เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น? – ตอนที่ 7 เริ่มเคลื่อนไหว

เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น?

“กิ๊ง ก่อง แก๊ง ก่ง”

 

เสียงออดสัญญาณดังไปทั่วอาคาร และคาบเรียนที่ 4 ก็ได้จบลง

 

ช่วงเวลาถัดมาจึงเป็นช่วงพักกลางวัน

 

“ฟู่วว ในที่สุดก็ได้พักสักที”

 

ผมถอนหายจากออกขณะปิดสมุดบันทึกและเอนหลังพิงเก้าอี้

 

“…นี่นาย ตั้งใจเรียนจริงๆงั้นเหรอเนี่ย ช่างน่าตกใจซะจริง”

 

“ก็นะ ถ้าฉันโหวกเหวก ฉันก็อาจจะโดนแทงด้วยปากกาก็ได้นี่นะ”

 

ณ ตอนนี้ เบเรต์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นปัญหาในชั้นเรียนเลย ไม่มี ไม่มีเลยสักเรื่องเดียว

 

ถึงอย่างนั้น ผมก็พูดเบาๆ บรรยากาศโดยรอบจะไม่ได้ดูรู้สึกอึดอัดเกินไป

 

“หืม? นี่ฉันคิดไปเองรึเปล่านะคะ ไอ้ ‘แทงด้วยปากกา’ เนี่ย ไม่ใช่ว่าหมายถึงฉันหรอกนะ? ”

 

“ก็ไม่นะ เปล่าซะหน่อย”

 

“อาร่า.. งั้นเหรอ ขอโทษที่เข้าใจผิดนะคะ”

 

“ไม่เป็นไร”

 

“แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เพราะไม่มีใครสามารถโจมตี ‘มารร้าย’ ได้นี่นา อุฟุฟุ”

 

“ว่าใครเป็นมารร้ายกันห๊ะ”

 

“อุฟุฟุฟุ เพราะนายพูดจาเสียมารยาทก่อนเองนะ ฮิฮิ”

 

หลังจากที่ถกกันเรื่องคำขวัญโรงเรียนเรื่อง ‘ความเท่าเทียม’ ไป ระยะห่างระหว่างผมกับเอเลน่าก็สั้นลงกว่าเดิมมาก แถมยังชวนให้มานั่งข้างๆตอนเรียนอีก

 

“อ๋าา ถ้านายพูดแบบนั้นล่ะก็ เอายังไงดีน้า”

 

“หืม การตอบสนองแบบนั้น นี่ไม่ใช่ว่าเธอจะแทงฉันด้วยปากกาจริงๆใช่ไหม? เน่ เน่!?”

 

เอเลน่าควงปากกาในมืออย่างคล่องแคล่วและทันใดนั้นก็จับอย่างมั่นคงชี้หัวแหลมๆที่ดูน่าหวาดหวั่นเล็กน้อยนั่นมาทางผม

 

“ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงครับ! ”

 

เมื่อผมยกมือขอยอมแพ้แบบติดตลกเล็กน้อย เอเลน่าก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนราวกับจะพูดว่า ‘ไม่เป็นไร’

 

“เรื่องนั้นช่างเถอะ คือว่าฉันมีเรื่องอยากจะถามนายหน่อย”

 

“อะไร?”

 

“มื้อกลางวันนี้นายจะเอาไง…ตั้งแต่วันนี้เชียไม่ได้มาคอยรับใช้นายแล้วนี่”

 

“อ๋า ตั้งแต่วันนี้ฉันก็จะได้เป็น ‘โบจิโบจิ’ (หัวเดียวกระเทียมลีบ)แล้วสินะ”  

 

“โบจิ-โบจิ? มันคืออะไรล่ะนั่น?”

 

“โบจิ-โบจิ ก็คือ โบจิ-โบจิไง..”          TN:โบจิ แปลตรงๆก็ ตัวคนเดียว นี่แหละครับ ไม่รู้จะแปลไงประโยคนี้ก็เลยทับศัพท์ไปเลยแล้วกัน

 

จะพูดกับเอเลน่าว่า ‘วันนี้จะไม่กินมื้อเที่ยง’ ก็คงจะไม่ได้ เลยพูดกลบเกลื่อนไปแบบมึนๆ

 

มันมีเหตุผลอยู่

 

(ผมไม่อยากไปโรงอาหารทีเป็นแหล่งรวมของผู้คนมากมายหรอกนะ ถึงทุกคนจะยังคงรักษาระยะห่างเหมือนตอนในชั้นเรียนก็เถอะ แต่สายตาเนี่ยสิ ก็นะของงี้มันก็ห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว )

 

ทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในโรงอาหาร ผมจินตนาการถึงสถานการณ์อันน่าสิ้นหวังได้ไม่ยากเลย แค่คิดก็สยองละ หัวใจผมยิ่งเปราะบางอยู่นะ

 

บางทีผมอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้ แต่ผมก็คงไม่สามารถเดินเข้าไปได้อย่างสบายๆแน่นอน

 

ก็รู้อย่างนั้นแล้ว ‘ทำไมถึงปล่อยให้เชียเป็นอิสระล่ะ’ บางคนอาจจะคิดสงสัย เหตุผลของผมก็ง่ายๆ

 

‘ผมอยากให้เชียมีความสุข แม้จะเร็วขึ้นแค่เพียงสักเสี้ยววินาทีมันก็ยังดี’ ทั้งหมดมันก็แค่นั้นแหละ

 

เพราะเชียคงลำบากมามาก อึดอัด ทรมาณ ทุกข์ใจแต่ก็พูดอะไรไม่ได้

 

ขอให้ผมได้ชดใช้ให้เธอสักหน่อยแล้วกัน

 

“นายไม่เคยไปซื้ออาหารด้วยตัวเองใช่ไหมล่ะ แสดงว่านายก็ใช้ที่สั่งอาหารไม่เป็น ก็นายคอยใช้เชียไปซื้อให้อยู่ตลอดนี่นา เพราะงั้นฉันถึงอยากรู้ไงว่าไอ้ โบจิ-โบจิ ของนายเนี่ยมันอะไรกันแน่”

 

“ก็บอกว่าา โบจิ-โบจิก็คือโบจิ-โบจิไง แต่ก็นะ แค่สั่งอาหารแค่นี้ก็ไม่น่ายากนี่ ก็แค่ดูเมนูแล้วก็เลือกมาสักอันมันก็แค่นั้นไม่ใช่เหรอ ?”

 

“ถูกต้อง….ถ้างั้นแล้วนายพยายามพูดกลบเกลื่อนอะไรอยู่กันแน่….”

 

เอเลน่าเอามือเท้าคาง คิดอย่างสงสัยสักพัก และก็เงยหน้าขึ้น

 

“เบเรต์ ถ้านายไม่รังเกียจ นายอยากมากินอาหารกลางวันกับ พวกเรา ไหม”

 

“หะ?”

 

“วันนี้ฉันนัดเชียไว้ว่าจะไปกินด้วยกันสองคน เพราะงั้นนายไม่ต้องระแวงไปหรอกนะ”

 

เอเลน่า ‘เจ้าหญิงแห่งเบนิฮานะ’ และ ‘เชีย เมดสาวโลลิน่ารัก–’ –อะแฮ่มๆ ‘เชีย สาวใช้ผู้ที่มีจิตใจอ่อนโยน’ แน่นอนว่าการไปกินข้าวกับสองคนนี้คงจะดูไม่อึดอัดมากนัก

 

แต่ถึงกระนั้น ผมก็ส่ายหัว

 

“ขอบคุณที่ชวนนะ แต่ฉันขอผ่าน ถ้าฉันไปกับเธอ แล้วไอ้การที่ฉันบอกว่า ‘จะปล่อยเชียให้เป็นอิสระ’ มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ อีกอย่างเชียคงจะประหลาดใจเป็นแน่ที่ฉันมากับเธอ ”

 

“แน่นอนว่าเชียต้องประหลาดใจแน่ แต่ก็น่าจะดีใจเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

 

“ครับ?”

 

“คะ? อ- เอ๊ะ? ไม่ใช่เหรอ? ”

 

ดวงตาของเอเลน่าเบิกกว้าง เธอไม่ได้ล้อเล่น แต่ดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจจริงๆ

 

ผมตัดสินใจบอกความรู้สึกไปตามตรง

 

“ก็ไม่ใช่น่ะสิ ให้พูดเองก็ยังไงๆอยู่ แต่ก็ไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ดีใจได้เลยนะ”

 

“—–บู่”

 

เอเลน่าพองแก้มอย่างน่ารัก

 

“หืม? ถ้าเป็นเพื่อน(?)เพียงคนเดียวของฉันอย่างเอเลน่าก็ว่าไปอย่าง แต่กับเชียนี่ไม่น่าใช่นะ เพราะงั้นฉันถึงไม่เข้าใจไง”

 

“อุฟ อุฟุฟุ เดี๋ยวสิ ขอร้องล่ะอย่าพูดอะไรฮาๆด้วยสีหน้าจริงจังสิ”

 

“ตลกมากใช่มะ?”

 

“ข-ขอโทษนะคะ จริงๆนะ- อุ๊ฟฟ”

 

ผมรู้สึกเหมือนเดจาวูยังไงชอบกลกับไอ้สถานการณ์แบบนี้

 

การที่เธอหัวเราะซะขนาดนั้นแต่ก็ยังคงรอยยิ้มสง่างามไว้ได้นี่คงเป็นเพราะการดูแลมาตั้งแต่เด็กสินะ

 

“อ- อะแฮ่ม โอเคไม่เป็นไรละ”

 

“งั้นเหรอครับ?”

 

เธอกระแอ่มไอเล็กน้อยและกลับมาเป็นสีหน้าปกติเช่นเดิม แต่แก้มของเธอก็ยังมีรอยแดงจางๆจากการหลุดขำไปยกใหญ่

 

“ขอโทษจริงๆที่หัวเราะมากไปหน่อย แต่ในความเห็นฉัน ฉันว่าเชียน่าจะดีใจนะ ตอนเช้าที่เล่าเรื่องของนายก็ดูมีความสุขมากจริงๆ”

 

“ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ต้องมีความกังวลอยู่บ้างแน่ๆ ในเมื่อฉันปล่อยให้เธอเป็นอิสระแล้ว ก็ไม่ควรเข้าไปขัดขวางความสุขของเธอ ”

 

“…..”

 

นั่นคือสิ่งที่ผมคิด

 

“….นายเนี่ย เปลี่ยนไปมากจริงๆนะ อ๊ะ? หรือว่า นายเริ่มเข้าใจถึงความน่ารักของเชีย แล้วก็ตกหลุมรักเข้าให้แล้ว….ใช่ปะ?”

 

“ไม่อะ ไม่ใช่ตกหลุมรัก แต่มันน่าจะเป็นอะไรที่เหมือนกับการนับถือมากกว่า”

 

“เอ๋? นับถือ?”

 

“อื้อ ก็เพราะมันสุดยอดจริงๆไม่ใช่เหรอ? ถึงเธอจะอายุน้อยกว่าฉันถึงสองปี แต่เธอก็ตื่นแต่เช้าตรู่ทุกวัน ทำงานบ้าน เตรียมอาหาร ไม่ว่าฉันจะดุจะด่าแค่ไหน เชียก็ไม่เคยยอมแพ้เลย อดทนทำงานหนักต่อไป และเป็นเด็กที่ร่าเริงอยู่เสมอ ถ้าเทียบกับฉันต่อให้เป็นภารกิจที่ได้รับมอบหมายมา ก็คงจะทำแบบเชียไม่ได้หรอก ”

 

“………………”

 

“อ- เอเลน่า? ช่วยเลิกทำหน้าเหมือนกับว่ามองสัตว์ประหลาดจากนอกโลกแบบนั้นทีเถอะ? ”

 

“ข-ขอโทษนะ มันอดไม่ได้จริงๆ…ก็ที่นายพูดฉันรู้สึกเหมือนคนอื่นกำลังพูดอยู่เลย ไม่ใช่ ‘เบเรต์’ ที่ฉันรู้จัก”

 

“ไปเช็คสมองที่โรงพยาบาลหน่อยมั้ย? เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อนเอง”

 

“พูดอะไรเสียมารยาทจริง… ที่จะพูดมีแค่นั้นใช่มั้ย”

 

“ครับ ครับ”

 

ถึงผมจะทำเป็นหน้านิ่งไว้ได้ แต่เหงื่อนี่แตกผลั่กไปหมดแล้ว

 

“….แต่ฉันก็เข้าใจแล้ว ถ้านายตั้งใจไว้ขนาดนั้น งั้นก็ช่วยไม่ได้นะ”

 

“อา นั่นแหละที่ต้องการ ไปสนุกกันโดยไม่ต้องมีฉันเถอะ”

 

“อือ ไม่ต้องห่วง จะกินให้อร่อยๆเผื่อนายเอง”

 

“ช่างน่ายินดีอะไรเสียอย่างนี้ แต่ก็ขอบใจก็แล้วกัน”

 

เอเลน่าพูดเหมือนกำลังสนุก และยิ้มตาหยีโชว์ฟันขาวของเธอ

 

“เอาล่ะ งั้นฉันไปก่อนนะเบเรต์ จะไปสอดแนมหน่อยว่าเชียจะมีปฏิกิริยายังไง”

 

เธอหันหน้าเดินออกไปโดยที่ไม่รอคำตอบจากผม

 

“ฮ่าาา จริงๆฉันก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้นหรอกน้า แต่เพราะว่าเป็นเชีย ก็เลยต้องจริงจังหน่อย เฮ้ออ เหงาจัง ถ้ามีเพื่อนให้คุยเล่นอีกสักหน่อยก็ดีสิน้า”

 

ผมเอ่ยความปราถนาเล็กๆออกมาอย่างแผ่วเบา

 

เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น?

เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น?

Status: Ongoing
ชายผู้เกิดใหม่ในร่างบุตรชายเพียงคนเดียวของมาควิส ที่ทั้งก้าวร้าว และหยิ่งผยอง ตัวผมก็แค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปวันๆ แต่เหล่าสตรีสูงศักดิ์กลับจ้องจะเล่นผมเสียอย่างนั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท