หลินม่ายบีบน้ำนมใส่ภาชนะสะอาดทิ้งไว้แล้วจึงเดินทางไปเรียน
เมื่อเสี่ยวมู่ตงอยากกินก็ค่อยให้อุ่นให้เขาดื่ม การกระทำเช่นนี้จะทำให้เขาได้รับสารอาหารจากนมแม่อย่างครบถ้วน
ข้อเสนอของเขาถูกปฏิเสธโดยคุณย่าฟางทันที
คุณย่าฟางกล่าวว่าการบีบคั้นน้ำนมแม่นั้นนอกจากจะทำให้เจ็บปวดแล้ว ยังทำลายสารอาหารอีกด้วย
ฟางจั๋วหรานอธิบายว่าตราบใดที่น้ำนมแม่ถูกเก็บไว้ในตู้เย็น น้ำนมจะสามารถคงสภาพและรักษาคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้
แต่คุณย่าฟางไม่เชื่อ ยืนกรานที่จะให้หลานดื่มนมจากเต้าเท่านั้น
ทั้งปู่และหลานไม่อาจโน้มน้าวใจคุณย่าฟางได้
คุณปู่ฟางขมวดคิ้วคิดอยู่นานก่อนจะกล่าว “เราจ้างพี่เลี้ยงเต็มเวลาให้ดูแลม่ายจื่อและลูกไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมระหว่างที่หลินม่ายเดินทางไปเรียนหนังสือ เราไม่ให้น้าถังรับหน้าที่ดูแลเหลนล่ะ? เมื่อม่ายจื่อเรียนหนังสือในห้องก็ให้น้าถังเลี้ยงลูกรอนอกห้อง หลังเลิกเรียน ม่ายจื่อค่อยออกมาให้นมลูก”
คุณย่าฟางกลอกตาใส่เขา “คุณคิดแบบนั้นได้ยังไง? ปีใหม่แล้วก็จริง แต่อากาศยังหนาวอยู่ คุณจะให้พี่เลี้ยงรอนอกห้องเรียนพร้อมกับทารกในอ้อมแขนแบบนั้นมีแต่จะทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทุกข์ทรมาน!”
ฟางจั๋วหรานยังกล่าว “ม่ายจื่อก็คงอายที่จะให้นมลูกนอกห้องเรียน”
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “ไม่มีหอพักในวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยชิวหวาเหรอ? เราเอาเงินไปซื้อหอพักแล้วย้ายไปอยู่ที่นั่นกันจะดีกว่า ม่ายจื่อจะได้ไม่ต้องอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยอีกต่อไป และก็จะสะดวกที่จะให้นมลูกทั้งในตอนเช้า เย็น และกลางดึก หากลูกรู้สึกหิวก็ให้ม่ายจื่อกลับมายังหอพักเพื่อให้นมลูก หรือให้พี่เลี้ยงนำลูกไปหาหล่อน แล้วให้หล่อนป้อนนมในช่วงที่ว่าง เมื่อให้นมเสร็จแล้วก็ค่อยนำกลับมา”
ทุกคนรู้สึกว่าข้อเสนอนี้ดีและได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์
หลินม่ายกล่าว “การหาห้องเรียนช่วงว่างมันลำบากมาก เพราะอาจมีคนเข้ามาในทุกเมื่อ คงจะเป็นการดีกว่าหากฉันเดินทางมาให้นมลูกด้วยตัวเอง ทั้งสะดวกและยังไม่ทำให้ลูกโดนลมหนาวโจมตีด้วย”
ทุกคนเห็นด้วย
หลินม่ายวางแผนที่จะออกไปเพื่อซื้อหอพักมหาวิทยาลัยชิงหวาในวันพรุ่งนี้
หลังเสร็จสิ้นการรับประทานอาหารกลางวัน เธอพาลูกขับรถไปยังห้างสรรพสินค้า
เธอวางแผนที่จะซื้อกระเป๋าใบใหญ่เพื่อที่จะได้พาลูกออกไปซื้อบ้านและเก็บข้าวของจำเป็นของลูก
หลินม่ายเกิดในชนบท เคยใช้ชีวิตอย่างลำบากในยามไม่มีเงิน เธอจึงรู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรเมื่อมีเงิน
แม้จะเป็นเพียงกระเป๋าใบใหญ่สำหรับใส่ของใช้เด็ก แต่เธอก็ยังต้องการกระเป๋าที่ดี
เธอจอดรถที่ทางเข้าห้างสรรพสินค้า มัดทารกไว้กับอก แล้วตรงไปที่เคาน์เตอร์กระเป๋าและเครื่องหนังบนชั้นสอง เธอต้องการซื้อและจากไปอย่างรวดเร็ว
มีคนจำนวนมากในห้างสรรพสินค้าและอากาศไม่ไหลเวียน ซึ่งไม่ดีต่อทารก
เธอเดินไปรอบ ๆ และเลือกกระเป๋าหนังสีดำใบหนึ่ง
เธอหยิบกระเป๋าออกมาดูและเห็นว่าสามารถจุของได้เยอะ มีหลายช่อง และเป็นกระเป๋าที่ใช้งานได้จริง
แต่ราคาไม่ถูกเลย กระเป๋าหนึ่งใบมีราคามากกว่าหนึ่งร้อยหยวน เทียบได้กับเงินหนึ่งเดือนของคนงานชรา
แต่สำหรับหลินม่าย นี่เป็นเพียงเงินจำนวนเล็กน้อย
เธอหยิบเงินออกมาและขอให้พนักงานขายช่วยไปจ่ายค่ากระเป๋าให้เธอ แล้วเธอเตรียมพร้อมที่จะออกไปพร้อมใบเสร็จ
ทันใดนั้นก็มีบุคคลหนึ่งยื่นศีรษะออกมาและจ้องมองหลอนม่าย “ฉันนึกว่าฉันจำคนผิด ที่แท้ก็เป็นคุณจริง ๆ ด้วย!”
หลินม่ายมองกลับไปยังหญิงคนนั้นและยิ้มทันที “คุณสี บังเอิญมากเลยค่ะที่ได้พบกัน ไม่เจอกันนานหนึ่งปี คุณสีดูอ่อนเยาว์ลงมากเลยนะคะ”
คำทักทายนับพันไม่อาจเทียบได้กับหนึ่งคำเยินยอ
คุณนายสียิ้มทันที “ดูสิ ปากหวานเหมือนน้ำผึ้งเดือนห้าเลยนะคะ”
หล่อนตบแขนของหลินม่ายอย่างเสน่หา และยกกระเป๋าหนังจระเข้ในมือขึ้น “รอสักครู่นะคะ ฉันขอไปจ่ายค่ากระเป๋าสตางค์ใบนี้ก่อน เราไปหาที่คุยกันดีกว่าค่ะ ฉันมีเรื่องจะบอกคุณ”
หล่อนคิดมาโดยตลอดว่าจะเปิดเผยข่าวกับหลินม่ายว่า สำนักงานการรถไฟมีโครงการที่ใหญ่กว่าเพื่อตอบแทนที่เธอขอให้คุณหมอเริ่นช่วยรักษาโรคกระเพาะของหัวหน้าสีได้อย่างไร
หล่อนไม่คาดคิดว่าจะบังเอิญได้พบกันหลินม่ายในวันนี้
หลินม่ายตามคุณนายสีไปและจ่ายเงินให้กับหล่อน
คุณนายสีพูดด้วยความโกรธและเอ็นดู “สาวน้อยคนนี้… จริง ๆ เลยนะ…”
ดูเหมือนหล่อนจะตำหนิ แต่ในใจกลับมีความสุขและมีความประทับใจที่ดีต่อหลินม่ายเพิ่มมากขึ้น
ทั้งสองออกจากห้างสรรพสินค้า หลินม่ายพาคุณนายสีไปที่ร้านกาแฟระดับไฮเอนด์
เธอไม่เพียงสั่งกาแฟที่แพงที่สุดให้กับคุณนายสีเท่านั้น แต่ยังสั่งของว่างที่แพงที่สุดอีกด้วย
แต่เธอสั่งเพียงนมร้อนที่ชงจากนมผงหนึ่งถ้วยสำหรับตัวเธอเอง
เธอคลายทารกที่ผูกไว้ในอกให้นั่งบนตัก และถามอาการของหัวหน้าสีด้วยรอยยิ้ม
คุณนายสีจิบกาแฟแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “ตั้งแต่ที่เขากินยาของคุณหมอเริ่น ตราบใดที่เขาไม่ดื่มเหล้าหรือกินของที่แสลงท้อง เขาก็ไม่เคยรู้สึกปวดท้องเลย ฉันคิดว่าภายในเวลาไม่ถึงปี โรคกระเพาะของหัวหน้าสีจะหายขาด”
หลินม่ายพยักหน้า “ถือเป็นข่าวดีเลยนะคะ”
หลอนม่ายป้อนนมทารกด้วยช้อนขนาดเล็ก
เสี่ยวมู่ตงไม่ชอบดื่มนม ดังนั้นเขาจึงดื่มเพียงเล็กน้อย
คุณนายสียิ้ม “ดูสิ คุณช่วยเหลือครอบครัวของเรามาก และฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนเลย บังเอิญสามีของฉันมีโครงการอยู่ในมือ ฉันไปขอให้เขายกให้คุณดูแลดีไหม?”
“คุณสีพูดจาสุภาพจังเลยนะคะ” หลินม่ายถามด้วยรอยยิ้ม “ว่าแต่เป็นโครงการอะไรเหรอคะ?”
คุณนายสีส่ายศีรษะ “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณลองไปถามหัวหน้าสี สามีฉันดูสิ”
เมื่อเห็นหลินม่ายเงียบ หล่อนก็คิดว่าเป็นเพราะสามีของหล่อนเคยปฏิเสธและทำให้หลินม่ายผิดหวังแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นหลินม่ายจึงไม่ต้องการเผชิญสถานการณ์เช่นนั้นอีก
คุณนายสีตบหน้าอกพลางกล่าว “อย่ากลัวว่าสามีของฉันจะปฏิเสธคุณในครั้งนี้เลยค่ะ ถ้าเขาปฏิเสธคุณให้รีบบอกฉันเลยนะคะ ฉันจะจัดการเขาเอง!
หลินม่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หลังจากทั้งสองคุยเรื่องธุรกิจเสร็จ คุณนายสีก็ดื่มกาแฟหมดและออกไปก่อนเพราะเห็นว่าหลินม่ายยังคงป้อนนมลูกอยู่
หลินม่ายป้อนนมลูกและดื่มนมที่เหลือของลูกจนหมด จากนั้นจึงลุกขึ้นไปจ่ายเงิน
เมื่อกลับมาที่รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ หลินม่ายมองดูนาฬิกาและพบว่ายังเช้าอยู่
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ขับรถไปหาหัวหน้าสี
เป็นเพราะเธอลงมือช้าเกินไปเมื่อคราวที่แล้ว จึงทำให้นกบินหนีไป ครั้งนี้เธอจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นอีก
เมื่อมาถึงสำนักงานของหัวหน้าสี หลินม่ายรู้สึกเขินอายเล็กน้อยและถามตรงประเด็น “หัวหน้าสีคะ ฉันได้ยินมาว่าคุณมีโครงการอยู่ในมือ ต้องการให้ฉันช่วยดูแลไหมคะ?”
หัวหน้าสีรู้สึกยินดีเมื่อเห็นสิ่งนี้ แต่เขาไม่ได้แสดงให้เห็น เพียงถามด้วยรอยยิ้ม “คุณรู้ไหมว่าโครงการนี้คืออะไร? คุณต้องการจะรับหน้าที่ดูแลมันจริงเหรอ?”
หลินม่ายยิ้มและถาม “โครงการอะไรเหรอคะ?”
“คุณกล้าสร้างเส้นทางรถไฟใต้ดินหรือไม่?”
หลินม่ายตกตะลึง
ข้อกำหนดสำหรับเส้นทางรถไฟใต้ดินนั้นสูงกว่าข้อกำหนดสำหรับการสร้างสะพาน ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าตกลง และต้องถามผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณเจิ้งเสียก่อน
เธอหัวเราะพลางตอบ “ตอนนี้ฉันไม่กล้าตอบคุณจริง ๆ ค่ะ ฉันให้คำตอบในอีกสองสามวันได้ไหมคะ?”
หัวหน้าสีพยักหน้า “ได้สิ”
เมื่อออกมาจากสำนักงาน หลินม่ายก็นึกสบประมาทในใจ แม้หัวหน้าสีจะต้องการมอบโครงการให้เธอก็ตาม
เขาต้องรู้สึกไม่พอใจเธออยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มอบงานที่ยากเย็นเช่นนี้ให้เธอดูแล
เมื่อกลับถึงบ้าน หลินม่ายโทรหาคุณเจิ้งและถามว่าเขากล้าที่จะรับช่วงต่อโครงการรถไฟใต้ดินหรือไม่
ในช่วงปี 1980 ไม่มีเมืองอื่นใดที่มีรถไฟใต้ดินยกเว้นในปักกิ่งและเทียนจิน หลินม่ายจึงกลัวว่าคุณเจิ้งจะไม่เข้าใจวิธีการสร้างเส้นทางรถไฟใต้ดิน
คุณเจิ้งบอกเธอว่าเขามีส่วนร่วมในการสร้างรถไฟใต้ดินสายเดียวในเมืองหลวงตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์
แต่เขาไม่กล้าตกลง เขาต้องได้ประเมินสถานที่จริงด้วยตัวเองเสียก่อน
หลินม่ายรู้สึกปลาบปลื้มในใจ
เนื่องจากคุณเจิ้งมีส่วนร่วมในการก่อสร้างเส้นทางรถไฟใต้ดินเมื่อเขายังเด็ก โครงการรถไฟใต้ดินนี้จึงน่าจะมีเสถียรภาพ
เธอโทรหาเจียวอิงจวิ้นและขอให้เขาพาคนไปรับคุณเจิ้งจากเจียงเฉิงด้วยตัวเอง
เธอโทรหาเสิ่นเสี่ยวผิงอีกครั้งและขอให้หล่อนเลือกโรงแรมที่ดีที่สุดและแพงที่สุดเพื่อจัดที่พักให้กับคุณเจิ้ง
ครั้งนี้คุณเจิ้งมาที่ปักกิ่งเพื่อดูว่าโครงการรถไฟใต้ดินจะได้รับการยอมรับหรือไม่ เขาจึงต้องพักในโรงแรมเป็นการชั่วคราว
หลังจากรับโครงการแล้ว หลินม่ายจะซื้อบ้านหลังใหม่ให้คุณเจิ้งได้อยู่อาศัยเช่นเดียวกับคุณอวี๋
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สร้างรถไฟใต้ดินนี่ก็เป็นงานหนักเหมือนกันนะ ต้องดูความปลอดภัยอย่างยิ่งยวดเลย
ไหหม่า(海馬)