“…..คงได้เวลากลับแล้วสินะ”
ลูน่าปิดหนังสือและพึมพำขณะมองดูท้องฟ้าอันมืดมิด
เวลาปัจจุบัน 18:00 น.
ปกติแล้วเธอจะอ่านหนังสือต่อจนถึง2ทุ่ม แล้วจึงมุ่งหน้ากลับบ้าน แต่เนื่องจากวันนี้เธอเลี้ยงมื้อเที่ยงให้เบเรต์ไปเธอเลยไม่มีพลังงานเหลือถึงขนาดนั้น
ฉันลงไปที่ชั้นล่างพร้อมกับหนังสือสองเล่มในอ้อมแขน เล่มหนึ่งคือที่อ่านค้างไว้อยู่ และอีกเล่มหนึ่งเก็บไว้อ่านที่บ้าน
เธอยังคงมีแววตาที่ดูง่วงนอนอย่างเช่นเคย ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่การมองเห็นของเธอกลับดีมาก
แม้จะเดินลงบันไดก็ไม่ได้สะดุดล้มหรือมีปัญหาอะไร เธอเดินผ่านมาถึงหน้าเคาน์เตอร์ที่บรรณารักษ์นั่งอยู่และหยุดเท้าลง
“อาร๊า เป็นอะไรไปเหรอ? คุณลูน่า หรือว่าจะทำเรื่องยืมหนังสือเล่มใหม่เหรอ? ”
“เปล่าค่ะ วันนี้ไม่ได้มายืมหนังสือ ฉันจะกลับบ้านแล้วค่ะ”
“…เอ๊ะ จะกลับแล้วเหรอ!? ”
“ค่ะ”
“ร -รู้สึกไม่ค่อยสบายเหรอคะ? ให้ติดต่อกับทางบ้านให้มั้ยคะ? ทะ ทำยังไงดี…..”
บรรณารักษ์มีสีหน้าดูตกใจมากและกุมมือประสานกันโดยไม่รู้ตัว
เธอพึ่งเคยเป็นแบบนี้เป็นครั้งแรก ลูน่าไม่เคยออกจากห้องสมุดในเวลานี้มาก่อน
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะ ฉันสบายดี ไม่ต้องติดต่อกับทางบ้านด้วย”
“ป-เป็นอย่างนั้นเหรอ? ถ้างั้น เธอคงจะมีธุระด่วนอะไรประมาณนั้นสินะ”
“ก็ไม่ได้มีธุระอะไรเป็นพิเศษนะคะ”
“ไม่ได้มีธุระอะไรเป็นพิเศษ…..หืมม?”
ถ้างั้นทำไมถึงรีบกลับบ้านกันละ เป็นเรื่องปกติล่ะนะที่จะสงสัย
ลูน่าอธิบายกับบรรณารักษ์ที่ดูจะตื่นตระหนกอย่างชัดเจน
“เหตุผลก็ง่ายๆค่ะ ข้าวเย็นของฉันถูกขโมยไปแล้วน่ะ”
“อ๊ะ!? นั่นมันเรื่องใหญ่เลยไม่ใช่เหรอคะ! ต้องรีบรายงานกับทางโรงเรียนแล้วสิ…..! ”
“……..”
เมื่อได้ยินคำว่าถูกขโมยไปแล้ว บรรณารักษ์ยิ่งสติแตกเข้าไปใหญ่ ขณะเดียวกันลูน่าก็ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นมองดูเหตุการณ์นั้น ฉันรีบบอกกับบรรณารักษ์ก่อนที่เธอจะก่อเรื่องใหญ่เข้า
“ขอโทษนะคะคุณบรรณารักษ์ เมื่อกี้แค่ล้อเล่นค่ะ”
“เหะ? ล้อเล่นหรอกเหรอ!? ”
“ค่ะ ไม่ได้มีอะไรโดนขโมยไปทั้งนั้น”
“ง -งั้นเหรอคะ ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ ขอโทษนะคะที่โหวกเหวกไปหน่อย ฟู่วว..โล่งอกไปที”
บรรณารักษ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่
ลูน่ามีนํ้าเสียงที่เรียบเฉย ผนวกกับใบหน้าอันไร้อารมณ์ของเธอ
ด้วยบุคลิกแบบนั้นของเธอทำให้การล้อเล่นของเธอดูสมจริงมาก
“ตกใจรึเปล่าคะ”
“แน่นอนสิ! ก็กล่องข้าวของคุณลูน่าอยู่ในห้องของฉันนี่นา ฉันเลยคิดว่าเอกสารสำคัญในห้องจะถูกขโมยไปด้วย”
“อะ…ขอโทษจริงๆนะคะ ที่ล้อเล่นไปแบบนั้น ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลยต่อไปจะไม่ทำแล้วค่ะ”
“ไม่ต้องคิดมากหรอก เพราะว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นจริงนี่คะ”
ลูน่าก้มหัวขอโทษ
ถ้าคนที่ไม่รู้จักเธอมองภาพนี้ คงคิดว่าเธอไม่ได้สำนึกผิดเลยสักนิด
ที่จริงแล้วเคยมีคนเข้าใจผิดในกรณีคล้ายๆเรื่องตอนนี้ด้วยในอดีต อย่างไรก็ตาม ถ้าเธอไม่รู้สึกเสียใจจริงๆก็คงจะไม่ก้มหัวให้ใครแน่นอน
บรรณารักษ์รู้ดีว่าเธอเป็นคนแบบไหนเลยสามารถคงความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอไว้ได้
“เรื่องนั้นช่างเถอะ ว่าแต่ มีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นกับคุณลูน่างั้นเหรอ”
“ทำไมถึงรู้ได้ล่ะคะ? ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ?”
“ก็เมื่อกี้ เธอทำอะไรที่ไม่เคยทำมาก่อนนี่นา เป็นครั้งแรกเลยนะคะ ที่เธอพูดล้อเล่นแบบนี้”
“จะว่าไปก็จริงนะ พอโดนมองออกแบบนี้แล้วรู้สึกน่าอายยังไงก็ไม่รู้สินะคะ ”
ถ้าหากเธอเป็นคนธรรมดา คงจะแสดงสีหน้าที่ดูตื่นตูมกว่านี้แน่นอน แต่ไม่ใช่กับลูน่าที่สวมหน้ากากไร้อารมณ์ตลอดเวลา
และบรรณารักษ์ก็พูดขึ้นมาราวกับว่ามองทุกอย่างออกหมดแล้ว
“เธอกำลังมีความสุขอยู่ใช่มั้ยล่ะ”
“ฉันไม่บอกกับคุณบรรณารักษ์ที่ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยแบบนั้นหรอกนะคะ”
“อ๊ะ แหม พูดถึงขนาดนั้นฉันจะร้องไห้แล้วนะคะ วันนี้คุณลูน่าต่างไปจากทุกทีมากเลยนะคะเนี่ย”
ฉันไม่ได้อยากจะปิดบัง บรรณารักษ์ก็แค่พูดในสิ่งที่เธอคิด แต่ว่านั่นคือสิ่งที่กระทบความรู้สึกของลูน่าเข้าอย่างจัง
“…พ พอแล้วค่ะ ฉันจะไม่บอกอะไรกับคุณบรรณารักษ์อีกแล้ว”
“เอ๋~ ท่าทีมีพิรุธแบบนั้น ยิ่งทำให้สงสัยเข้าไปใหญ่เลย อะไรกันน้าที่ทำให้คุณลูน่ามีความสุขซะขนาดนั้น”
“อย่าเซ้าซี้มากจะได้มั้ยคะ รีบๆกลับไปทำงานของตัวเองได้แล้วค่ะ”
แทนที่จะหันหน้าหนี แต่ลูน่ากลับรีบหันหลังให้บรรณารักษ์แทน เพื่อที่จะซ่อนใบหน้าของเธอ
ไม่ว่าคุณบรรณารักษ์จะเข้ามาเกาะแกะตามตื้อแค่ไหน ลูน่าก็ไม่ยอมปริปากพูดอีกแล้ว
ในช่วงเวลานั้นก็ได้มีเสียงขอความช่วยเหลือดังมาจากข้างๆลูน่า
“เอ่อ…ขอโทษที่มารบกวนนะครับ คือว่าผมมีเรื่องจะถามหน่อย”
“อะ ไม่เป็นไรค่ะ ขออภัยที่ด้วยนะคะ มีเรื่องอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะ?”
เมื่อนักเรียนชายผมสีแดงเงางามเอ่ยถาม บรรณารักษ์ก็เปลี่ยนเป็นโหมดทำงานทันที
“โซนหนังสือเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจอยู่ตรงไหนเหรอครับ”
“การบริหารธุรกิจสินะคะ มันอยู่ตรงแถวที่ 3 จากด้านซ้ายที่มุมห้องด้านหลังของชั้น 1 ค่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณนะครับ”
เมื่อได้รับคำตอบ เขาจึงวิ่งเหยาะๆไปที่มุมหลังห้อง
“โฮ่ เด็กคนเมื่อกี้ เขาดูดีมากเลยนะ”
เมื่อให้คำแนะนำเสร็จแล้วก็หันหน้ามาคุยกับลูน่าต่อ และข้อมูลของเขาก็กำลังจะเปิดเผยในเร็วๆนี้
“ก็คงจะเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วล่ะค่ะ ก็เพราะเขาเป็นบุตรชายของท่านเอิร์ลและก็เป็นน้องชายของคุณ เอเลน่า เลคเลอร์คนนั้น”
“อาร๊า แหม มีกลิ่นหอมเหมือนดอกมะลิด้วยนะเนี่ย”
หนึ่งในซิกเนเจอร์ของตระกูลเลคเลอร์ก็คือ นํ้าหอมกลิ่นมะลิ
เมื่อมองดูแผ่นหลังเขาเดินจากไป ลูน่าก็ส่ายหัว
“คุณบรรณารักษ์ ในสายตาฉันดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะอ่านหนังสืออยู่ที่นี่ทั้งคืนแน่ มันจะไม่เป็นไรจริงๆเหรอคะ ”
“ครอบครัวของเลคเลอร์ก้าวหน้าในด้านธุรกิจเกี่ยวกับอาหารมากเลยล่ะน้า บางทีเขาอาจจะต้องเข้ามารับช่วงต่ออะไรทำนองนั้นล่ะมั้ง เพราะงั้นเขาถึงต้องพยายามถึงขนาดนั้น”
“นั่นก็มีความเป็นไปได้สูงนะคะ”
“ทำไมไม่ลองใช้ความรู้ของคุณแนะนำเขาหน่อยล่ะคุณลูน่า”
“ช่วยอย่าพูดอะไรไร้ความรับผิดแบบนั้นได้มั้ยคะ ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์มันมีประโยชน์มากกว่าความรู้ที่ได้จากในหนังสือนะคะ ฉันสามารถให้คำแนะนำได้ แต่ฉันรับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะคะถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา”
“ฟังดูเป็นปัญหาที่ยุ่งยากจังเลยเนอะ”
“ค่ะ ได้แต่หวังว่าเขาจะแก้ปัญหานี้ได้ด้วยตัวเองนั่นแหละค่ะ”
ไม่มีคำเยินยออะไรในสิ่งที่เธอพูด
เธอยังคงมองเขาต่อไปจนเขาหายลับตาไป
“ถ้างั้น ฉันจะเตรียมตัวกลับบ้านแล้วค่ะ คุณบรรณารักษ์คะ ช่วยหาหนังสือเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจที่มีเนื้อหากระชับเข้าใจง่ายให้หน่อยได้มั้ยคะ ฉันจะขอยืมสักหน่อย ”
“ฟุฟุ อย่างที่คิด ใจดีจังเลยนะคุณลูน่าน่ะ”
“ไม่ใช่แล้วค่ะ ฉันแค่อยากจะดูสักหน่อยเฉยๆค่ะ ถึงฉันจะพูดไปแบบนั้นแต่ความรู้จากหนังสือก็สำคัญเหมือนกันนะคะ”
“งั้นถ้าเจอแล้วฉันจะวางมันไว้ตรงนี้นะคะ”
“…..”
เธอพยายามเมิน แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกจับได้
“เอาล่ะๆ หนังสือเกี่ยวกับการบริหารธุรกิจอยู่ตรงไหนกันน้า… อ๊ะ เกือบลืมแน่ะ นี่ๆคุณลูน่าสรุปแล้วมีเรื่องอะไรเหรอคะ ถึงทำให้เธอดูมีความสุขขนาดนั้—”
“เรื่องนั้นอีกแล้วเหรอคะ ไม่บอกหรอกค่ะ แล้วก็..ฉันไม่ได้กำลังมีความสุขอยู่เลยสักนิดเดียวค่ะ! ”
ลูน่าปิดปากไม่ยอมบอกจนถึงท้ายที่สุด จนกระทั่งคุณบรรณารักษ์ยอมถอดใจ และเดินเข้าไปหยิบหนังสือที่ลูน่าขอ