เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น? – ตอนที่ 10 หนอนหนังสืออัจฉริยะ (2)

เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น?

ณ ช่วงเวลาเดียวกันกับที่เอเลน่าและเชียกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน

 

“น่าสนใจดีมั้ยคะ เบเรต์ เซนต์ฟอร์ด”

 

“เอ๊ะ?”

 

“หนังสือที่ฉันแนะนำน่ะค่ะ”

 

ผมกำลังอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ ในห้องสมุด เด็กสาวก็ได้เอ่ยถามเขา

 

“อ๋าา ตอนนี้อ่านไปได้ไม่เท่าไหร่เองก็เลยยังตอบไม่ได้มากนัก แต่ว่าโดยรวมแล้วก็สนุกดีนะ”

 

“งั้นเหรอคะ”

 

ผมกำลังอ่านนิยายแนวโรแมนติก เนื้อหาเกี่ยวกับพวกความรักต่างชนชั้น

 

“ถ้าหากคุณรู้สึกไม่ชอบก็บอกได้นะคะ เดี๋ยวฉันจะแนะนำเรื่องใหม่ให้เอง”

 

“อืม ขอบคุณนะ”

 

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้มากมายถึงขนาดต้องขอบคุณหรอกค่ะ”

 

เธอถามผมในขณะที่สายตาของเธอยังคงจับจ้องไปที่หนังสือที่เธอกำลังถืออยู่ด้วยมือทั้งสองข้าง แววตาที่ดูง่วงนอนนั่นเลื่อนผ่านตัวอักษรในหนังสือไปเรื่อยๆ  

 

“ถามอะไรหน่อยได้ไหม ในเวลานี้ไม่มีใครมาใช้ห้องสมุดนี้บ้างเลยเหรอ? เท่าที่เห็นเหมือนจะมีแค่ฉันกับเธอเท่านั้นเอง”

 

“นั่นสินะคะ บรรณารักษ์ของห้องสมุดบางทีก็มาเป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่มีใครมาในเวลาทานข้าวแบบนี้กันหรอกค่ะ เพราะที่นี่ห้ามนำอาหารหรือเครื่องดื่มเข้ามา”

 

“งั้นเหรอ”

 

ได้ยินเรื่องดีๆเข้าแล้วสิ ถ้าจริงตามที่เธอบอกมา มันก็เหมือนกับสถานที่นี้ผมสามารถมาหาอะไรทำฆ่าเวลาได้โดยที่ไม่ต้องสนใจสายตาของคนอื่น

 

“แต่ก็มีเรื่องเกินคาดอยู่นะคะ ที่ตอนนี้ก็มีคนประหลาดๆมีความอยากอ่านหนังสือมากกว่าไปหาอะไรทานอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน”

 

“อะฮะๆ เรื่องนั้นเข้าใจผิดแล้ว ที่จริงฉันอยากจะไปหาอะไรกินมากกว่านะ”

 

“ขอโทษค่ะ เป็นอย่างนั้นเองสินะคะ แต่ถ้าคุณเป็นคนประหลาดๆเหมือนฉันเราก็คงได้เจอกันทุกวันสินะคะ   —ได้โปรดลืมเรื่องที่ฉันพูดเมื่อกี้ไปด้วยค่ะ”

 

(กล้าพูดแบบนั้นกับคนที่มีข่าวลือเลวร้ายแบบผม อย่างที่คิดเลย เป็นคนที่ใจกล้ามากเลยนะ เด็กคนนี้)

 

เมื่อผมมาที่โรงเรียน ผู้คนก็จะมองผมด้วยสายตารังเกียจ ปกติแล้วผมจะถูกหลีกเลี่ยงเมื่อไปอยู่ตามโถงทางเดินหรือภายในห้องเรียน เพราะงั้นผมถึงได้มีความสุขมากเลยที่ได้รับการปฏิบัติด้วยแบบคนปกติแบบนี้

 

ผมเดาว่าเธอคงเป็นหนึ่งในคนที่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘นักเรียนทุกคนเท่าเทียมกัน’ อย่างแท้จริง

 

“อะ ที่ว่า ‘เราก็คงได้เจอกันทุกวัน’ เนี่ย หมายความว่าเธอมาห้องสมุดในเวลานี้ทุกวันเลยเหรอ? ”

 

“เพราะฉันเรียนในห้องสมุดนี้เลยต่างหากค่ะ”

 

“ย- อย่างงั้นเหรอ?”

 

“ค่ะ ฉันทำแบบทดสอบและได้รับอนุญาติเป็นกรณีพิเศษ”

 

“เห….”

 

ได้รับอนุญาติเป็นพิเศษสินะ แน่นอนว่าเธอคงจะทำแบบนั้นไม่ได้แน่ถ้าไม่ได้มีคะแนนสูงในการทดสอบนั่น..

 

จู่ๆผมก็รู้สึกว่าไม่ค่อยน่าเชื่อสักเท่าไหร่เลยน้า เพราะเธอตอบผมแบบนั้นในขณะที่ยังอ่านนิยายรักนั่นอยู่ แต่ผมก็ไม่คิดว่าเธอกำลังโกหกหรอกนะ ดูไม่มีเหตุผลที่เธอต้องทำแบบนั้นเลย

 

“ถ้างั้น เบเรต์ เซนต์ฟอร์ด ฉันก็มีเรื่องอยากจะถามคุณเหมือนกันค่ะ”

 

“อะไรเหรอ?”

 

“คือฉันจำเป็นต้องแนะนำตัวมั้ยคะ? เพราะคุณเรียกฉันว่า ‘เธอ’ มาสักพักแล้ว”

 

“อะ นั่นสินะ ถ้าช่วยทำแบบนั้นให้จะขอบคุณมากเลย ขอโทษทีนะที่เรียกแบบนั้นเพราะฉันไม่รู้ชื่อเธอน่ะ”

 

“ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ เพราะฐานะของฉันก็ตํ่ากว่าคุณด้วย แถมฉันยังไม่เคยได้มีโอกาสได้ร่วมงานเลี้ยงของชนชั้นสูงเลยด้วยซํ้า”

 

จริงๆผมอยากให้เธอแนะนำตัวมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้พูดเลย

 

เมื่อผมยอมรับข้อเสนอด้วยความซาบซึ้ง ดวงตาที่ดูง่วงนอนของเธอซึ่งจับจ้องหนังสืออยู่เป็นเวลานานก็หันมาทางผม และเธอก็ก้มหัวของเธอเล็กน้อย ผมแกละมัดข้างของเธอพริ้วไหวและพูดแนะนำตัวอย่างสุภาพ

 

“ลูน่า เพอร์เรมเมล บุตรสาวคนที่สามของตระกูลบารอน ฉันเป็นนักเรียนชั้นปีที่ 2 ค่ะ”

 

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำตัว ลูน่าสินะ ฉันจำได้แล้วล่ะ แล้วฉันควรแนะนำตัวบ้างไหม?”

 

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เพราะฉันรู้จักคุณอยู่แล้ว”

 

“งั้นเหรอ”

 

“ค่ะ”

 

ลูน่าพยักหน้าและหันหน้ากลับไปอ่านหนังสือต่อ

 

ผมคิดว่าเธอคงมาจากตระกูลของชนชั้นสูงเพราะบรรยากาศและรูปลักษณ์ของเธอ และผมก็คิดถูก

 

“….”

 

“….”

 

เมื่อแนะนำตัวกันเสร็จ บทสนทนาก็เดดแอร์กลางอากาศทันที

 

มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เงียบงัน เงียบจนรู้สึกอึดอัด

 

และผมก็เริ่มเขาสู่โลกแห่งหนังสือต่อ เป็นเวลากว่าหลายสิบนาที

 

“…ถึงจะมาพูดเอาป่านนี้ แต่ว่าฉันเลือกที่จะเชื่อในตัวคุณนะคะ เบเรต์ เซนต์ฟอร์ด”

 

“เอ๊ะ!? ทำไมล่ะ?”

 

—สิ่งที่จู่ๆเธอก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมถามกลับไปด้วยเสียงแหบแห้งกับคำพูดที่ไม่คาดคิด

 

“ชอบใช้อำนาจของมาร์ควิสขู่เข็นผู้อื่น ก้าวร้าว หยิ่งผยอง ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ทั้งหมดนั่นเป็นข่าวลือเกี่ยวกับตัวคุณสินะคะ”

 

“อะ อะฮ่าๆ ก็นะ”

 

“แต่ว่า คุณดูไม่เหมือนกับในข่าวลือเลย”

 

ลูน่าพูดอย่างมั่นใจ ส่วนผมกลับทำได้แค่ยิ้มอย่างขมขื่น

 

“ถึงแม้ว่าฉันจะบอกว่าฉันมาจากตระกูลบารอน ซึ่งเป็นขุนนางขั้นตํ่าที่สุด แต่คุณก็ไม่ได้เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อฉันเลยค่ะ แล้วอีกอย่าง ตอนที่ฉันบอกว่าคุณ ‘ประหลาด’ คุณก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะโกรธเลยสักนิด เหตุผลแค่นั้นก็เพียงพอที่ฉันจะเชื่อในตัวคุณแล้วล่ะค่ะ”

 

“เพราะงั้นเองเหรอ คิดมาอย่างดีเลยสินะ”

 

“ค่ะ ฉันจะไม่สงสัยในตัวคุณอีกต่อไปแล้วค่ะ ขอโทษที่ฉันทำตัวเสียมารยาทก่อนหน้านี้ด้วยนะคะ”

 

“ไม่หรอกๆ ฉันดีใจนะที่เธอบอกว่าเชื่อในตัวฉัน เพราะงั้นไม่ต้องกังวลไปหรอก จริงๆแล้วสำหรับฉันแค่มีคนเข้ามาคุยด้วยแบบปกติฉันก็ดีใจมากแล้วล่ะ”

 

“ถ้าพูดแบบนั้นก็ช่วยได้มากเลยค่ะ”

 

เธอยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์และนํ้าเสียงที่เรียบเฉย แต่หลังจากที่เธอพูดเรื่องนั้น เธอก็มีบรรยากาศที่ดูอ่อนโยนกว่าตอนแรก ผมรู้สึกเหมือนเปิดโลกใหม่เล็กน้อย

 

ผมรู้สึกว่าถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็พูดได้แน่

 

‘ลูน่า พรุ่งนี้ฉันก็มาหาเธอที่ห้องสมุดในเวลานี้เหมือนเดิมได้ไหม?’ เพราะบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลงแล้วต่างจากตอนแรก

 

ทว่า ความคิดเช่นนั้นกลับถูกทรยศโดยท้องเจ้าปัญหาของผมเอง

 

—จ๊อกกกกก~

 

“!!”

 

‘ฉันเชื่อในตัวคุณนะคะ’ บางทีอาจเป็นเพราะคำพูดนี้จึงทำให้ผมเริ่มคลายความตึงเครียดที่อยู่ในใจ ส่งผลให้ต่อมความหิวเริ่มทำงาน ท้องของผมเลยร้องลั่นในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด

 

เพราะเป็นพื้นที่ในห้องสมุดอันเงียบสงบ เสียงนั้นกังวาลไปทั่ว ดังจนเกินพอที่ลูน่าจะได้ยิน

 

“อะ ฮะฮะ ขอโทษนะ ท้องร้องซะดังสนั่นเลย”

 

“เป็นเสียงที่ยอดเยี่ยมไปเลยนะคะ”

 

“ง- งั้นเหรอ? ฮะๆ”

 

เธอชมเสียงท้องร้องของผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย อ๊าา นี่มันน่าอายชะมัดเลยว้อยยย

 

“หิวขนาดนั้นเลยเหรอคะ? เบเรต์ เซนต์ฟอร์ด ถึงจะไปโรงอาหารเอาตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วนะคะ”

 

“อา ก็คงจะเป็นงั้นแหละ แต่เดิมทีฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปโรงอาหารตั้งแต่แรกอยู่แล้วล่ะ ”

 

“ทั้งที่ท้องร้องซะขนาดนั้นน่ะเหรอคะ?”

 

“อุ   อ-อือ”

 

“งั้นเหรอคะ คงมีเหตุผลอะไรสินะคะ”

 

จะพูดกลบเกลื่อนไปตอนนี้ก็คงจะเปล่าประโยชน์สินะ

 

เธอพยักเหมือนเข้าใจ แล้วจู่ๆลูน่าก็ปิดหนังสือและลุกขึ้นยืน

 

“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะแบ่งอาหารของฉันให้ เพราะฉันมักจะพกติดตัวไว้เสมอ”

 

“ไม่เป็นไร! จะให้ฉันรับมาคงจะไม่ดีหรอก เดี๋ยวลูน่าจะไม่พอกินเอานะ”

 

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ ฉันมักจะเอาอาหารส่วนของทั้งตอนกลางวันและตอนเย็นมาด้วย เพื่อที่จะได้อยู่ได้จนถึงเวลาเลิกเรียน วันนี้ฉันไม่ได้ตั้งใจจะอยู่นานจนถึงเวลาเลิกเรียนเลยยังพอเหลืออยู่บ้าง”

 

“….”

 

มันยากที่จะบอกว่าเธอพูดความจริงหรือเปล่า ด้วยสีหน้าและนํ้าเสียงแบบนั้นของเธอ แต่ผมสามารถบอกได้เลยว่าที่เธอบอกไม่ได้ตั้งใจจะอยู่จนถึงเย็นนั่นโกหกแน่ๆ  

 

ถ้าไม่ได้วางแผนจะอยู่จนถึงเย็นก็คงจะไม่เอาอาหารส่วนของตอนเย็นมาด้วย

 

ที่เธอพูดแบบนั้นอาจจะเพราะรู้ว่าผมรู้สึกเกรงใจล่ะมั้ง  

 

ผมตระหนักได้ว่าลูน่านั้นเลือกใช้คำพูดได้เก่งมาก

 

“การช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากก็เป็นหน้าที่ของบารอนเหมือนกันค่ะ หรือว่าอาหารของบารอนอย่างฉันมันสกปรกเกินไปจนกินไม่ได้งั้นเหรอคะ”

 

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ ขอบคุณมากเลยนะลูน่า ขอรับไว้ด้วยความยินดีก็แล้วกัน”

 

เลือกใช้คำพูดเป็นเชิงกดดันออกไปทางบังคับซะด้วยซํ้า อย่างที่คิด ลูน่านี่ฉลาดพูดจริงๆเลยนะ

 

ไม่แปลกเลยที่เธอจะผ่านการทดสอบแล้วก็ได้รับสิทธิพิเศษ ถ้าเธอฉลาดแบบนี้

 

“ถ้างั้นก็กรุณาตามฉันมาด้วยค่ะ เพราะจะทานอาหารได้แค่ที่ห้องของบรรณารักษ์เท่านั้น ”

 

“ห้องนั้น ให้ผมเข้าไปด้วยมันจะดีเหรอ?”

 

“ฉันก็เข้าไปทานอาหารในห้องนั้นเป็นประจำแหละค่ะ เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะแค่อยู่ข้างๆฉันไว้ก็พอ แต่ห้ามจับนู่นจับนี่มั่วซั่วเด็ดขาดเลยนะคะ”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

จากนั้นผมก็ถูกพาลงไปที่ชั้นหนึ่ง ผ่านเคาน์เตอร์แล้วเข้าไปในห้องของบรรณารักษ์ ลูน่าเปิดกระเป๋าแล้วนำถุงออกมา

 

แซนด์วิชหลากสีสันหน้าตาน่ากินในตะกร้าไม้ไผ่

 

“ไหนๆก็มาแล้ว ฉันก็จะกินอาหารกลางวันไปเลยแล้วกัน มากินด้วยกันเถอะค่ะ”

 

“ขอโทษจริงๆนะ อุส่าให้มาตั้งขนาดนี้”

 

“ไม่เป็นไรค่ะ คิดซะว่าเป็นคำขอโทษที่ทำตัวหยาบคายก่อนหน้านี้ก็แล้วกันค่ะ”

 

“ฉันไม่ได้คิดมากขนาดนั้นหรอกนะ แต่ก็ขอบคุณนะสำหรับแซนด์วิช ไว้สักวันฉันจะต้องตอบแทนเธออย่างแน่นอน ”

 

“งั้นเหรอคะ ถ้างั้นฉันก็จะเชื่อตามนั้นแล้วจะรอของตอบแทนนั่นในสักวันที่ว่าไว้นะคะ”

 

“อื้ม ตั้งตารอไว้ได้เลย ”

 

“….”

 

ผมรับนํ้าใจของเธอมาด้วยความเต็มใจ

 

ผมยิ้มน้อยๆและมองไปที่ลูน่า เธอก็เบือนหน้าหนีเล็กน้อยราวกับว่าเธอกำลังเขินอยู่

 

 

******

 

“อ- อร่อยจัง”

 

หลังจากนั้น

 

เบเรต์ยัดแซนด์วิชที่ลูน่าให้เข้าปากอยากรวดเร็ว และความรู้สึกของเขาก็พรั่งพรูออกมาจากปาก

 

“ถึงฉันจะกินเหมือนกับคุณอยู่ก็เถอะ ฉันว่าคุณก็น่าจะได้รับการสอนเกี่ยวกับเรื่องการวางยาพิษมาไม่มากก็น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็กินเข้าไปโดยที่ไม่ลังเลเลยนะคะ ”

 

ลูน่ามองเขากินแซนด์วิชอย่างเอร็ดอร่อย และเขาก็พูดเหมือนแปลกใจเล็กน้อย

 

“ก็ถูกสอนมาจริงๆนั่นแหละ แต่ฉันไม่อยากเป็นคนประเภทที่สงสัยในนํ้าใจของคนอื่นน่ะ เพราะถ้าฉันสงสัยไปซะทุกเรื่อง ตัวฉันเองก็คงจะดูเชื่อถือไม่ได้เหมือนกัน”     TN:ประโยคนี้อาจจะงงๆหน่อยนะครับ ผมก็งงเหมือนกัน555

 

“เอ๊ะ”

 

เบเรต์ไม่ได้สังเกตุเลยว่า ช่วงเวลานั้นสีหน้าอันไร้อารมณ์ของฉันได้พังทลายลงไปแล้ว

 

“…..ถ้าอยู่ในฐานะของคุณ มันคงเป็นเรื่องปกติสินะคะ แต่ว่าถ้าหากฉันมีเจตนาฆ่าจริงๆ ฉันก็คงฆ่าคุณได้อย่างไม่ยากเย็นเลยไม่ใช่เหรอคะ”

 

“ฮ่าๆๆ ถ้างั้นฉันก็ได้ตายไปแล้วสินะ”

 

“คุณเป็นคนประหลาดๆในอีกความหมายนึงสินะคะ เบเรต์ เซนต์ฟอร์ด”

 

“ขอบคุณสำหรับคำชมนะ”

 

“…..ขอนอกเรื่องหน่อยนะคะ คือว่า มันอร่อยจริงๆเหรอคะ แซนด์วิชนั่นน่ะ”

 

“แน่นอนสิอร่อยมากเลย พูดแบบนี้อาจจะดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่ว่าฉันรู้สึกว่าโชคดีจริงๆที่ไม่ได้กินมื้อเที่ยงมา”

 

“งั้น…เหรอคะ”

 

หลังจากได้รับคำตอบ ลู่น่าก็เริ่มกินส่วนของเธอเช่นกัน

 

(….คำพูดของเขามันทำให้ฉันรู้สึกดีใจมากจริงๆ)

 

ลูน่าแอบคิดแบบนั้นอยู่ในใจ

 

แซนด์วิชที่เบเรต์กินอย่างเอร็ดอร่อยนั้น แท้จริงแล้วลูน่าเป็นคนทำขึ้นมาเอง

 

เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น?

เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น?

Status: Ongoing
ชายผู้เกิดใหม่ในร่างบุตรชายเพียงคนเดียวของมาควิส ที่ทั้งก้าวร้าว และหยิ่งผยอง ตัวผมก็แค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปวันๆ แต่เหล่าสตรีสูงศักดิ์กลับจ้องจะเล่นผมเสียอย่างนั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท