ผมย้ายไปห้องที่จัดชั้นเรียนไว้ คาบแรกคือวิชาคณิตศาสตร์
“เน่..มานั่งนี่สิ กำลังหาที่นั่งอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“เอ๊ะ? อาา..อื้ม”
เมื่อผมกำลังมองหาที่นั่งว่างๆ เอเลน่าก็กวักมือเรียก
“ไอ้การตอบสนองนั่นมันอะไรกัน อะไร ไม่พอใจที่จะนั่งเรียนข้างๆฉันคนนี้งั้นเหรอ?”
“เปล่านะ ก็แค่…มันดูแปลกๆที่เธอมาชวนฉันแบบนี้”
ใช่ มันแปลกจริงๆ
ในความทรงจำเธอไม่เคยพูดแบบนี้กับเบเรต์เลย
“คือว่านะ ขนาดนายยังเปลี่ยนท่าทีกับเชียได้เลยนี่?”
“อะฮา ฮา นั่นก็จริงนะครับ”
ก็ดีใจอยู่หรอกที่ชวนให้นั่งด้วย แต่ผมก็คิดว่าควรนั่งตรงนี้จริงๆเหรอ
ขณะที่ผมนั่งลงข้างเอเลน่า นํ้าหอมกลิ่นมะลิอ่อนๆก็เข้ามาตีจมูก
“นี่ เอเลน่า ถึงจะพึ่งมาถามเอาป่านนี้มันก็ดูยังไงๆอยู่ แต่ว่า…”
“อะไรล่ะ”
“นี่เธอไม่มีเพื่อนเลยงั้นเหรอ?”
“หา!?”
ทันใดนั้น ไหล่ของเอเลน่าก็กระตุกอย่างแรงดวงตาสีม่วงเบิกกว้าง
“ถ้ามองย้อนกลับไป…ก็นะ จริงๆก็ไม่ได้สนใจขนาดนั้นหรอก แต่เห็นปกติเธอเรียนอยู่คนเดียว ตอนเดินมาโรงเรียนก็มาคนเดียวอีก”
“มุมุ มุ~”
เธอน่าจะอายรึเปล่านะ ถึงได้ส่งเสียงงึมๆไม่เป็นคำออกมา แก้มสีขาวนวลของเธอก็กลายเป็นแดงจางๆไปแล้ว
“น- นายอยากจะพูดอะไรกันแน่”
หน้าของเธอยังคงขึ้นสีอยู่ แต่สีหน้ากลายเป็นบูดบึ้งแทน
“ก็แค่ถามเฉยๆ เห็นมีคนหลายประเภทคอยเข้าหาเธอเสมอนี่ แล้วพวกนั้นก็ดูจะไม่ได้เกลียดเธอ ไม่เหมือนกับฉัน”
“น่- นั่นน่ะ…นายไม่ได้กำลังแดกดันฉันอยู่ใช่มั้ย…”
“แน่นอนสิ”
ผมรู้อยู่แล้วว่าเอเลน่าค่อนข้างเป็นที่นิยม
ผมยังรู้ด้วยอีกว่า เธอได้รับคำขอแต่งงานมากมาย รูปร่างสง่างามผมยาวสีแดงเพลิงนัยน์ตาสีม่วง มีสมญานามว่า ‘เจ้าหญิงแห่งเบนิฮานะ’
“ที่จะบอกคือ ฉันก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะไปพูดแดกดันเธอได้หรอก”
“อะ! อุฟุฟุฟุ~ ก็นั่นน่ะสิน้า”
“ตลกมากใช่มะ?”
“เอ๊ะ? อะ ข- ขอโทษ ก็นี่มันเป็นครั้งแรกนี่นา ที่นายพูดด้อยค่าตัวเองแบบนี้ มันตลกมากจริงๆนะ”
“ขอบคุณสำหรับคำชมนะ”
ฮ่ะ เป็นคำชมที่ไม่น่ายินดีเลยสักนิด
ผมหรี่ตาลงครึ่งนึงและมองเธอให้เธอพูดต่อ เอเลน่าถอนหายใจเล็กน้อยและเริ่มพูดต่อ
“…ก็ บอกตามตรง มีแค่ไม่กี่คนหรอกที่เรียกว่าเพื่อนได้ มีหลายคนเกรงกลัวฐานะบุตรสาวของท่านเอิร์ล ถ้าเอาแค่ภายในโรงเรียนนี้ ก็คงนับได้ด้วยมือเดียว แต่คนที่เป็นเพื่อนกับฉันก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษอะไรหรอกนะ”
“เห”
ไม่ได้รับสิทธิพิเศษ…งี้นี่เอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับพวกขุนนางสินะ
“สำหรับคนที่เป็นขุนนางแล้วมันก็ดูแปลกจริงๆใช่มั้ยล่ะ?”
“ก็นะ แต่ถ้ามองกลับกัน คำว่าเพื่อนสำหรับขุนนางมันไม่ค่อยมั่นคงสักเท่าไหร่นี่นะ สู้ไปหาเพื่อนที่ไม่ใช่ขุนนางแล้วไม่หวังผลประโยชน์อะไรเลยจะดีกว่าอีก”
“ที่จริงแล้วก็หัวดีเหมือนกันสินะ นายน่ะ”
เธอยิ้มตอบราวกับว่า นั่นคือคำตอบที่ถูกต้อง
“ก็ตามนั้นแหละ ฉันไม่อยากคบกับเหล่าขุนนางในโรงเรียนนี้นักหรอก เพราะมีพวกที่ชอบใช้อำนาจบาทใหญ่เต็มไปหมด ฉันก็ไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะ แต่ว่านายเองก็มาจากด้านนั้นเหมือนกัน”
“เป็นงั้นเหรอ? นั่นสินะ คำขวัญของโรงเรียนนี้…เอ ว่าไว้ยังไงกันนะ”
“ฉันว่านายต้องจะแปลกใจแน่ๆ ‘นักเรียนทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน’ น่ะ ”
“โฮ่.. งี้นี่เอง”
“…อะ อาเร๊ะ? น–นี่มัน ฉันหมายถึง ถึงนายจะเป็นขุนนางขั้นมาร์ควิส ส่วนฉันขั้นเอิร์ล แต่ถ้าอยู่ในโรงเรียนนี้ไม่ว่านายหรือฉันต่างก็มีสถานะเท่าเทียมกัน ฉันหมายถึงแบบนั้นเลยนะ! ” `TN:ลำดับขั้นมาร์ควิสสูงกว่าเอิร์ลนะครับ
“อา เป็นงั้นเองสินะ”
“….”
“……”
เอเลน่าพูดไม่ออกเพราะปฏิกิริยาของเบเรต์ต่างจากที่คิดไว้
“ดะ- เดี๋ยวนะ แค่นั้นเองอ่ะนะ? มันไม่ฟังดูน่าขัดใจบ้างเหรอ? โวยวายให้เหมือนคนอื่นๆหน่อยสิ”
“ไม่เอาอะ ทำไมผมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ?”
“เอ๊ะ? ….-พูดอีกอย่างคือมันเปรียบเสมือนโดนถอดยศไปเป็นสามัญชนเลยนะ! ไม่น่าหงุดหงิดบ้างเลยเหรอ? สามัญชนเลยนะ!! แม้แต่สามัญชนก็จะไม่เรียกนายว่าท่านมาร์ควิชเลยนะ จะเรียกนายห้วนๆแค่ว่า ‘เบเรต์คุง’ แค่นั้นเองนะ!? ”
“ก็แค่ในโรงเรียนไม่ใช่เหรอ? ถ้าแค่นั้นล่ะก็ไม่มีปัญหา”
“น- ”
“เดิมทีแล้วคนที่ได้ตำแหน่งมาควิสก็ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นพ่อของฉันนี่นา แล้วจะใส่ใจไปทำไมกัน”
“นะ น- นน นน นุ…”
‘ทำไมนายถึงได้มีความคิดแบบเดียวกับฉันเลยล่ะ!?’ เธอคงอยากจะพูดแบบนี้ล่ะมั้ง โดยปกติเธอเป็นเด็กผู้หญิงที่เข้มแข็ง ลุคนิ่งๆ อาจจะเพราะสับสนถึงได้ส่งเสียงตะกุกตะกักออกมาแทน ก็ดูน่ารักดี
(อ๊ะ จริงสิ ผมคือเบเรต์คนนั้นนี่หว่า ถ้าตามปกติคงจะหัวร้อนไปแล้วนี่นะถ้าได้ยินแบบนั้น)
ผมที่พึ่งแสดงความเห็นแบบนั้นออกไป แต่ดันพึ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวผมก็คือเบเรต์
“อะ น-นี่นาย นี่นายน่ะ พยายามกลบเกลื่อนเพื่อที่จะให้ฉันยอมเป็นเพื่อนด้วยใช่มั้ยล่ะ ม-ไม่ยอมหลงกลนายง่ายๆหรอกนะ”
“ไม่ ไม่ ถ้าคิดตามปกติแล้ว มันก็ไม่จำเป็นสำหรับการเรียนเลยนี่ลำดับชนชั้นของขุนนางอะไรนั่น มีแต่จะรบกวนการเรียนทั้งนั้น”
“น่ะ- นั่นมัน…ก็จริง”
เอเลน่าบ่นงึมงำ ม่านตาหดเล็กลง เหมือนตะลึงจนพูดไม่ออก
“ไม่สิ อย่างที่คิด ที่นายพูดมาน่ะโกหกสินะ ไม่งั้นมันก็ขัดแย้งกันน่ะสิ”
“ขัดแย้ง?”
“ใช่สิ ก็นายเคยใช้เชียไปเอาอาหารมาให้ทุกวี่ทุกวันเลยนี่นา”
“อ่า..นั่นมัน…..(นั่นมันก็จริง)”
ผมถึงกับพูดไม่ออก แต่ก็คิดข้อแก้ตัวที่ดูสมเหตุสมผลได้ในเวลาต่อมา
“สุดท้ายแล้วก็มีขุนนางมากมายมาเรียนที่นี่ไม่ใช่เหรอ? ถ้าจะให้พูดแบบเจาะจงก็คือ มีนักเรียนหลายคนที่เป็นแบบเชียที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามและคอยรับใช้ด้วย ‘นักเรียนทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน’ ลองคิดดูถ้าฉันให้อภิสิทธิ์พิเศษกับเชียอะไรจะเกิดขึ้น ”
“อา….”
ใช่ เธอจะกลายเป็นแกะดำทันที
ทุกคนจะมองเธอด้วยสายตาเย็นชา
โดยเฉพาะนักเรียนคนอื่นที่มีฐานะเช่นเดียวกับเธอ ความอิจฉาริษยาคงเพิ่มเป็นทวีคูณแน่ ดีไม่ดีอาจลามไปถึงการกลั่นแกล้งเลยด้วยซํ้า
“ฉันจะเริ่มปล่อยให้เชียเป็นอิสระตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าจนถึงตอนนี้ ฉันทำร้ายเธอไปมากแค่ไหน โดยธรรมชาติของคนประเภทเดียวกันก็คงจะเห็นใจเชียว่า ‘อดทนได้ดีมากเลยนะ’ เมื่อเธอเป็นอิสระก็จะไม่มีใครมาตามรังควานเธออีก”
(ผมก็ยังอุส่าหาข้ออ้างมาแถได้แบบนี้อีกนะ….)
ผมรู้สึกทึ่งกับตัวเองจริงๆ เรียกว่ามีพรสวรรค์ได้เลยนะเนี่ย
“น- นี่นายคิดไปถึงขั้นนั้นเลยเหรอ….ถ้าทุกคนรู้เรื่องนี้นายก็คงจะไม่มีข่าวลือแย่ๆเยอะขนาดนั้น ”
“ข่าวลือก็ต้องทำให้ดูโอเวอร์เกินจริงอยู่แล้วนี่ ก็นะบางทีอาจจะเป็นอย่างที่เธอว่าก็ได้”
(ทว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะครับ ที่จริงเบเรต์จะทำลายทุกอย่างที่เขาไม่ชอบเลยต่างหาก)
ตัวตนของเบเรต์ที่แท้จริง..มันช่างเป็นความรู้สึกที่น่าหงุดหงิดจริงๆ
“ก็จริง -ที่นายพูดมามันก็มีเหตุผล”
“แต่ว่าที่ฉันเป็นต้นเหตุของข่าวลือทั้งหมดนั่นก็เป็นเรื่องจริง จัดการทุกคนที่ไม่ชอบขี้หน้า ฉันจะไม่โทษพวกที่กุข่าวลือขึ้นมาหรอกนะ เพราะมันช่วยไม่ได้นี่นา”
อย่างที่คิด เรื่องราวนี้ไม่สามารถสรุปไปในทางที่ดีได้เลย
“แล้ว..จะยอมเชื่อมั้ยล่ะว่าที่ฉันพูดไม่ใช่เรื่องโกหก?”
“เอะ- อ อือ ถึงมันจะดูไม่น่าเชื่อก็เถอะ”
“เป็นคำตอบที่ชวนสับสนดีนะ”
ผมรู้สึกโล่งอกที่มีเธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นและเธอก็ไม่ได้ทำให้เรื่องให้มันยุ่งยากไปกว่านี้
“ก็นะ แต่มันก็ดูสมกับเป็นเอเลน่าดี การที่ไม่มีเพื่อนเป็นขุนนางเลยนั่นก็หมายความว่าไม่ต้องคอยกังวลเรื่องลำดับชั้น ไม่แปลกใจเลยทำไมเธอถึงเป็นเพื่อนกับเชียได้ ”
“แต่ฉันแปลกใจมากกว่า ก็ตอนที่ฉันบอกความคิดของฉันให้นายฟัง ฉันคิดว่านายจะโกรธจนควันออกหูซะอีก….”
ตอนที่เอเลน่าพูดจบ เธอขยับโช้คเกอร์ที่คอและดูกระสับกระส่ายเล็กน้อย
‘กิ๊ง ก่ง เก๊ง ก่อง’
เสียงอ๊อดโรงเรียนดังขึ้น พร้อมกับประตูห้องเรียนที่เปิดออก
“อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกคน กรุณาเปิดไปหน้าที่ 129 ด้วยค่ะ”
อาจาร์ยที่บางทีอาจจะรออยู่หน้าระเบียงอยู่แล้ว เริ่มเดินเข้ามาและเริ่มบอกให้เปิดหนังสือ
และชั่วโมงเรียนก็ได้เริ่มต้นขึ้น
“ข- ขอบคุณนะ เบเรต์..ฉันรู้โล่งขึ้นนิดหน่อยแล้วล่ะ”
“หืม? เรื่องอะไร?”
“…เรื่องที่คุยกันเมื่อกี้ไง”
“อ่าา ไม่เป็นไร”
แล้วทั้งสองคนก็แอบซุบซิบคุยกันอย่างลับๆ อยู่สักพักหนึ่ง…