บทที่ 11 ศิษย์น้องในอนาคตคนนี้โง่เขลาเกินกว่าจะก้าวหน้าได้!
บทที่ 11 ศิษย์น้องในอนาคตคนนี้โง่เขลาเกินกว่าจะก้าวหน้าได้!
หลิงเยว่ยังคงนอนอยู่บนพื้นเป็นเวลานาน
นานจนฟ้ามืดก่อนเปลี่ยนเป็นสว่างขึ้นอีกครา
นางจึงจะหลุดพ้นจากสภาวะนี้ เหงื่อผุดออกมากราวกับน้ำไหลผ่าน แต่ดวงตาของหลิงเยว่กลับส่องประกายเจิดจ้า
พูดง่าย ๆ ก็คือนี่เป็นสารานุกรมที่รวบรวมเกี่ยวกับข้อมูลสายพันธุ์สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในแดนเซียนนี้ ไม่เพียงมีข้อมูลของสิ่งมีชีวิตที่บินบนท้องฟ้า สิ่งที่เติบโตบนผืนดิน และสิ่งที่ว่ายน้ำในทะเล เหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่มันยังมีข้อมูลของสมุนไพรหรือพืชวิญญาณที่จำเป็นในการเอามาเป็นวัตถุดิบกลั่นโอสถด้วย!
กระทั่งมีข้อมูลของสัตว์และพืชที่มีพิษร้ายแรง แม้แต่พวกที่เติบโตในพื้นที่ภูเขาไฟปะทุ สิ่งมีชีวิตที่เติบโตในลมพายุ และแม้กระทั่งดินที่กินได้และสามารถใช้เป็นยา ความสมบูรณ์มากมายของข้อมูลนั้นเยอะมากจนใช้เวลาทั้งคืนก็ยังเรียนรู้ได้ไม่หมด
ตามที่เขียนไว้ในคำนำตอนต้นจริง ๆ ว่าทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนกินได้!
“โครก…”
หลิงเยว่ที่จมอยู่กับความคิดของตัวเองพลันตกใจ จึงแตะท้องของนางเบา ๆ คงหิวมากจนท้องร้อง นางนั่งขึ้นอย่างอ่อนแรงและมองไปรอบ ๆ
ตรงกลางห้องเป็นเตากลั่นโอสถสีดำโดยมีตำรามากมายกระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ
ไม่มีอะไรให้กินเลย
ข้าสามารถทำอะไรที่ง่าย เร็ว และอร่อยได้บ้างหรือไม่?
แผ่นไข่ทอด!
ทันทีที่คิดออกหลิงเยว่ก็หยิบเครื่องครัวและวัตถุดิบส่วนผสมออกจากถุงมิติ
บนโต๊ะไม่ได้มีเพียงแค่ไข่และแป้งเท่านั้น แต่ยังมีเนื้อวัวและหูหลัวปัวที่เหลือจากการตั้งแผงขายของในตลาดอีกด้วย หลังจากนั้นไม่นานนางก็ผัดหูหลัวปัวและเนื้อวัวเป็นไส้ของแผ่นไข่ทอด
แก่นปราณวารีสามารถแก้ปัญหาเรื่องไม่มีน้ำได้ และแก่นปราณอัคคีก็แก้ปัญหาการก่อไฟได้โดยตรง การมีแก่นปราณครบทุกธาตุนั้นมีประโยชน์มากมายจริง ๆ
หลิงเยว่เทแป้งผสมไข่ลงในกระทะ ส่งให้กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้อง พัดโชยลอยออกไปข้างนอกผ่านรอยแยกของประตูไม้ ผสมเข้ากับกลิ่นหอมของสมุนไพรโอสถที่มีอยู่ตามปกติของยอดเขาโอสถ
ว่านอวี้เฟิงออกมาจากหอกลั่นโอสถและได้กลิ่นที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน จึงได้แต่เดินตามกลิ่น จนมาหยุดอยู่ที่หอกลั่นโอสถหมายเลขสาม
ความทรงจำของว่านอวี้เฟิงกลับมา เขาเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อวานมีว่าที่ศิษย์สายตรงคนที่ห้าของอาจารย์ไปอยู่ในห้องหมายเลขสาม
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก…”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น หลิงเยว่ที่กำลังยัดแผ่นไข่ทอดเข้าปาก กำลังเพลิดเพลินไปกับกลิ่นหอมของไข่พร้อมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแป้งข้าวสาลี และเนื้อสัมผัสที่ชุ่มฉ่ำของผัดเนื้อวัวและหูหลัวปัวที่อยู่ข้างใน มันมีทั้งความนุ่มและชุ่มฉ่ำ น้ำจากผัดเนื้อก็มีรสหวานของหูหลัวปัว และเนื้อสัมผัสก็เข้มข้นมากจนนางไม่อยากจะให้มันหมดเลย
เป็นไปตามคาด ตนช่างทำอาหารได้อร่อยเสียจริง!
แก้มของหลิงเยว่ป่องออกราวกับหนูชางฉู่*[1]
หลิงเยว่เปิดประตูออกมา เมื่อเห็นว่านอวี้เฟิง นางพลันเคี้ยวเร็วขึ้นและรีบกลืนอาหารลงคอ
“ศิษย์พี่ ท่านกินข้าวแล้วหรือยังเจ้าคะ?”
ว่านอวี้เฟิงไม่ตอบ ทว่ากลับมองไปข้างหลังหลิงเยว่ จากหอกลั่นโอสถที่เคยสะอาดและเป็นระเบียบ บัดนี้ได้กลายเป็นห้องครัวไปเสียแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น ตำราและสูตรการกลั่นโอสถยังไม่ได้รับการแตะต้องเลย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีค่ามากหากมันอยู่ที่สำนักสายนอกหรือนอกสำนัก แต่นางกลับไม่ใช้เวลาอ่านมันเลยหรือ?
ศิษย์น้องในอนาคตคนนี้ช่างโง่เขลาเกินกว่าจะก้าวหน้าได้!
นางไม่รู้หรือว่าศิษย์รอลงทะเบียนสามารถถูกไล่ออกจากยอดเขาหลักได้ตลอดเวลา
แน่นอนว่าหลิงเยว่ไม่รู้ว่าว่านอวี้เฟิงกำลังคิดอะไรอยู่ นางเพียงมองตามสายตาของอีกฝ่ายที่มองไปยังข้างหลังนาง หลิงเยว่รู้สึกผิดมากจนกัดแผ่นไข่ทอดในมือไปอีกครึ่งโดยไม่รู้ตัว
“ศิษย์พี่ ข้าจะทำให้ห้องกลับคืนสู่สภาพเดิมเร็ว ๆ นี้ อย่าโกรธเลยนะเจ้าคะ”
“อุตส่าห์ได้โอกาสเรียนรู้เช่นนี้ แต่เจ้ากลับใช้มันเพื่อเรียนเรื่องการกินเท่านั้นหรือ?”
ว่านอวี้เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่หลิงเยว่รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจอย่างชัดเจน
ไม่เพียงโกรธนางที่ทำให้สถานที่แห่งนี้เละเทะ แต่ยังโกรธนางที่ไม่หวงแหนโอกาสในการเรียนรู้อีกด้วย
ทว่าการประลองกำลังใกล้เข้ามาแล้ว นางไม่มีเวลามากพอที่จะเรียนรู้การกลั่นโอสถในตอนนี้หรอก
ขณะที่หลิงเยว่กำลังจะอธิบาย ว่านอวี้เฟิงก็หันหลังกลับและจากไปโดยไม่ให้โอกาสนางได้แก้ตัว
หลิงเยว่กินแผ่นไข่ทอดในมือจนหมด ก่อนหยิบอีกแผ่นขึ้นมา
หลังจากอิ่มแล้ว นางยังต้องเรียนรู้วิชาหมื่นชีวางอกเงยและวิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์ที่โม่จวินเจ๋อมอบให้ ซึ่งหลิงเยว่ไม่ต้องการเสียเวลาไปกินอาหารที่โรงอาหาร
โอสถงดธัญพืช?
ไม่มีทาง! มีเพียงอาหารอร่อยเท่านั้นที่เป็นแรงบันดาลใจให้นางเรียนรู้อย่างอื่นได้!
[ภารกิจหลักที่ห้า : ใช้สมุนไพรวิญญาณอย่างเหมาะสมเพื่อสร้างอาหารวิญญาณพิเศษที่สามารถเพิ่มปราณในร่างได้ ข้อกำหนด : อาหารต้องมีความอร่อยและต้องมีประสิทธิภาพไม่ต่างจากโอสถกลั่นลมปราณระดับสอง ระยะเวลาในการทำภารกิจ 5 วัน รางวัลคือ ค่าพลังวิญญาณ +2,000 แต้ม อายุขัย +50 วัน บทลงโทษหากภารกิจล้มเหลว ค่าพลังวิญญาณ -3,000 แต้ม อายุขัย -60 วัน]
โอสถจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ขั้น ได้แก่ ขั้นพื้นฐาน กลาง สูง และสมบูรณ์ โอสถแต่ละขั้นจะถูกแบ่งย่อยออกเป็นห้าระดับ ซึ่งยิ่งระดับสูงเท่าไหร่ผลที่ได้ก็จะดียิ่งขึ้นเท่านั้น
ทว่าหลิงเยว่เป็นเพียงมือใหม่!
แผ่นไข่ทอดที่กินไปครึ่งหนึ่งแทบจะร่วงหล่นลงพื้น ลืมข้อจำกัดเวลาไปก่อน บทลงโทษนั้นรุนแรงเกินไป!
ภารกิจที่เพิ่งแจ้งเตือนขึ้นมานี้มันสัมพันธ์กับมือใหม่หรือ!?
“เจ้าอยู่ที่ไหน?”
เสียงของโม่จวินเจ๋อดังขึ้นจากป้ายหยกที่ห้อยอยู่ที่เอวของหลิงเยว่
“ข้าจะอธิบายวิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์ให้เจ้าฟัง”
หลิงเยว่ปฏิเสธได้หรือไม่ ใช่แล้ว นางไม่สามารถปฏิเสธได้!
ในเวลานี้นางอยากแยกร่างออกได้สักสี่ร่าง หนึ่งให้ศึกษาวิชาหมื่นชีวางอกเงย อีกหนึ่งให้ศึกษาวิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์ อีกหนึ่งศึกษาตำราอาหารวิญญาณเบื้องต้น และสุดท้ายฝึกสมาธิ!
“ข้าอยู่ในหอกลั่นโอสถหมายเลขสาม!”
ขณะที่หลิงเยว่ตอบ นางก็รีบทำความสะอาดหอกลั่นโอสถ
การเรียนรู้วิธีกลั่นโอสถเป็นสิ่งสำคัญ แต่วิชาฝึกตนก็สำคัญเช่นกัน
โม่จวินเจ๋อมาถึงเร็วมาก ขณะที่หลิงเยว่ยังทำความสะอาดยังไม่ทันเสร็จดี เขาก็มาถึงแล้ว โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาจับนางขึ้นไปวางบนกระบี่ยักษ์สีขาวราวกับหิมะที่ลอยอยู่กลางอากาศซึ่งถูกโอบล้อมไปด้วยไอคล้ายปุยเมฆสีขาวแผ่บรรยากาศเย็นสดชื่น
แต่หลิงเยว่กลับรู้สึกว่าราวกับว่ามันเหมือนหวานเย็นรสนมแท่งใหญ่…
หวานเย็นแท่งใหญ่บินออกจากยอดเขาโอสถในพริบตา
ถ้ากระบี่เหมันต์เร้นลับรู้ว่ามันถูกมองว่าเป็นหวานเย็นรสนม มันคงจะโยนหลิงเยว่ทิ้งลงพื้นอย่างแน่นอน!
โชคดีที่มันไม่รู้
เมื่อทั้งสองไปถึงภูเขาด้านหลัง โม่จวินเจ๋อไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลย หลิงเยว่หยิบตำราวิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์ออกมา มันขาดรุ่งริ่งและดูเหมือนจะแตกสลายหากถูกสัมผัส แน่นอนว่านางไม่ลืมหยิบแผ่นไข่ทอดอีกสามแผ่นที่เหลือออกมาด้วย
“ท่านยังไม่ได้กินข้าวมาใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
โม่จวินเจ๋อพยักหน้าและหยิบแผ่นไข่ทอดไปอย่างสงบโดยไม่ขออนุญาตล่วงหน้า
“วิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์แบ่งออกเป็นขั้นต้น กลาง และปลาย ขั้นต้นของวิชาจะให้ความสำคัญกับท่วงท่าและความเร็ว ร่างเบาดุจขนนก ย่างก้าวเงียบเชียบ คล้ายว่าจะช้าแต่แท้จริงแล้วเร็วยิ่งยวด เหมาะสำหรับการหลบหลีกและการลอบโจมตี…”
หลิงเยว่ฟังอย่างตั้งใจ วิชาการเคลื่อนไหวนี้สมควรที่จะอยู่ขั้นโลกาเสียจริง!
“ตอนนี้เปิดตำราของเจ้า”
หลิงเยว่ทำตามที่เขาบอก แต่ทันทีที่นางเปิดมัน ตำราที่ขาดรุ่งริ่งก็กลายเป็นเศษกระดาษและสลายกลายเป็นขี้เถ้าในอากาศ
ตำราวิชาขั้นโลกาของนางพังซะแล้ว!
ทำไมถึงเกิดเรื่องร้ายแบบนี้กับข้า!?
“ก้าวแรกของวิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์!”
เสียงของหญิงสาวที่ไร้ตัวตนดังขึ้นในหัวของหลิงเยว่ และเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ ร่างสีขาวตัวเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ จากนั้นร่างสีขาวก็ขยับ!
หลิงเยว่เองก็เคลื่อนไหวตามอย่างควบคุมไม่ได้
ดูเหมือนว่าวิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์จะจำหลิงเยว่ได้ ในขณะที่โม่จวินเจ๋อย้อนความทรงจำที่ถูกปฏิเสธโดยวิชานี้ พลางหยิบแผ่นไข่ทอดหน้าตาธรรมดา ๆ ขึ้นมากัดด้วยใบหน้าเย็นชา
“!!!”
เขาเคี้ยวช้า ๆ แต่หางตาดอกท้อกลับกระตุกไม่หยุด
ความไม่พอใจในอดีตหายไปเพราะอาหารเช้าแสนอร่อย!
ผ่านไปหลายชั่วยาม*[2] หลิงเยว่ที่หมดเรี่ยวแรงก็ถูกโม่จวินเจ๋อพากลับไปที่หอกลั่นโอสถหมายเลขสาม
นางถูกพาออกไปในตอนเช้าและกลับมาหลังพระอาทิตย์ตกดิน หลิงเยว่นอนอยู่บนพื้นด้วยท่าทางสิ้นหวัง
แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับในวันนี้นั้นยิ่งใหญ่มาก!
นางอยากจะนอนหลับจริง ๆ แต่ตนยังไม่ได้ศึกษาตำราอาหารวิญญาณเบื้องต้นและวิชาหมื่นชีวางอกเงยเลย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหลับตอนนี้
หลิงเยว่นั่งขัดสมาธิ ปล่อยให้ปราณพฤกษาบำบัดโคจรไปทั่วร่างกาย เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้า
จากนั้นนางก็ซื้อสมุนไพรวิญญาณจากระบบแลกเปลี่ยนที่มีคุณภาพดีกว่าปกติ การใช้มันทำอาหารวิญญาณจะต้องอร่อยและมีประสิทธิภาพมากกว่าโอสถกลั่นลมปราณระดับหนึ่งแน่นอน ดังนั้นนางต้องศึกษาและทำมันอย่างรอบคอบ
เมื่อกำลังจะทำสิ่งที่ตัวเองชอบ หลิงเยว่ก็มีพลังใจมากขึ้นร้อยเท่า!
ผสม ทอด นึ่ง ต้ม ตุ๋น ผัด หรือทำชานมดีนะ หรือจะเอาไปรวมกับวัตถุดิบอื่นเพื่อทำ…
หลิงเยว่คิดหาวิธีนับไม่ถ้วนและตัดสินใจลองเลือกวิธีที่คิดได้เหล่านั้นมาสองสามวิธี
ด้วยวิธีการมากมาย จะต้องมีวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีที่ตรงกับความต้องการของภารกิจ!
[1] หนูชางฉู่ คือ หนูแฮมสเตอร์
[2] ชั่วยาม คือ หน่วยนับเวลา เทียบเท่า 2 ชั่วโมง