ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 18 ไม่ต้องแสดงความเมตตา ทุบตีให้ตายไปเลย

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 18 ไม่ต้องแสดงความเมตตา ทุบตีให้ตายไปเลย

บทที่ 18 ไม่ต้องแสดงความเมตตา ทุบตีให้ตายไปเลย

[ท่านสำเร็จภารกิจหลักที่หก ได้รับรางวัล ค่าพลังวิญญาณ +3,000 แต้ม อายุขัย +50 วัน ค่าพลังวิญญาณคงเหลือ 7,020 แต้ม อายุขัยคงเหลือ 219 วัน]

หลังจากทำงานหนักมาทั้งเช้า หลิงเยว่ก็ทำภารกิจสำเร็จ!

จริง ๆ นางควรกลับไปที่ยอดเขาได้ตั้งนานแล้ว แต่เหล่าสหายใหม่ที่เพิ่งพบวันนี้กระตือรือร้นเกินไปและกระหายความรู้อย่างมาก อาจารย์หลิงเยว่ผู้มีน้ำใจสูงส่งจึงอดจะสอนพวกเขาทีละขั้นตอนไม่ได้

“เจ้าไปที่ใดมา?”

ในฐานะหนึ่งในผู้เคี่ยวเข็ญ โม่จวินเจ๋อรออยู่หน้าหอกลั่นโอสถหมายเลขสามมาเป็นเวลานานแล้ว นอกจากเขาแล้วยังมีว่านอวี้เฟิงและหลงหว่านโหรวด้วย

“ข้าไปพบสหายคนอื่นเพื่อผูกสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นมาเจ้าค่ะ”

เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนไม่เชื่อ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ซักไซ้ให้มากความอีก

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าขอชุดศิษย์สายในสักชุดได้หรือไม่เจ้าคะ?”

หลิงเยว่เล่าถึงประสบการณ์ที่น่าเศร้าของการถูกโยนออกจากภูเขาในวันนี้

“นางคนนั้นอยู่หอกลั่นโอสถใด!”

หลงหว่านโหรวแผ่บรรยากาศเย็นยะเยือก เห็นได้ชัดว่านางมีเพียงแก่นปราณพฤกษาหนึ่งเดียวเท่านั้น ทว่าตอนนี้กลับสามารถทำให้บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกได้ราวกับมีแก่นปราณน้ำแข็ง!

“ไม่ ข้าไม่รู้เหมือนกันศิษย์พี่ใหญ่”

หลิงเยว่ไม่ได้เห็นชัดเจนว่าใครเป็นคนโยนนางออกมา รู้แค่เพียงเพศเท่านั้น

แต่นางไม่ได้เกลียดอีกฝ่ายเท่าไหร่ เพราะถ้าไม่ถูกโยนออกมาก็คงไม่ได้เจอซือจูและคนอื่น ๆ นางสามารถทำภารกิจสำเร็จได้ก็ด้วยได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา

แต่ถ้าเปลี่ยนจากนางเป็นศิษย์ที่มีการฝึกตนต่ำคนอื่นจากสำนักสายนอกละก็…

หลิงเยว่ลอบส่ายหน้า และตัดสินใจว่าจะไม่คิดลงลึกไปกว่านี้

“รับไปเสีย”

ว่านอวี้เฟิงไม่ชอบเสื้อผ้าแบบศิษย์สายนอกของหลิงเยว่มานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงแอบไปซื้อชุดมาสองชุดในวันนี้พอดี

หลิงเยว่กอดเสื้อผ้าอย่างซาบซึ้งใจ

“ศิษย์พี่รอง ท่านใจดีที่สุดเลย”

ว่านอวี้เฟิงทนสายตาโง่ ๆ ของหลิงเยว่ไม่ได้ดังนั้นเขาจึงหันหลังกลับ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีเกี๊ยวที่กำลังปรุงอยู่ในหม้อของเขา

ข้าไม่เชื่อ! ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะไม่สามารถทำเกี๊ยวที่ให้ผลดีและอร่อยเท่าของหลิงเยว่ได้!

โม่จวินเจ๋อไม่ให้เวลาหลิงเยว่เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยซ้ำ เหตุผลง่าย ๆ คือหลังจากนี้เสื้อผ้าใหม่จะขาดและสกปรกถ้านางเปลี่ยน

นั่นสมเหตุสมผลดี

หลิงเยว่ซึ่งมีใบหน้าเศร้าหมองถูกลากไปที่ภูเขาด้านหลังอีกครั้ง และได้พบกับศิษย์จากยอดเขาบ่มเพาะกายาที่อวี้เจินมอบหมายให้มา อีกฝ่ายดูแข็งแกร่งมากและให้ความรู้สึกไม่สบายใจในแบบที่ว่า นางอาจจะถูกอีกฝ่ายทุบตายได้ในหมัดเดียว

จากนั้นเส้นทางของการถูกทุบตีของหลิงเยว่ก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

ทุกวันนางจะถูกพากลับยอดเขาโอสถด้วยสภาพที่น่าสังเวชต่างกันไป

มันช่างน่าเวทนาเสียจริง

ในขณะที่หลิงเยว่ตกอยู่ในชะตากรรมที่น่าเศร้า พ่อของผาวฮุยก็ไม่ได้มีความสุขเช่นกัน เขาแทบจะบ้าไปแล้วจากการตามหานาง!

“ยังไม่พบหลิงเยว่อีกงั้นหรือ?”

ผาวซ่านมีสีหน้าน่าเกลียดมาก เขาส่งลูกศิษย์ออกไปมากมาย แต่กลับหาศิษย์สายนอกเพียงคนเดียวไม่เจอด้วยซ้ำ ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง!

เมื่อเผชิญกับความดุเดือดเช่นนี้ ลูกน้องของเขาก็ตอบด้วยความกลัว “ผู้อาวุโส ข้าได้ค้นหาทุกที่ที่สามารถทำได้ในยอดเขาโอสถแล้ว… ”

นังเด็กเลวตัวน้อยนั่นเก่งในการซ่อนตัวมากจริง ๆ แม้แต่เงาของนางพวกเขาก็ยังหาไม่เจอ!

“ผู้อาวุโส เป็นไปได้หรือไม่ว่านางอาจออกไปนอกสำนัก?”

“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีบันทึกว่านางออกไป!”

สิ่งที่ลูกน้องยังคิดได้ ผาวซ่านจะคิดไม่ออกได้อย่างไร?

เขาได้ส่งคนไปตรวจสอบรายชื่อศิษย์สายนอกที่ออกจากสำนักทุกวันแล้ว แต่ก็ไม่มีชื่อของหลิงเยว่เลย!

ไม่! ลูกชายของเขาจะแพ้ได้อย่างไร!

ผาวซ่านต้องตามหาหลิงเยว่ เขาต้องการทำให้การประลองชี้ชะตากลายเป็นโมฆะ!

“ค้นหาต่อไป ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดิน พวกเจ้าก็ต้องตามหานางให้เจอ!”

“รับทราบ!”

น่าเสียดายที่ก่อนการประลองชี้ชะตา ผาวซ่านราวถูกกำหนดโดยโชคชะตาให้ไม่สามารถหาหลิงเยว่เจอได้

ช่วงนี้ถ้านางไม่อยู่ในหอกลั่นโอสถหมายเลขสาม นางก็กำลังถูกทุบตีอยู่ที่ภูเขาด้านหลัง และทั้งสองสถานที่ก็เป็นที่ที่ผาวซ่านกับคนของเขาไม่สามารถเข้าถึงได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่านางเป็นศิษย์ของผู้นำยอดเขาโอสถ!

การถูกทุบตีเป็นเวลานานย่อมมีประสิทธิภาพมากอย่างแน่นอน อย่างน้อยวิชาเคลื่อนคล้อยไร้ลักษณ์ของหลิงเยว่ก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะเข้าใกล้หลิงเยว่ได้ ศิษย์ของยอดเขาบ่มเพาะกายาที่มีระดับเดียวกับนางต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียว

“ข้าจะจัดให้ศิษย์ของยอดเขาโอสถของเจ้ามารับหน้าที่ต่อ”

การให้ศิษย์ของยอดเขาบ่มเพาะกายามาช่วยฝึกซ้อมก็เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและความอดทนทางกายภาพของหลิงเยว่เป็นหลัก ด้วยขณะนี้เหลือเวลาเพียงสิบวันก็จะถึงการประลองชี้ชะตา

ผาวฮุยเป็นผู้บำเพ็ญแก่นปราณสามธาตุสายวัจนะศักดิ์สิทธิ์ จึงถึงเวลาต้องจัดให้มีผู้ฝึกวัจนะออกมาฝึกซ้อมให้หลิงเยว่แล้ว

ตอนนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าศิษย์ของยอดเขาบ่มเพาะกายา หลิงเยว่ไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว นางสามารถหลอกล่อหรือหลบหลีกพวกเขาได้พักใหญ่ แต่ราคาที่นางต้องจ่ายในการทำเช่นนั้นก็ยังสูงอยู่นัก และนางยังต้องหลีกเลี่ยงการถูกทุบตีในตอนท้าย

วันนี้เมื่อเห็นมู่มู่ที่ด้านหลังเขา หลิงเยว่ถึงกับตกใจ!

“ศิษย์พี่มู่?”

“ศิษย์น้องหลิง?”

“ทั้งสองรู้จักกันหรือ?”

ว่านอวี้เฟิงไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องเล็กคนที่ห้าที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในหอกลั่นโอสถและภูเขาด้านหลังทุกวันจะรู้จักศิษย์คนอื่น ๆ ของยอดเขาโอสถด้วย?

“มู่มู่ อย่าแสดงความเมตตา ทุบตีนางให้ตายเดี๋ยวนี้”

คำพูดของหลงหว่านโหรวทำให้หลิงเยว่ตกใจ นางรีบกระโดดออกห่างจากมู่มู่โดยไม่คิดถึงไมตรีก่อนหน้านี้อีกแล้ว

มู่มู่กลืนน้ำลายอย่างหนักหลังจากได้ยินคำขอดังกล่าว มันเหมาะสมแล้วหรือสำหรับเขาผู้อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นหกที่จะต่อสู้กับหลิงเยว่ผู้อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสี่ แบบนั้นจะไม่ตายหรือไร?

ทว่าภายใต้แรงกดดันจากการจ้องมองที่เย็นชาของหลงหว่านโหรว เขาทำได้เพียงมองหลิงเยว่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ จากนั้นจึงประสานมืออย่างรวดเร็วพลางท่องวัจนะด้วยเสียงแผ่วเบา

หลิงเยว่ที่รีบกระโดดหนีออกไป จู่ ๆ ก็รู้สึกว่างเปล่าที่เท้า ตอนนี้พื้นใต้ฝ่าเท้านางเกิดรอยแตกและแยกออก ในรอยแตกนั้นพลันมีไม้เลื้อยสีเขียวพุ่งออกมาพันข้อเท้าข้างหนึ่งของหลิงเยว่อย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็พยายามลากเด็กสาวลงไปในรอยแยก

หลิงเยว่ที่ต่อสู้กับผู้ฝึกวัจนะเป็นครั้งแรกไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไป นางพยายามใช้ขาอีกข้างเตะและถีบไม้เลื้อยอย่างแรง

แต่ยิ่งนางดิ้นรนมากเท่าไร ไม้เลื้อยก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเท่านั้น ยังไม่พอ ไม้เลื้อยนี้ยังมีหนามเล็ก ๆ แทงข้อเท้านางอย่างเจ็บปวด บาดแผลเริ่มชาหนึบและสติสัมปชัญญะของหลิงเยว่ก็ชักจะพร่ามัว

โอ๊ย!

พี่มู่ช่างโหดร้าย!

หลิงเยว่สูดหายใจเข้าลึก ชักมีดทำครัวออกมาฟันไม้เลื้อยที่ข้อเท้า แต่อย่างที่คาดไว้ มันไร้ประโยชน์

จะทำอย่างไรดี?

จิตสำนึกของนางเริ่มพร่าเลือนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ร่างกายท่อนล่างของหลิงเยว่ถูกดึงเข้าไปในรอยแยกแล้ว แม้ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างล่าง แต่มันจะทำให้ชีวิตของนางบัดซบมากกว่านี้อย่างแน่นอน!

ดวงตาของหลิงเยว่ดุร้าย นางเปลี่ยนจากมีดทำครัวเป็นเมล็ดพืช แล้วโยนเมล็ดพืชไปทางไม้เลื้อย

ตอนนี้เมล็ดพืชเล็ก ๆ จึงไปติดอยู่กับไม้เลื้อย มันช่าง…ดูไม่เป็นอันตรายและไร้ประโยชน์

โม่จวินเจ๋อ หลงหว่านโหรว ว่านอวี้เฟิง “…”

ใช้มีดทำครัวยังพอเข้าใจ แต่ไอ้เมล็ดพืชนั่นมันบ้าอะไรกัน?

มู่มู่ก็พูดไม่ออกเช่นกัน

กระทั่งเมล็ดพืชที่ติดอยู่กับไม้เลื้อยเริ่มแตกหน่อ และหน่ออ่อนก็ปกคลุมไม้เลื้อยแทบจะในทันที การเติบโตของมันเริ่มรวดเร็วขึ้น

เมื่อหน่ออ่อนค่อย ๆ เติบโต มู่มู่ผู้ควบคุมไม้เลื้อยก็รู้สึกประหลาดใจ เขาพบว่าตัวเขาสูญเสียปราณในร่างกายไปในอัตราที่มากขึ้น มู่มู่ตัดสินใจตัดการเชื่อมต่อกับไม้เลื้อยทันที แต่ก็พบว่าทำไม่ได้ ตอนนี้เขาทำได้เพียงเฝ้าดูปราณในร่างเหือดหายไป…

นี่มันวิชามารอะไรกัน?!

แย่แล้ว!

หลิงเยว่รู้สึกว่าความรุนแรงในการรัดของไม้เลื้อยเริ่มเบาลง นางจึงขยับเท้าจนหลุด เป็นอิสระได้อย่างง่ายดาย

หลิงเยว่คลานออกมาจากรอยแยก ทิ้งตัวนอนหอบหายใจอยู่บนพื้น

ดวงตาของนางจับจ้องไปยังพืชวิญญาณที่กำลังเติบโตอย่างน่าพึงพอใจ ในเวลานี้ไม้เลื้อยสีเขียวได้กลายเป็นสารอาหารแก่พืชวิญญาณ จนพืชวิญญาณเติบโตดูน่าอร่อย

นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงเยว่ใช้วิชาหมื่นชีวางอกเงยกับพืช ไม่คิดเลยว่าจะได้ผลดีขนาดนี้?

มู่มู่ล้มลงกับพื้นด้วยใบหน้าซีดเซียว ว่านอวี้เฟิงรีบเข้าไปตรวจสอบ พบว่าอีกฝ่ายไม่มีปราณเหลืออยู่ในร่างเลย!

เขาหันมองหลิงเยว่ซึ่งสภาพเหมือนเพิ่งรอดชีวิตมาจากภัยพิบัติ จากนั้นมองไปยังพืชวิญญาณที่หยุดเติบโตแล้วพลางรู้สึกหวาดกลัวในใจ

เมล็ดพืชวิญญาณสามารถเติบโตได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เป็นเพราะพวกมันดูดซับปราณของมู่มู่ผ่านไม้เลื้อยสีเขียวนั่นหรือเปล่า?

หลงหว่านโหรวกับโม่จวินเจ๋อก็ค้นพบสถานการณ์นี้เช่นกัน

“วิชาของเจ้า… แข็งแกร่งมาก!”

โม่จวินเจ๋อกะพริบตา

ไม่แปลกใจแล้วที่หลิงเยว่บอกว่านางไม่จำเป็นต้องฝึกวิชาที่เขาให้

เมล็ดพืชเล็ก ๆ ที่ดูไร้พิษภัยกลับสามารถดูดปราณของผู้บำเพ็ญได้จนหมดในระยะเวลาอันสั้น มันคล้ายกับวิชาที่โม่จวินเจ๋อเคยเห็น ทว่านั่นเป็นวิชาเฉพาะของผู้บำเพ็ญมารเท่านั้น

แน่นอนว่ายังคงมีความแตกต่างกัน ด้วยผู้บำเพ็ญมารจะดูดพลังชีวิต แต่หลิงเยว่ดูดเพียงปราณ!

แต่ไม่แน่ ตอนนี้นางแค่ดูดปราณ…

ทว่าในอนาคตนางอาจจะเปลี่ยนเป็นการดูดพลังชีวิตก็เป็นได้!

“ศิษย์น้องห้า วิชาของเจ้าช่วยให้เมล็ดพืชเติบโตบนร่างมนุษย์ได้หรือไม่?”

หลิงเยว่ตกตะลึงกับคำถามของหลงหว่านโหรวทันที

นางไม่รู้เรื่องนี้ แต่ร่างกายของคนมีปราณ ตราบใดที่พวกเขามีปราณเมล็ดพืชก็สามารถกลายเป็นปรสิตบนร่างพวกเขาได้…

แต่ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนาง นางไม่สามารถทำให้เมล็ดพืชกลายเป็นปรสิตในร่างกายมนุษย์ได้อย่างแน่นอน กระนั้นในอนาคต… อาจจะเป็นไปได้…

หลิงเยว่คิดถึงพลังของวิชาปรสิต พลันนางรีบวิ่งไปหามู่มู่ที่นอนอยู่บนพื้นและถามอย่างกังวลว่า “ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่มู่เป็นอะไรหรือไม่?”

ว่านอวี้เฟิงส่ายหัว

“เขาเพิ่งสูญเสียปราณทั้งหมดไป แค่กินโอสถฟื้นปราณสักสองสามเม็ดก็น่าจะไม่เป็นไรแล้ว”

หลังจากได้ยินเช่นนี้ หลิงเยว่จึงทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นอย่างเหนื่อยล้า ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว…

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท