ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 29 ท่านกล้าดีอย่างไรมาทุบตีศิษย์น้องห้าของข้า

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 29 ท่านกล้าดีอย่างไรมาทุบตีศิษย์น้องห้าของข้า

บทที่ 29 ท่านกล้าดีอย่างไรมาทุบตีศิษย์น้องห้าของข้า

เมื่อติงหลิวหลิ่วกลับมาที่หอกลั่นโอสถหมายเลขสาม จากหอกลั่นโอสถที่ก่อนหน้าดูไม่คุ้นเคยก็กลับมาเป็นสภาพดังเดิมเหมือนก่อนที่นางจะจากไป สะอาดและเป็นระเบียบ หากนางไม่ได้เห็นมาก่อนว่ามันถูกเปลี่ยนเป็นห้องครัวด้วยตาของตัวเอง ก็คงแยกแยะไม่ออกว่าห้องนี้เคยถูกคนอื่นเข้ามาอยู่อาศัย

ศิษย์น้องห้าอยู่ที่ใดกันนะ?

เป็นไปได้หรือไม่ที่นางกำลังไปบ่นกับศิษย์พี่ใหญ่ว่าข้าไล่นางออกไป?

ติงหลิวหลิ่วไม่สามารถควบความคิดในใจได้ หรือไม่บางทีศิษย์น้องห้าอาจจะไปพบกับอาจารย์แล้วร้องไห้ขอความเมตตา!

ทำไมศิษย์น้องห้าถึงเป็นเช่นนี้ได้! ข้าไม่ได้ไล่เจ้าออกไปเสียหน่อย…

ติงหลิวหลิ่วที่กำลังจะออกไปตามหาชิงยวนชนเข้ากับโม่จวินเจ๋อ ซึ่งกำลังแบกหลิงเยว่ที่อยู่ในสภาพน่าสังเวชไว้ในมือของเขา

“ท่านกล้าดีอย่างไรมาทุบตีศิษย์น้องห้าของข้า!”

ติงหลิวหลิ่วผู้เต็มไปด้วยความคิดฟุ่งซ่านในหัว เมื่อเห็นหลิงเยว่อยู่ในสภาพน่าสงสาร นางก็เริ่มต่อสู้โดยไม่ถามไถ่อีกฝ่ายเลยสักคำ

โม่จวินเจ๋อจะทำสิ่งใดได้บ้าง?

เขาทำได้แค่ทิ้ง ‘ภาระ’ ในมือแล้วลงมือตอบโต้

ทว่านักกลั่นโอสถจะไปเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างไรในการต่อสู้ระยะประชิด?

ศิษย์พี่สามคนนี้ของหลิงเยว่ดูไม่ฉลาดนัก… โม่จวินเจ๋อคิดในใจ

เขาไม่ได้ชักกระบี่ออกมาด้วยซ้ำ กลับดูผ่อนคลายมากในการสู้กับติงหลิวหลิ่วที่อยู่ในขอบเขตสร้างรากฐานขั้นปลาย

เพียงช่วงเวลาหนึ่งก้านธูป ติงหลิวหลิ่วก็มีสภาพสะบักสะบอมไม่ต่างจากหลิงเยว่

หลิงเยว่ที่เวียนหัวตื่นขึ้นมา ก็ได้เห็นศิษย์พี่สามของนางกำลังร้องไห้

“ศิษย์น้องห้า… ข้าขอโทษที่ไม่สามารถเอาชนะโม่จวินเจ๋อได้ รอก่อนเถอะ เมื่อศิษย์พี่สี่ของเจ้ากลับมา เขาจะล้างแค้นให้เจ้าและข้าอย่างแน่นอน!”

โม่จวินเจ๋อ ฝากไว้ก่อนเถอะ!

ติงหลิวหลิ่วจ้องไปที่โม่จวินเจ๋อด้วยดวงตาแดงก่ำ

โม่จวินเจ๋อ หลิงเยว่ “…”

“ศิษย์พี่สาม ข้าไม่ได้ถูกศิษย์พี่โม่ทุบตี แต่มันเป็นเพราะ… ข้าใช้ปราณจนหมดในขณะที่ฝึกร่างกายเจ้าค่ะ”

หลิงเยว่รู้ว่าติงหลิวหลิ่วเข้าใจผิด จึงรีบเปิดปากอธิบายและรู้สึกว่าศิษย์พี่สามคนนี้ของนางน่ารักมาก

“ถ้าอย่างนั้นเขาเป็นใบ้หรืออย่างไร เหตุใดถึงไม่ยอมอธิบาย เจ้าไม่รู้หรือว่าผิวหนังที่บอบบางของนักกลั่นโอสถไม่จำเป็นต้องขัดเกลา เขาโหดร้ายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร!”

โม่จวินเจ๋อยิ้มให้กับทัศนคติของติงหลิวหลิ่วในการวิพากษ์วิจารณ์เขา

แน่นอนเขายิ้มเพราะความโกรธ

นางให้โอกาสเขาอธิบายเสียเมื่อไหร่กัน?

“เห็นหรือไม่ว่าเขาหัวเราะอยู่ เขากำลังหัวเราะเยาะเราแน่!”

ติงหลิวหลิ่วซึ่งนอนอยู่บนพื้นทำได้เพียงขยับปากเท่านั้น นางจ้องโม่จวินเจ๋อพลางคิดเองเออเองด้วยความอาฆาตพยาบาท

หลิงเยว่เหลือบมองชายหนุ่ม เขายิ้มจริง ๆ แต่ศิษย์พี่สามแน่ใจหรือว่าชายตรงหน้ากำลังล้อเลียนแทนที่จะรู้สึกโมโห

“ข้าไปละ”

โม่จวินเจ๋อไม่อยากจะเสวนากับคู่ศิษย์พี่น้องสองคนนี้

“อย่าลืมเอาหวานเย็นส่วนของเจ้าสำนักไปให้เขาด้วยนะเจ้าคะ!”

ย่างก้าวของโม่จวินเจ๋อแข็งค้างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เร่งความเร็วขึ้นและหายไปในพริบตา ทิ้งศิษย์พี่น้องสองคนไว้เพียงลำพัง มองหน้ากันอย่างเงียบ ๆ

“ศิษย์น้องห้า ข้าจะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน!”

ติงหลิวหลิ่วได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของหลิงเยว่จากทั้งสามคนในคุกแล้ว มันไม่ง่ายเลยสำหรับศิษย์น้องห้า!

หลิงเยว่ต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายตั้งแต่อายุยังน้อย มิหนำซ้ำอาจารย์ของนางก็ช่างใจแข็งเกินไปกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่น่าสงสารเช่นนี้ อาจารย์จะไม่ยอมรับหลิงเยว่เป็นศิษย์คนที่ห้า หากหลิงเยว่ไม่สามารถเข้าสู่สิบอันดับแรกในการแข่งขันสำนัก

ทั้ง ๆ ที่พรสวรรค์ของศิษย์น้องห้าเพียงอย่างเดียวนั้นก็ยอดเยี่ยมถึงขนาดเทียบได้กับพรสวรรค์ของศิษย์เอกที่ยอดเยี่ยมที่สุดห้าอันดับแรกของสำนักแล้ว ท่านอาจารย์จะยังไม่พอใจอีกหรือ?

หลิงเยว่รู้สึกหนาวไปทั้งตัวเมื่อถูกติงหลิวหลิ่วจ้องมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก

หลิงเยว่แต่เดิมต้องการขอความช่วยเหลือ กลับกลืนคำพูดของตัวเองลงไป ก่อนพูดตะกุกตะกักว่า “ขอบคุณ…ขอบคุณศิษย์พี่สามเจ้าค่ะ”

“ศิษย์พี่สาม นอกจากหอกลั่นโอสถแล้วมีที่อื่นอีกหรือไม่ที่ข้าพอจะไปอาศัยอยู่ได้?”

“ไม่มี หอกลั่นโอสถคือบ้านของนักกลั่นโอสถ”

เพื่อให้พวกเขามีสมาธิกับการกลั่นยา อาจารย์จะจัดเพียงหอกลั่นโอสถให้พวกเขาเท่านั้น แต่นักกลั่นโอสถคนอื่น ๆ ทั่วไปจะมีบ้านเป็นของตัวเอง

ติงหลิวหลิ่วมองหลิงเยว่ด้วยความเอ็นดูมากขึ้น ศิษย์น้องห้าที่ยากจนคงยังไม่มีที่อยู่อาศัย

“ศิษย์พี่สี่ของเจ้ายังไม่กลับมา…” ทันทีที่นางพูดเช่นนี้ ติงหลิวหลิ่วก็ส่ายหน้า “อย่าดีกว่า เจ้าไม่ควรไปอยู่ที่หอกลั่นโอสถของเขา ชายผู้นั้นมีสมองไม่ปกติ ในอนาคตเมื่อเจ้าเจอเขาก็พยายามอยู่ให้ห่างไว้ เอาเป็นว่าตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่กับข้าไปก่อนก็แล้วกัน”

หลิงเยว่อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคงตกลงพักที่บ้านของโม่จวินเจ๋อไปเสีย หากต้องการทำภารกิจให้สำเร็จ นางจะต้องทำอาหารต่อไป ซึ่งติงหลิวหลิ่วคงไม่พอใจแน่ถ้าเห็นนางเปลี่ยนหอกลั่นโอสถให้กลายเป็นห้องครัวอีกรอบ

ในทางกลับกัน ถ้าเป็นนางก็คงไม่อยากเปลี่ยนห้องครัวของตัวเองให้กลายเป็นหอกลั่นโอสถเช่นกัน

“ศิษย์น้องห้า ข้าได้ยินจากศิษย์พี่รองว่าเจ้าสามารถใช้สมุนไพรวิญญาณเพื่อทำอาหารอร่อยและยังคงรักษาผลของยาเอาไว้ได้ เจ้าช่วยสอนข้าได้หรือไม่!”

ติงหลิวหลิ่วลุกขึ้นนั่งจากพื้นด้วยความตื่นเต้น ดวงตาพลันเปล่งประกาย

“เจ้าสามารถใช้หอกลั่นโอสถของข้าได้อย่างเต็มที่เลย!”

กลับกลายเป็นว่าติงหลิวหลิ่วตัดสินใจอยู่ฝ่ายเดียว จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนอย่างมีความสุขอีกครั้ง

พวกนางทั้งสองนอนตัวตรงที่หน้าประตูหอกลั่นโอสถตลอดทั้งคืน

เมื่อรุ่งเช้า ติงหลิวหลิ่วก็ดึงหลิงเยว่ที่กำลังนอนหลับลึกเข้ามาในหอกลั่นโอสถอย่างมีความสุข และสนใจใคร่รู้ที่จะเรียนจากศิษย์น้องห้า

ฉากในหอกลั่นโอสถทำให้หลิงเยว่ที่กำลังงัวเงียตื่นเต็มตาขึ้นมาทันที

ศิษย์พี่สามเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยนี่นา!

ขณะนี้ทั้งห้องเต็มไปด้วยกล่องหยกวางเป็นตั้งไว้มากมาย แต่ละกล่องนั้นมีสมุนไพรวิญญาณระดับกลางหรือสูงกว่า

สมุนไพรวิญญาณแบ่งออกเป็นระดับต่ำ กลาง สูง สุดยอด จิตวิญญาณ แปรสภาพ ศักดิ์สิทธิ์

ปลุกสำนึกรู้หมายถึงสมุนไพรต้นนั้นได้ปลุกจิตสำนึกของมันจนมีปัญญาคิดอ่านได้แล้ว

แปรลักษณ์หมายถึงสมุนไพรวิญญาณต้นนั้นสามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้หลังจากมันฝึกตนไปจนถึงระดับหนึ่ง และรอดพ้นจากสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จ

ส่วนสมุนไพรวิญญาณระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่เพียงแต่มีสติปัญญาและสามารถเปลี่ยนแปลงร่างได้ตามใจนึก มันยังมีพลังอำนาจที่แข็งแกร่ง และความเร็วในการฝึกตนของมันนั้นเร็วมากจนไม่จำเป็นต้องเผชิญกับสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์เลยด้วย!

มีสมุนไพรวิญญาณที่ทรงพลังถึงเพียงนั้นในโลกนี้จริงหรือ?

หลิงเยว่รู้ข้อมูลทั้งหมดนี้มาจากตำราอาหารวิญญาณฉบับเบื้องต้น

“ศิษย์พี่สาม ข้ายังไม่สามารถจัดการกับสมุนไพรวิญญาณระดับกลางได้ในขณะนี้นะเจ้าคะ”

ไม่ว่านางจะต้องการแค่ไหน แต่หลิงเยว่ก็จะไม่ดันทุรังใช้สมุนไพรวิญญาณอันล้ำค่าเหล่านี้ทำอาหารอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า หรือต่อให้จะลงมือทำจริง ๆ ความแข็งแกร่งของนางก็ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น

นางทำได้แค่ทำอาหารจากสมุนไพรวิญญาณระดับต่ำอย่างปลอดภัยเท่านั้น

“เจ้าบอกมา เดี๋ยวข้าจะเป็นคนลงมือให้เอง!”

ติงหลิวหลิ่วรู้ว่าหลิงเยว่จะพูดแบบนี้ ดังนั้นจึงได้คิดวิธีแก้เอาไว้แล้ว

นี่ออกจะไร้ยางอายไปหน่อยใช่หรือไม่?

“ศิษย์พี่สาม ข้าไม่รู้จักสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับฤทธิ์ยาและรสชาติของมัน…”

หลิงเยว่เข้าสู่โหมดการสอน

ติงหลิวหลิ่วตกตะลึง มันจะยากกว่าการกลั่นยาได้อย่างไร?

หรือว่าตนจะต้องยอมแพ้?

แต่เมื่อนึกถึงรสชาติหวานเย็นสมุนไพรวิญญาณเมื่อวาน นางลองก่อนแล้วค่อยยอมแพ้ก็ยังไม่สายเกินไป?

เมื่อเห็นว่าติงหลิวหลิ่วสงบลงแล้ว หลิงเยว่ก็นำสมุนไพรวิญญาณระดับต่ำที่นางซื้อมาจำนวนสามสิบหกชนิดออกมา สมุนไพรเหล่านี้เป็นสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดที่ใช้ทำโอสถฟื้นปราณ

คราวนี้หลิงเยว่ไม่ได้บดสมุนไพรวิญญาณโดยตรงเพื่อสกัดน้ำของมัน แต่ใช้แก่นปราณอัคคีของนางเองเพื่อสกัดน้ำของสมุนไพร

ติงหลิวหลิ่วที่กำลังดูอยู่ด้านข้างพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ นี่เป็นวิธีที่ถูกต้องสำหรับนักกลั่นโอสถในการสกัดน้ำจากสมุนไพร

ศิษย์พี่รองใส่ร้ายศิษย์น้องห้าโดยสิ้นเชิง!

เขากล้าพูดได้อย่างไรว่าศิษย์น้องห้าชอบใช้หม้อในการปรุงสมุนไพรวิญญาณ สับแล้วกินเหมือนเป็นผักวิญญาณโดยไม่ใช้ไฟจากแก่นปราณของตัวเองด้วยซ้ำ แต่เพียงทุบมันด้วยแท่งไม้แล้วบดสมุนไพรเพื่อให้ได้น้ำออกมา

ตอนนี้ข้าได้เห็นด้วยตาของตัวเองแล้ว ช่างแตกต่างจากที่ศิษย์พี่รองพูดอย่างสิ้นเชิง!

ศิษย์พี่รองคงอิจฉาความสามารถของศิษย์น้องห้าเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงสาดน้ำสกปรกใส่ศิษย์น้องห้า!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท