ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 3 ผู้ใดจะสามารถมองดูอยู่เฉย ๆ ได้

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 3 ผู้ใดจะสามารถมองดูอยู่เฉย ๆ ได้

บทที่ 3 ผู้ใดจะสามารถมองดูอยู่เฉย ๆ ได้

หลิงเยว่กลับมาถึงยอดเขาฝึกตน ที่อยู่อาศัยระดับต่ำสุดของศิษย์สำนักสายนอกของสำนักหลานเทียน

นางตื่นตระหนกราวกับนกตื่นธนูก็มิปาน ก่อนจะหันไปมองบริเวณรอบ ๆ ด้วยกลัวว่าผาวฮุยจะซ่อนอยู่ในมุมใดมุมหนึ่ง และฉวยโอกาสออกมาโจมตี

โชคดีที่ตลอดทางมานั้นราบรื่นดี เจ้านั่นคงจะตกใจจนเสียขวัญไปแล้วกระมัง นางหวังว่าเขาจะหยุดก่อกวนไปได้สักสองสามวัน

หลิงเยว่กลับมาถึงที่พักอย่างปลอดภัยแล้วรีบปิดประตูหน้าต่างอย่างแน่นหนา หลังจากที่ลงกลอนประตูแล้ว นางก็ค่อย ๆ เอนกายนอนบนเตียงด้วยความโล่งใจ

ไม่ได้การแล้ว…

มีแต่เป็นโจรร้อยวัน ไฉนเลยจะป้องกันโจรทั้งร้อยวันได้ นางต้องรีบดูดปราณเข้าร่างให้เร็วที่สุด หมั่นบำเพ็ญให้ก้าวหน้าขึ้น เช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวผาวฮุยมารังแกอีก

เมื่อคิดได้นางก็ลงมือทำทันที หลิงเยว่ใช้ค่าพลังวิญญาณไปห้าสิบแต้มเพื่อซื้อโอสถดูดซับปราณในระบบ

[สรรพคุณของโอสถดูดซับปราณ : สามารถช่วยให้ผู้ที่มีแก่นปราณรวบรวมปราณเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว]

หลังจากกินโอสถดูดซับปราณลงไป นางก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงและลองดึงปราณเข้าสู่ร่างกาย

มืดสนิท… มืดสนิทอย่างไร้ที่สิ้นสุด

ยังคงมืดสนิทอยู่นานมากจนไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ทว่าทันใดนั้นเองแสงสว่างสีเขียวขนาดเล็กเท่าเมล็ดข้าวก็ปรากฏขึ้นในความมืดนั้น ตามด้วยแสงสีแดง แสงสีฟ้า แสงสีน้ำตาล แต่แสงสีทองนั้นแทบจะมองไม่เห็น

สีแดง สีเขียว สีฟ้า สีน้ำตาล และสีทอง สีห้าสีนี้เป็นตัวแทนของแก่นปราณพฤกษา แก่นปราณอัคคี แก่นปราณวารี แก่นปราณปฐพี และแก่นปราณทองคำ

เจ้าของร่างเดิมมีห้าแก่นปราณ หากไม่ใช่เพราะแก่นปราณพฤกษาถึงระดับเจ็ดก็ไม่มีโอกาสเข้าสำนักหลานเทียนได้

ระดับของแก่นปราณส่วนมากจะแบ่งออกเป็นสิบระดับ หากมากกว่านั้นจะเรียกว่าแก่นปราณระดับสูง โดยระดับยิ่งสูง ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญก็จะเร็วมากยิ่งขึ้น

แม้ว่าคุณสมบัติของเจ้าของร่างเดิมจะอยู่ในเกณฑ์ธรรมดา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถดูดซับปราณได้ภายในเวลาหนึ่งปี ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพราะผาวฮุยเป็นคนทำร้าย!

ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!

แสงสีเขียวนั้นไหลเข้าสู่ร่างหลิงเยว่โดยอัตโนมัติ

[ภารกิจเสริม : ดูดซับลมปราณเข้าสู่ร่าง]

แสงสีเขียวอันตรธานหายไป แสงสีแดงพุ่งตามมา ตามด้วยแสงอีกสามสี หลังจากแสงทั้งห้าไหลเข้าสู่ร่าง หลิงเยว่ก็รู้สึกสบายตัวกว่าก่อนหน้านี้มาก

[ภารกิจดูดซับลมปราณเข้าสู่ร่างสำเร็จ : รางวัลที่ได้รับคือวิชา ‘หมื่นชีวางอกเงย’ อายุขัย +5 วัน ค่าพลังวิญญาณ +100 แต้ม คงเหลือ 120 แต้ม อายุขัยคงเหลือ 15 วัน]

การทำภารกิจสำเร็จไม่เพียงได้รับค่าพลังวิญญาณเท่านั้น แต่ยังได้รับวิชาอีกด้วย!

หลิงเยว่ดีอกดีใจจนนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง

ดูเหมือนว่าภารกิจหลักกับภารกิจสนับสนุนจะช่วยเสริมกันและกัน

ใช่แล้ว ที่แห่งนี้ไม่ใช่ยุคสมัยที่นางใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกต่อไป แต่เป็นยุคสมัยที่คนแข็งแกร่งเป็นใหญ่ต่างหาก ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนขี้หมูราขี้หมาแห้งในโลกใบนี้ หากอยู่สำนักสายใน ชีวิตน้อย ๆ ก็จะได้รับการปกป้อง แต่หากอยู่ในสำนักสายนอกก็ไม่ต่างอันใดกับอยู่ท่ามกลางพายุนองเลือด แก่งแย่งสมบัติของล้ำค่ากัน เข่นฆ่าผู้คนมากมายภายในชั่วพริบตาเดียว

หลิงเยว่เชื่อว่าตราบใดที่นางกล้าย่างเท้าออกจากสำนักแม้เพียงก้าวเดียว ชีวิตน้อย ๆ นี้ต้องถูกผาวฮุยจัดการเป็นแน่!

ดังนั้นนางจึงตัดสินใจอยู่ในสำนักช่วงหนึ่ง

ในขณะที่ผู้บำเพ็ญที่งดเว้นธัญพืชของสำนักหลานเทียนกำลังรอให้นางเอาชนะด้วยอาหารรสเด็ด

[ภารกิจหลักที่สอง : ใช้วัตถุดิบธรรมดาทั่วไป ประกอบอาหารรสเด็ดและได้รับคำชื่นชมจากใจของผู้บำเพ็ญจำนวนสิบคน รางวัลคือ ตำราอาหารวิญญาณหนึ่งเล่ม ค่าพลังวิญญาณ +300 แต้ม อายุขัย +20 วัน เวลาจำกัดในการทำภารกิจภายใน 2 วัน บทลงโทษหากล้มเหลว อายุขัย -10 วัน]

ระบบนี้ไม่ให้โอกาสคนได้รู้สึกโล่งใจเลยแม้แต่น้อย!

“ระบบ วิชาของข้าล่ะ!”

จู่ ๆ หลิงเยว่ที่ยังไม่ได้รับทักษะพลันลุกพรวดลงมาจากเตียง คิดจะโกงทักษะนางไปอย่างนั้นหรือ?

[‘หมื่นชีวางอกเงย’ ผู้บำเพ็ญจำเป็นต้องอยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสามเป็นอย่างต่ำถึงจะเรียนรู้ได้]

หลิงเยว่ “…”

นางเพิ่งจะดึงปราณเข้าสู่ร่างได้ ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะฝึกฝน!

เช้าตรู่วันต่อมา ทันทีที่ตื่นนางก็รีบไปหาผู้ทำหน้าที่ลงทะเบียนรับศิษย์ และรับป้ายหยกระบุตัวตนของศิษย์สำนักสายนอกมา

หลังจากลงทะเบียนเปลี่ยนสถานะศิษย์ ตามปกติแล้วจะถูกจำตำแหน่งให้ไปรับผิดชอบหน้าที่ต่าง ๆ หลิงเยว่ถูกจัดให้อยู่ภายใต้ผู้อาวุโสชุนสุ่ย ยอดเขาโอสถแห่งสำนักสายนอก

ทว่านางกลับไม่ได้ไปรายงานตัวในทันที เอาแต่คิดหาทางว่าจะทำภารกิจที่สองต่อไปเช่นไรดี

นางกลอกตาไปมาอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็เกิดความคิดขึ้น

ยังคงเป็นที่ตลาดที่คุ้นเคย ใช้วิธีค้าขายและตะโกนเรียกลูกค้าด้วยน้ำเสียงดังก้องเฉกเช่นเดิม

ที่ไม่เหมือนเดิมคือรายการอาหารที่ขาย

“ข้าวผัดสีทองเนื้อลูกเต๋าแสนอร่อยมาขายแล้ว ชามละหนึ่งร้อยเหวินเท่านั้นเจ้าค่า พ่อแม่พี่น้องที่เดินผ่านไปผ่านมาลองชิมดูก่อนได้เลย!”

หลิงเยว่ผัดข้าวผัดไข่สีทองอร่ามในกระทะเหล็ก ขณะตะโกนนางพลันใส่เนื้อลูกเต๋าทอด หูหลัวปัว*[1] หั่นเต๋า และถั่วลันเตาสีเขียวลงในกระทะทีละอย่างแล้วผัด

อื้ม… ใส่พริกขี้หนูซอยเข้าไปอีกหน่อยหอมฉุยเลย

รสชาติจัดจ้านดี นางชอบ!

การปะทะกันของส่วนผสมนานาชนิดและความเผ็ดร้อนอันเป็นเอกลักษณ์ของพริกขี้หนูพลันกระจายไปทั่วตลาด

“ฮัดชิ่ว! ฮัดชิ่ว!!!”

ผู้คนที่ผ่านไปมาและเหล่าแผงขายของ ต่างแสบจมูกมากเสียจนพวกเขาเริ่มจามอย่างบ้าคลั่ง

ฉากนี้ทำให้หลิงเยว่ตื่นตระหนก นางเคยได้ยินมาว่าผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่มีนิสัยไม่ดีและอาจโจมตีหากไม่สบอารมณ์ จะเป็นอย่างไรหากพวกเขารวมกลุ่มมาตีนาง

ร่างเล็กบอบบางของนางทนไม่ไหวแน่!

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคุณภาพของพริกขี้หนูที่ซื้อมาจากระบบแลกเปลี่ยนนั้นดีมากเกินไป ซึ่งนางจ่ายไปแค่ 100 แต้มเท่านั้น!

“สาวน้อย! เจ้าอยากวางยาพิษผู้คนหรือ!?”

ผู้บำเพ็ญที่อยู่ใกล้กับแผงขายของของหลิงเยว่ที่สุดก้าวเข้ามาด้วยดวงตาสีแดง

หลิงเยว่รีบตักข้าวผัดใส่ชามแล้วยื่นให้เขาทันที

“พี่ชายอย่าโกรธนะ ข้าจะให้ข้าวผัดชามนี้แก่ท่านโดยไม่คิดเงินเลย ใจเย็น ๆ ก่อนนะเจ้าคะ…”

หลังจากส่งข้าวผัดชามแรกออกไปแล้ว หลิงเยว่ก็เหมือนกับผึ้งตัวน้อยที่ยุ่งวุ่นวายถือข้าวผัดออกไปแจกให้ผู้คนที่เดินเข้ามา แต่การกระทำนี้ไม่ใช่เพราะนางขี้ขลาด แต่นางส่งมันออกไปอย่างมีกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของภารกิจให้สำเร็จ!

“พี่สาวเทพธิดา ข้าให้ท่านชามหนึ่ง!”

ผู้บำเพ็ญหญิงที่ถูกเรียกว่าเทพธิดาไม่รู้สึกโกรธอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากที่อาการฉุนจมูกเริ่มลดลง นางเห็นการผสมผสานของทั้งสีและกลิ่นอันหอมหวนของข้าวผัดในมือหลิงเยว่ทำให้กลืนน้ำลายดัง ‘เอื๊อก!’

“พี่ชาย ท่านยิ่งดูเป็นลูกผู้ชายมากขึ้นภายใต้ดวงตาสีแดง ข้าขอมอบข้าวผัดให้ท่านชามหนึ่ง ข้าเปราะบางเกินกว่าจะสามารถทนต่อการตบของท่านได้จริง ๆ นะเจ้าคะ”

ท่าทางขี้อายแลดูหวาดกลัวของหลิงเยว่ทำให้ผู้บำเพ็ญที่ ‘ฉุนจมูก’ หัวเราะด้วยความโกรธ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายหัวเราะ หลิงเยว่ก็อดหัวเราะคิกคักไม่ได้เช่นกัน

ผู้บำเพ็ญคนนั้นก็ไม่ลงมือทำอะไรนาง ท้ายที่สุดมันก็เป็นอย่างที่หลิงเยว่บอก ร่างเล็ก ๆ ที่บอบบางของนางจะทนต่อการทุบตีของเขาได้อย่างไรกัน

เมื่อเห็นว่าผู้บำเพ็ญเพียงถือชามโดยไม่ได้ตั้งใจจะกิน หลิงเยว่ก็เช็ดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงบนหน้าผากของนางแล้วรีบตักข้าวผัดชามสุดท้ายออกจากหม้อเพื่อ ‘ทดสอบพิษ’ ด้วยตัวนางเอง

เมื่อข้าวผัดเข้าปาก กลิ่นหอมของไข่ก็ฟุ้งไปทั่วทั้งปาก เมื่อเคี้ยวเมล็ดข้าวที่ถูกห่อด้วยไข่แดงหอม ๆ เนื้อนุ่ม หูหลัวปัวหั่นเต๋าและถั่วลันเตาที่มีรสหวาน ซ้ำยังมีความเผ็ดอยู่ที่ปลายลิ้น…

หญิงสาวพลันมีสีหน้าราวความสุขล้นออกจากปาก ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้

“อร่อย! อร่อยสุด ๆ ไปเลย!”

ด้วยสีหน้าท่าทางที่สุดเคลิบเคลิ้มของหลิงเยว่ ในที่สุดผู้บำเพ็ญคนอื่น ๆ ก็อดลองชิมไม่ได้

ผู้บำเพ็ญคนแรกที่ลองชิมคือชายวัยกลางคนที่ถูกหลิงเยว่ยื่นชามข้าวผัดให้เป็นคนแรก เขากินข้าวผัดในชามจนหมดในสามคำ จากนั้นหยิบขวดเหล้าออกมาดื่มอย่างเปิดเผยเพื่อระงับรสเผ็ดในปากของเขา

“ข้าวผัดนี้น่าสนใจเหลือเกิน!”

ด้วยเสียง ‘เคร้ง’ เหรียญเงินหนึ่งเหรียญก็ถูกโยนใส่หลิงเยว่

“เอาข้าวผัดแบบนี้มาให้ข้าอีกหม้อหนึ่ง!”

หลิงเยว่สะดุ้ง พลันเหลือบมองความคืบหน้าของภารกิจ

[ความคืบหน้าของภารกิจ 1/10]

หลิงเยว่ตอบอย่างมีความสุขด้วยคำว่า “ได้เจ้าค่ะ”!

งานนี้ไม่เห็นยากเลยนี่นา!

[1] หูหลัวปัว คือ แคร์รอต

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท