บทที่ 26 อยู่ในคุกทั้งหมด?
บทที่ 26 อยู่ในคุกทั้งหมด?
อวี้เจินที่ซ่อนตัวอยู่ในหอกลั่นโอสถเพื่อมาเยี่ยมผู้ป่วย พลันได้ยินเสียงความโกลาหลครั้งใหญ่ข้างนอกนั่น นางไม่สนใจหลิงเยว่อีกต่อไปว่าจะกรีดร้องหรือควบคุมตัวเองไม่ได้ นางแง้มประตูและเฝ้าดูการต่อสู้ผ่านร่องประตูนั้น
โอ้! ฮ่า ฮ่า!
ตามที่คาดไว้ มันเป็นเรื่องความขัดแย้งเดิม ๆ ที่ฝังลึกมานานของยอดเขาโอสถ
เมื่อเห็นว่าสองต่อสี่เสียเปรียบ ในฐานะที่เป็นสหายร่วมโต๊ะอาหารกันมาเป็นแรมเดือนแล้ว อวี้เจินจึงไม่มีเหตุผลที่จะเพิกเฉย!
ยกเว้นหลงหว่านโหรวซึ่งอยู่ในขอบเขตจินตาน คนอื่น ๆ ที่กำลังต่อสู้กันอยู่มีแต่พวกขอบเขตการบำเพ็ญขอบเขตสร้างรากฐานขั้นต้น กลาง และปลาย ซึ่งไม่ใช่ปัญหาสำหรับนางที่อยู่ในขอบเขตสร้างรากฐานขั้นกลางที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้นี้
“ให้ข้าช่วยเจ้า!”
ร่างของอวี้เจินถูกปกคลุมด้วยแสงสีทอง จากนั้นนางก็รีบวิ่งไปอย่างรวดเร็วและซัดหนึ่งในกลุ่มของจัวหลิงเหยาจนปลิวออกไป
“อ๊า!”
ชายที่ถูกต่อยกระเด็นจนตัวปลิวไปไกลส่งเสียงร้องโหยหวน
อวี้เจินเป็นเหมือนวัวตัวน้อยที่วิ่งอาละวาดเข้าใส่จัวหลิงเหยาและอีกสามคน
“อวี้เจิน! เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้!?”
ในฐานะคนที่เข้าสำนักพร้อมกัน จัวหลิงเหยารู้จักอวี้เจินอย่างแน่นอน เดิมทีสี่ต่อสองพวกนางได้เปรียบ ทว่าตอนนี้พวกของนางถูกซัดปลิวหายไปคนหนึ่งแล้ว สถานการณ์พลิกกลับกลายเป็นสามต่อสาม
จัวหลิงเหยากัดฟันกรอด!
“ข้าอัดศิษย์น้องของเจ้าจนสลบไปแล้ว การกระทำของข้ายังไม่ชัดเจนพอหรืออย่างไร?”
อวี้เจินพุ่งไปด้านหลังศิษย์ชายที่เหลือ ก่อนเตะอีกฝ่ายขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกคน
“ชัดเจนพอหรือไม่คราวนี้?”
นางน่ารำคาญยิ่งกว่าครั้งก่อนเสียอีก!
จัวหลิงเหยาโกรธจัด!
“คนไหนที่เพิ่งพูดว่าอยากได้โอสถฟื้นปราณก้าวออกมาได้เลย!”
ศิษย์น้องหญิงสี่ของจัวหลิงเหยาควักขวดโอสถฟื้นปราณออกมาหลายขวดและเริ่มเขย่ามันต่อหน้าผู้คน
“ข้ามีอีกเยอะเลย หากพวกเจ้าทำให้ทั้งสามคนนี้พิการได้ พวกเจ้าจะได้รับรางวัลใหญ่!”
ศิษย์ยอดเขาอื่นที่เมื่อครู่ตะโกนเสียงดังเริ่มออกอาการลังเล การต่อสู้ด้วยอาวุธวิญญาณและยันต์ในสำนักจะถูกจำคุกสองถึงสามวันเป็นอย่างน้อย หรือถ้าหนักหน่อยก็จะถูกลงโทษด้วยการชดใช้ด้วยหินวิญญาณ
ทว่าหินวิญญาณคือชีวิต!
ผู้ฝึกวัจนะลังเล แต่พวกผู้ฝึกกระบี่ไม่ได้กังวล พวกเขามีสมบัติติดตัวเพียงอย่างเดียวคือกระบี่เท่านั้น!
เมื่อเห็นว่าการต่อสู้เริ่มบานปลายขึ้น ผู้อาวุโสของยอดเขาโอสถก็รีบออกมาหยุดการวิวาทครั้งนี้ หากพวกเขาไม่ออกมา ยอดเขาโอสถจะราบเป็นหน้ากลองจากการต่อสู้อย่างแน่นอน
“ลากพวกเขาทั้งหมดไปขังเป็นเวลาสามวัน!”
ทันทีที่ผู้นำของกลุ่มผู้อาวุโสพูด อวี้เจิน หลงหว่านโหรว ว่านอวี้เฟิง จัวหลิงเหยาและคนอื่น ๆ ที่เข้ามาร่วมตะลุมบอนก็ไม่สามารถขัดขืนได้ ก่อนถูกนำตัวไปจำคุกทั้งหมด
แม้ว่าจะถูกลงโทษคุมขังแล้ว แต่ผู้ก่อเหตุทั้งหลายก็ต้องจ่ายค่าปรับเพื่อชดใช้ค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น
ผู้อาวุโสเรียกผู้ดูแลมาคำนวณความเสียหาย จากนั้นสั่งให้คนของเขาไปทำการเรียกเก็บหินวิญญาณ
โม่จวินเจ๋อที่บังเอิญได้ยินกระบวนการยุติคดี “…”
หลิงเยว่ได้ยินเสียงประตูถูกเปิดจึงคิดว่าเป็นหลงหว่านโหรวและคนอื่น ๆ ที่กลับมา นางมองไปทางประตูอย่างไม่เต็มใจ กลับเห็นเป็นโม่จวินเจ๋อ
“ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าและคนอื่น ๆ อยู่ที่ไหนกันหรือ?”
หอกลั่นโอสถหมายเลขสามมีค่ายกลปิดกั้นครอบอยู่ ดังนั้นเสียงจากภายในจึงไม่สามารถทะลุออกไปข้างนอกได้ และเสียงจากภายนอกก็ไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้เช่นกัน
หลิงเยว่จึงยังไม่รู้ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางรู้สึกได้ว่าร่างกายไม่ได้เจ็บปวดมากถึงเพียงนั้นอีกแล้ว และอาการบาดเจ็บภายในก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
“ถูกพาไปคุมขัง”
โม่จวินเจ๋อพูดอย่างใจเย็น จากนั้นก้มลงเพื่อแก้มัดให้หลิงเยว่
ในหัวของหลิงเยว่เต็มไปด้วยคำถาม
“…เหตุใดกันเจ้าคะ?”
“ก่อเรื่องทะเลาะวิวาทครั้งใหญ่น่ะ”
หลิงเยว่ “?”
เหตุใดจึงมีการทะเลาะวิวาทกัน?
โม่จวินเจ๋อหยิบยารักษาออกมาแล้วป้อนให้กับหลิงเยว่ที่กำลังสับสน จากนั้นอธิบายว่า “คุมขังเพียงสามวันเท่านั้น ไม่ต้องกังวลไป”
หลิงเยว่ที่กินยาไปอีกรอบและถูกโอสถหล่อกระดูกทรมานมาทั้งคืนจึงไม่มีแรงถามต่อ ไม่นานเปลือกตาของนางก็หนักอึ้งแล้วปิดลงอย่างควบคุมไม่ได้
หลิงเยว่นอนหลับทั้งวันทั้งคืน หลังจากที่ฟื้นคืนสติ นางก็ลุกขึ้นจากเตียงและรู้สึกถึงปราณมากมายที่ไหลผ่านร่างกาย บาดแผลยังคงอยู่แต่มันก็ใกล้หายจนเกิดเป็นสะเก็ดแล้ว
ยาของโลกนี้ให้ผลดีเหลือเกิน!
ไม่รู้ว่าอาหารวิญญาณพิเศษของข้าจะสามารถบรรลุผลแบบเดียวกันหรือดีกว่านี้ได้หรือไม่!
นางอยากทำอาหารวิญญาณพิเศษที่ให้ผลแบบเดียวกับโอสถหล่อกระดูกแต่ไร้ซึ่งความเจ็บปวดหลังกิน หลิงเยว่ไม่มีวันลืมความเจ็บปวดจากการกินโอสถหล่อกระดูกไปตลอดชีวิตแน่!
ว่าด้วยขอบเขตการบำเพ็ญปัจจุบันของนางทำให้ไม่สามารถศึกษามันได้ในขณะนี้ และคงไม่อาจสามารถทำอาหารที่ให้ผลได้ดีเหมือนกับยาระดับกลางได้จนกว่านางจะบรรลุถึงขอบเขตสร้างรากฐาน
ห้องของนางยังคงเป็นหอกลั่นโอสถเช่นเดิม แต่ที่ต่างไปคือตอนนี้มีเตียงเสริม
หลิงเยว่ลูบไล้เตียงไม้อย่างสงสัย นางเคยเห็นเตียงแบบนี้ในพิพิธภัณฑ์เท่านั้น ไม่สิ… เตียงนี้สวยงามและประณีตยิ่งกว่าของในพิพิธภัณฑ์เสียอีก
ว่าแต่ศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองของนางอยู่ที่ไหนกันนะ?
เมื่อคิดถึงทั้งสองคน ความทรงจำที่เกือบลืมไปก็กลับมา นางจำได้ว่าก่อนที่จะหลับไป โม่จวินเจ๋อบอกว่าพวกเขาถูกพาตัวไปคุมขัง!
“โครก โครก…”
ท้องของหลิงเยว่ร้องเสียงดัง
ข้าต้องไปเยี่ยมนักโทษ… ไม่สิ ข้าจะไปเยี่ยมศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองที่ถูกคุมขัง ข้าควรนำอะไรติดมือไปด้วยใช่หรือไม่?
ดูเหมือนว่าศิษย์พี่รองจะชอบเกี๊ยวเป็นพิเศษ และศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารการกิน…
หลิงเยว่ซึ่งใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วยามในการเตรียมอาหารเช้ามื้อใหญ่ นางได้ส่งสารถึงโม่จวินเจ๋อเพื่อขอความช่วยเหลือด้วย
นางไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองถูกนำไปขังอยู่ที่ใด
โม่จวินเจ๋อมาถึงอย่างรวดเร็ว เขาเก็บอาหารเช้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงพาหลิงเยว่ไปยังเรือนจำ
ผู้บำเพ็ญที่ถูกจำคุกทั้งหมดจะถูกนำไปขังไว้ที่ภูเขาคุมกฎ
ภูเขาคุมกฎแตกต่างจากเรือนจำในจินตนาการของหลิงเยว่ ที่นี่เป็นภูเขาแห้งแล้งขนาดใหญ่มีกรงที่สร้างจากปราณวารีตั้งอยู่บนภูเขา ที่นี่ไม่มีแสงแดด แต่กลับมีลมพัดกระโชกแรงคล้ายคมกระบี่บาดทำให้เกิดความเจ็บปวด มันทั้งมืดมนและรกร้าง
ตามคำอธิบายของโม่จวินเจ๋อ ปราณไม่สามารถใช้ที่นี่ได้
เมื่อไม่สามารถใช้ปราณได้ก็จะไม่สามารถปกป้องร่างกายของตัวเองได้ ผู้ถูกคุมขังจะต้องทนต่อความหนาวเย็นและลมที่เหมือนคมกระบี่ล่องหนนี้ไปให้ได้
หลิงเยว่พยายามใช้ปราณของนางซึ่งมันก็ไม่ได้ผลจริง ๆ
ระหว่างทาง หลิงเยว่เห็นผู้บำเพ็ญจำนวนมากนั่งอยู่ในกรงปราณวารี สีหน้าของทุกคนไม่สู้ดีนัก บางคนเมื่อเห็นหลิงเยว่ก็รีบเกาะลูกกรงแล้วกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งตรงนั้น หรือไม่ก็พยายามพูดขอร้องให้อีกฝ่ายปล่อยเขาออกไป
โชคดีที่สถานที่คุมขังหลงหว่านโหรวอยู่ไม่ไกล
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง เอ๊ะ! ศิษย์พี่หญิงอวี้… ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ด้วยเล่าเจ้าคะ!”
หลิงเยว่ประหลาดใจมากเมื่อเห็นอวี้เจิน
ดวงตาที่ประหลาดใจของอวี้เจินเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ
“ข้าคิดว่าศิษย์พี่สองคนของเจ้าน่าจะเหงาก็เลยอาสาเข้ามาอยู่ด้วยอย่างไรเล่า!”
ทำไมมันฟังดูแล้วคล้ายอีกฝ่ายกำลังประชดตนอยู่เลยล่ะ?
“ข้าเอาอาหารอร่อย ๆ มาให้พวกท่านเจ้าค่ะ!”
หลิงเยว่ทำได้เพียงเปลี่ยนเรื่องด้วยรอยยิ้ม ก่อนเปิดกล่องอาหารหกชั้นในมือของนาง
“นี่คือเกี๊ยวสมุนไพรวิญญาณทอด ซาลาเปาทอดใส่ไส้ แป้งห่อหมูฝอย ขนมจีบ น้ำแกงมะเขือเทศและเห็ด และยังมีขนมอบข้าวหอมหมื่นลี้แสนหวานด้วยนะเจ้าคะ!”
เกี๊ยวที่เป็นอาหารจานหลักแป้งเกี๊ยวถูกผสมด้วยน้ำสมุนไพรวิญญาณหลายชนิด ซึ่งทำให้มีหลายสีสวยงาม และที่สำคัญที่สุดคือรสชาติอร่อยล้ำ!
แม้ว่าน้ำแกงจะทำง่ายที่สุด แต่รสชาติก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจานอื่นเลย
“โอ้!”
อวี้เจินหยุดบ่นและจับกรงน้ำแน่นพลางน้ำลายไหล
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนนำอาหารมาให้ขณะที่นางถูกคุมขัง นางจึงรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมาก
แววตาของหลงหว่านโหรวอ่อนลง
“อาการบาดเจ็บของเจ้าเพิ่งทุเลา รีบกลับไปก่อนเถอะ”
“สิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่อยากจะพูดคือเจ้าช่างมีน้ำใจจริง ๆ ศิษย์น้องห้า!”
ว่านอวี้เฟิงรู้สึกว่าศิษย์น้องห้าคนนี้น่าพึงพอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสายตาของเขา
แน่นอนว่าหลิงเยว่ยังไม่อยากจากไป หลังจากมอบอาหารแล้วนางต้องการทราบเหตุผลว่าทำไมทั้งสามคนจึงถูกส่งเข้าคุกเพราะการต่อสู้
นางถามโม่จวินเจ๋อแล้วแต่เขาไม่ยอมบอก
“ข้าค่อยกลับหลังจากพวกท่านกินเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่นั่งลงบนพื้นนอกกรงปราณวารี ตอนนี้ทั้งสามคนออกมาจากห้องขังไม่ได้ ดังนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะถูกใครลากกลับไป ฮ่า ๆ ๆ