บทที่ 13 คุณชอบเกี๊ยวทอดสมุนไพรตัวอวบอ้วนหรือไม่?
บทที่ 13 คุณชอบเกี๊ยวทอดสมุนไพรตัวอวบอ้วนหรือไม่?
หลิงเยว่ทำอาหารทั้งหมดห้าอย่าง แต่มีเพียงปีกไก่ย่างยัดไส้ข้าวเท่านั้นที่ผ่านเงื่อนไขของภารกิจ
อีกสองจานเป็นเกี๊ยวสมุนไพรวิญญาณนึ่งและน้ำแกงสมุนไพรวิญญาณ
อวี้เจินและโม่จวินเจ๋อกินจนเกลี้ยงจาน
“ศิษย์น้อง ถ้าเจ้าทำอะไรเช่นนี้อีกในอนาคต อย่าลืมเรียกหาข้า ข้าจะมาหาเจ้าในทันที!”
อวี้เจินเรอ รู้สึกพึงพอใจกับอาหารมื้อนี้มาก
“ข้าด้วย”
โม่จวินเจ๋อพยักหน้าเช่นกัน
หลิงเยว่พยักหน้า อันที่จริงนางก็เรียกได้เพียงอวี้เจินและโม่จวินเจ๋อเท่านั้น
“พวกท่าน… ไม่ต้องออกไปฝึกฝนหรือ?”
นางได้ยินมาว่าถ้าผู้บำเพ็ญต้องการพัฒนาระดับการฝึกตนของตัวเอง วิธีที่ดีและเร็วที่สุดคือการออกไปฝึกฝนภายนอก ศิษย์ที่ภาคภูมิใจของสำนักหลานเทียนที่ประสบความสำเร็จมาก พวกเขามักจะออกไปโลกภายนอกเพื่อฝึกฝน หรือต่อให้พวกเขาจะกลับมาที่สำนัก พวกเขาก็มักจะปิดด่านฝึกตนอย่างสันโดษ
ทว่าสองคนนี้…
“การแข่งขันประจำสำนักกำลังจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ และศิษย์ทุกคนที่ฝึกอยู่ข้างนอกจะถูกเรียกกลับสำนัก ก่อนหน้านี้ข้าฝึกฝนอยู่ที่ตลาดนอกสำนักก็เพิ่งถูกเรียกตัวกลับมา” โม่จวินเจ๋อที่เพิ่งกินอิ่มอย่างสำราญตอบอย่างตรงไปตรงมา
“หลังจากที่เจ้าผ่านการประลองแล้ว เจ้าจะต้องเข้าร่วมการแข่งขันของสำนักในอีกครึ่งเดือนถัดจากนั้น จึงควรฝึกฝนให้หนักเข้าไว้”
ร่องรอยของความกังวลแวบขึ้นมาในดวงตาของโม่จวินเจ๋อ “ข้าควรมาฝึกให้เจ้าทุกวันจะดีกว่า”
หลิงเยว่ “…”
เขาคิดว่านางจะขี้เกียจถ้าไม่มีใครคอยเคี่ยวเข็ญงั้นหรือ?
นางจะหย่อนยานได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ชีวิตของนางกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายเช่นนี้
นับพันคำที่อยู่ในใจนางเปล่งออกมาเป็นเสียงได้สองคำว่า ‘ขอบคุณ’
“หลังจากนี้ข้าจะให้เหล่าศิษย์น้องของข้ามาบ่มเพาะร่างกายให้เจ้าทุกวัน!”
อวี้เจินตัดสินใจอย่างมีความสุข
นี่หมายความว่านางจะถูก ‘ทุบตี’ โดยศิษย์ของยอดเขาบ่มเพาะกายาทุกวันต่อจากนี้ไปใช่หรือไม่?
หลิงเยว่รู้สึกหดหู่กับชะตากรรมแสนเลวร้ายที่ตนต้องเผชิญในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่นางก็รู้สึกซาบซึ้งใจมากเช่นกัน
หลังจากที่ทั้งสองคนจากไปแล้ว หลิงเยว่ก็หยิบเมล็ดพืชออกมาสองสามถุงและเริ่มทำให้พวกมันเติบโต
เมล็ดพืชเหล่านี้เป็นเมล็ดพืชวิญญาณระดับต่ำ หากใช้มันดี ๆ พวกมันก็สามารถกลายเป็นอาวุธของนางได้เช่นกัน!
ขณะที่หลิงเยว่กำลังฝึกฝนอย่างหนักในการเร่งเติบโตพืช ป้ายของโรงอาหารสำนักสายนอกที่นางได้รับก็สั่นเตือนว่าถึงเวลาต้องไปทำงานแล้ว หลิงเยว่พลันมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัวและเห็นว่าเป็นเวลารุ่งสางแล้ว
หลิงเยว่จะมีเวลาไปทำงานได้อย่างไร?
ช่างมัน! นางต้องฝึกฝนต่อไป!
สิ่งที่หลิงเยว่ไม่รู้คือตอนนี้มีผู้บำเพ็ญจำนวนมากมารอที่ร้านอาหารหมายเลขสิบ!
“เกิดอะไรขึ้น วันนี้ร้านอาหารหมายเลขสิบปิดอีกแล้วหรือ?”
“แค่วันเดียวข้าก็จะลงแดงอยู่แล้ว! นี่มันทำร้ายจิตใจกันเกินไป พวกเราควรทำอย่างไรดี”
“ร้านอาหารอื่นก็เปิดอยู่ไม่ใช่หรือ”
ผู้บำเพ็ญคนอื่นถอนหายใจ ก่อนหันหลังแล้วเดินไปยังร้านอื่นที่อยู่ติดกัน
แต่หลังจากกินอาหารของหลิงเยว่แล้ว พวกเขาจะสามารถกลืนอาหารที่ปรุงเพียงเกลือและน้ำมันอย่างเดียวได้อย่างไร
จะดีกว่านี้ถ้าไม่มีร้านอาหารหมายเลขสิบตั้งแต่แรก ถ้าไม่เคยกินคงสามารถลืมข้าวหน้าซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน และจำใจกลืนอาหารของร้านอื่นได้ ทว่าตอนนี้การกินอาหารร้านอื่นมันเหมือนการทรมานกันชัด ๆ
แต่แล้วอย่างไรล่ะ?
พวกเขารู้เพียงว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นเป็นคนของสำนักสายนอกที่พวกเขาไม่รู้ชื่อเสียด้วยซ้ำ และไม่รู้ว่าจะไปตามหานางที่ไหน
ผู้บำเพ็ญทั้งหมดหันกลับไปอย่างผิดหวัง
หลิงเยว่ไม่หยุดฝึกฝนหมื่นชีวางอกเงยจนกว่าปราณในร่างกายของตนจะหมดลง คราวนี้นางทำได้ดีกว่าครั้งที่แล้ว ไม่เพียงสามารถกระตุ้นต้นกล้าได้ แต่ยังทำให้เติบโตขึ้นได้เล็กน้อยอีกด้วย
เมื่อไม่เหลือปราณแล้วนางยังคงฝึกฝนต่อไป การปลูกมันออกมานั้นคงยิ่งไม่ได้ผลกว่าเดิม แต่ที่นี่ไม่ใช่บ้านของนาง จึงลังเลที่จะทิ้งพวกมันไป ทันใดนั้นหลิงเยว่ก็จำได้ว่าเคล็ดวิชาหมื่นชีวางอกเงยบอกว่าสัตว์หรือพืชที่เติบโตด้วยเคล็ดวิชานี้จะให้ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดหากกินเข้าไป!
ลองดูเลยดีหรือไม่?
หลิงเยว่หักต้นกล้าผักกาดแล้วใส่เข้าไปในปากของนาง
แม้ต้นกล้าจะยังไม่ได้ผ่านการปรุง แต่นอกจากจะกรอบและหวานกว่าผักกาดทั่วไปแล้ว ยังมีปราณที่แฝงอยู่อย่างหนาแน่นอีกด้วย และไม่มีผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิด
บังเอิญว่านางยังมีแป้งห่อเกี๊ยวที่ทำเหลือจากเมื่อวาน นอกจากแป้งสีขาว แป้งห่อเกี๊ยวเหล่านี้ยังมีสีฟ้า เขียว และทองอีกด้วย พวกมันทำมาจากการเอาไปแช่น้ำจากสมุนไพรวิญญาณ
ทำเกี๊ยว!
หลงหว่านโหรวเพิ่งหลอมยาเสร็จ เมื่อนางเปิดประตูและสูดหายใจเข้าลึก กลิ่นที่นางได้รับวันนี้มันกลับแปลกไป ไม่เพียงมีกลิ่นหอมของยาเท่านั้น แต่ยังผสมกับกลิ่นอื่นที่คล้ายกับอาหาร!
ว่านอวี้เฟิงได้ยินเสียงดังมาจากหอกลั่นโอสถหมายเลขหนึ่ง เขาจึงก้าวออกมาอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านออกจากการปิดด่านแล้วหรือขอรับ?”
“อืม”
หลงหว่านโหรวพูดเบา ๆ และมองไปที่หอกลั่นโอสถหมายเลขสาม “ศิษย์น้องสามกลับมาแล้วหรือ?”
“เขายังไม่กลับมา นั่นคือ… ลูกศิษย์รอลงทะเบียนคนใหม่ของอาจารย์ขอรับ”
ในขณะนี้ว่านอวี้เฟิงไม่รู้ว่าจะใช้คำใดเพื่ออธิบายหลิงเยว่
“ลูกศิษย์รอลงทะเบียน?”
สีหน้าที่แต่เดิมดูจริงจังของหลงหว่านโหรวเปลี่ยนไปกลายเป็นเหมือนกับสีหน้างงงวยของว่านอวี้เฟิง
หลิงเยว่ที่กำลังกินเกี๊ยวอย่างมีความสุขได้ยินเสียงเคาะประตูอีกครั้ง มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้น นอกเหนือจากว่านอวี้เฟิง โม่จวินเจ๋อและอวี้เจินแล้ว พวกเขาล้วนไม่มาในเวลานี้
หลิงเยว่มองดูเกี๊ยวที่ยังทอดและเกี๊ยวนึ่งในหม้อนึ่ง นอกจากนี้ยังมีพืชวิญญาณอีกมากมายบนพื้นที่ยังไม่ได้รับการทำความสะอาด
ช่างเถอะ
สิ่งเลวร้ายที่สุดที่เป็นไปได้คือการถูกตำหนิอีกครั้งเท่านั้นเอง
เมื่อเปิดประตูก็พบว่าเป็นว่านอวี้เฟิงจริง ๆ!
นอกจากนี้ยังมี… หญิงสาวที่สวมชุดของศิษย์สายตรงด้วย อีกฝ่ายดูมีเสน่ห์มากแต่สีหน้าค่อนข้างจริงจัง
หลงหว่านโหรว!
นักกลั่นโอสถระดับห้าแห่งยอดเขาโอสถ ด้วยระดับการฝึกตนขอบเขตจินตาน นางเป็นที่รู้จักในนามราชินีผู้ชนะ!
นักกลั่นโอสถมีทั้งหมดสิบระดับ ระดับห้าขึ้นไปล้วนเป็นนักกลั่นโอสถผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นที่ต้องการของโลกบำเพ็ญเซียน อาชีพนี้มีความแข็งแกร่งไม่เท่าไหร่ทว่ากลับร่ำรวยมาก!
“ศิษย์พี่ใหญ่… ศิษย์พี่หญิงใหญ่? ศิษย์พี่รองเชิญเข้ามาได้เลยเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่ยิ้มอย่างสุภาพพลางก้าวหลีกทาง การเคลื่อนไหวนี้เผยให้เห็นสภาพห้องที่เละเทะที่อยู่เบื้องหลัง
ว่านอวี้เฟิงหน้าบูดทันที
ใบหน้าที่จริงจังแต่เดิมของหลงหว่านโหรวก็เริ่มเย็นชาเช่นกัน
“ข้าเพิ่งเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสี่ ไม่มีโอสถงดธัญพืช ซ้ำสถานที่แห่งนี้ยังอยู่ไกลจากโรงอาหารเกินไปด้วย ต้องใช้เวลาทั้งวันในการไปและกลับ ดังนั้นข้าจึง…”
หลิงเยว่อธิบายอย่างอ่อนแรง
“มันจะไหม้แล้ว”
แน่นอนว่ากลิ่นหอมเร่าร้อนโชยออกมา
หลิงเยว่รีบดับไฟและรีบคีบเกี๊ยวทอดในหม้อออกมาพักไว้
“ศิษย์พี่ใหญ่กินข้าวหรือยังเจ้าคะ?”
เกี๊ยวทอดมีกลิ่นหอมมาก แต่ละตัวมีผิวสีทอง อวบอ้วน และดูน่ากินมาก
“ไม่” หลงหว่านโหรวพูดน้อยราวกับกลัวทองคำในปากจะร่วงหล่น
“แล้วอยากลองหรือไม่เจ้าคะ?”
“ก็ได้”
หลิงเยว่ตกตะลึง เดิมทีนางคิดว่าจะถูกดุหรือหันหลังให้แล้วจากไปเหมือนที่ว่านอวี้เฟิงทำสองครั้งก่อนหน้านี้ โดยไม่สนใจอาหารหรืออะไรสักอย่าง
“ข้าทำแป้งโดยการเอาไปแช่ในน้ำหญ้าวิญญาณสีทองและไส้ข้างในก็เป็นหมูวิญญาณและผักวิญญาณ และ …” หลิงเยว่พูดสูตรทั้งหมดออกมาในทีเดียว
หลงหว่านโหรวฟังอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ว่านอวี้เฟิงแสดงสีหน้าปั้นยาก เขาไม่เคยรักษาภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนของตัวเองต่อหน้าหลิงเยว่ได้เลย ดังนั้นจึงไม่คิดแสร้งทำอีกแล้ว
เกี๊ยวทอดสองจานและน้ำจิ้มสองถ้วยวางอยู่ตรงหน้าพวกเขา
หลงหว่านโหรวไม่ได้มีความคิดต่อต้านเหมือนว่านอวี้เฟิง นางหยิบเกี๊ยวทอดอย่างใจเย็นแล้วใส่เข้าไปในปากของนาง
แป้งสีทองที่ห่อเกี๊ยวกรอบมาก ผิวสีทองของมันก็มีกลิ่นของหญ้าวิญญาณสีทอง ไส้ด้านในนั้นอุดมไปด้วยเนื้อสัมผัสและน้ำที่ชุ่มฉ่ำ เมื่อเคี้ยวมันแล้วปราณที่ถูกกักเก็บอย่างดีก็ระเบิดออกมา ให้ผลเช่นเดียวกับได้กินโอสถกลั่นลมปราณระดับสองเลยทีเดียว!
การคาดเดาของหลิงเยว่เมื่อวานนี้ถูกต้อง การใช้วัตถุดิบที่เติบโตจากวิชาหมื่นชีวางอกเงยจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเหนือกว่าวัตถุดิบวิญญาณธรรมดามาก
หลงหว่านโหรวหยิบขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ลองจิ้มน้ำจิ้มดูก่อน มันจะอร่อยยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ!”
หลิงเยว่แนะนำอย่างแข็งขัน
น้ำจิ้มไม่เพียงมีน้ำส้มสายชูและซีอิ๊วเท่านั้น แต่ยังมีความเผ็ดเล็กน้อยอีกด้วย ผักสีเขียวที่ลอยอยู่ด้านบนไม่ใช่ต้นหอมหรือผักชี แต่เป็นพืชวิญญาณ!
เกี๊ยวที่กรอบและอร่อยพร้อมกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ครองใจหลิงเยว่มาก ๆ
หลงหว่านโหรวจิ้มน้ำจิ้มตามคำแนะนำแล้วใส่เข้าไปในปาก ก่อนเริ่มเคี้ยวมันด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ดวงตาของนางเปล่งประกายขึ้นเล็กน้อย ตอนแรกที่ไม่จิ้มน้ำจิ้มรสชาติก็เข้มข้นอยู่แล้ว แต่หลังจากจิ้ม…
“ศิษย์น้อง… เจ้าลองดู”
ว่านอวี้เฟิงลังเล แต่เมื่อถูกศิษย์พี่ใหญ่สั่ง เขาจึงทำได้เพียงกินเท่านั้น
แต่แค่เพียงคำเดียวก็ทำให้ว่านอวี้เฟิงตกตะลึง เป็นความตกใจที่เหมือนกับความศรัทธาของเขาแตกสลาย
นาง… ทำมันได้อย่างไร?!
“ก่อนหน้านี้ข้าสงสัยเสมอว่าเหตุใดอาจารย์ถึงให้ข้อยกเว้นและยอมรับเจ้าเป็นศิษย์รอลงทะเบียนก่อนการแข่งขันสำนัก ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
หลิงเยว่ “?”
ศิษย์พี่เข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปหรือเปล่า?
ชิงยวนยอมรับนางเป็นลูกศิษย์รอลงทะเบียนเพราะคำแนะนำของเจ้าสำนักและแก่นปราณที่ติดตัว ไม่ใช่เพราะเรื่องอาหารเลย
“ในสมัยโบราณ บรรพบุรุษของเราก็เอาสมุนไพรวิญญาณมาต้มกินเช่นกัน”
หลงหว่านโหรวเห็นด้วยกับแนวทางนี้ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับด้วยสติปัญญา แต่สิ่งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อนางจากการกินเกี๊ยวทอดจนหมดจาน
ว่านอวี้เฟิง “…”
จุดเริ่มต้นมันมาจากการเอาไปทำเป็นของกินจริง ๆ แต่มันคือการเอามาทำอาหารเช่นนี้หรือ?
ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านได้ยินสิ่งที่ตัวเองพูดหรือเปล่า?