ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 33 คนปกติที่ไหนเขากินดินกัน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 33 คนปกติที่ไหนเขากินดินกัน?

บทที่ 33 คนปกติที่ไหนเขากินดินกัน?

ชิงยวนยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่หลงหว่านโหรวกลับรู้สึกหดหู่เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น

“ดูเหมือนเจ้าจะชอบอาหารของหลิงเยว่มากสินะ”

“เจ้าค่ะ…”

ชิงยวนคุ้นเคยกับลูกศิษย์พูดน้อยคนนี้มานานแล้ว นางหยิบขนมดอกบัวหลากสีขึ้นมาวางบนฝ่ามือ มองดูมันพลางดมกลิ่น

“น่าสนใจ”

ทันใดนั้นชิงยวนก็เริ่มสนใจ เมื่อนางตระหนักว่ากลีบแต่ละกลีบนั้นมีฤทธิ์ยาแบบเดียวกับโอสถฟื้นฟูกายา ดังนั้นจึงเด็ดมาหนึ่งกลีบแล้วใส่เข้าไปในปาก

อาจารย์กินมันจริง ๆ หรือ!?

หลงหว่านโหรวรู้สึกประหลาดใจ

หลังจากกินกลีบดอกหนึ่งแล้ว ชิงยวนก็หันความสนใจไปที่เกสรก้อนกลมเล็กนั่น ซึ่งมีสีสันหลากหลายถึงสามสิบหกสี เมื่อเอาเข้าปาก นางพลันรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่นุ่มนวล รสหวานและมีกลิ่นหอม

นี่มันเหมือนกับการกินโอสถฟื้นฟูกายาระดับสองไม่มีผิดเพี้ยน

แต่รสชาติกลับแตกต่างราวฟ้ากับเหว

ชิงยวนหัวเราะเบา ๆ ตราบใดที่ยามีประสิทธิผลเพียงพอ ไม่มีผู้บำเพ็ญคนใดสนใจรสชาติของมัน

หลงหว่านโหรวเฝ้าดูชิงยวนกินขนมดอกบัวหลากสีสัน พลางจิบชานม จากนั้นหยิบขนมดอกท้อขึ้นมากัด

จากนั้นขนมบนโต๊ะก็หายไปอย่างช้า ๆ จนหมด…

ท่านอาจารย์… กินจนหมดเลย!

หมดเกลี้ยงเลย!

มีความเศร้าอันสุดแสนในดวงตาของหลงหว่านโหรว ตามนิสัยของหลิงเยว่แล้ว เวลาทำอาหารอร่อยอะไรเด็กสาวจะเรียกอวี้เจินและคนอื่น ๆ ให้มากินด้วยกัน ทว่านางออกมานานแล้ว ป่านนี้คนอื่น ๆ คงกินขนมหมดแล้วเป็นแน่

ถ้าข้ารู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้…

ไม่นึกเลยว่าโลกมันจะกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้!

ชิงยวนตกใจมากเมื่อรู้สึกตัวว่าตนกินขนมจนหมดเกลี้ยง เดิมทีนางแค่อยากจะลองชิมสักหน่อยเท่านั้น แต่… มันกลับกลายเป็นว่านางหยุดตัวเองไม่ได้

ศิษย์คนที่ห้าในอนาคตของนาง ช่างร้ายกาจเกินไปใช่หรือไม่?

ชิงยวนตระหนักอย่างคลุมเครือว่ายอดเขาโอสถในอนาคตอาจเปลี่ยนแปลงไปเพราะหลิงเยว่

ดูสิ ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน ลูกศิษย์คนโตของนางซึ่งเคยเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการหลอมยาตลอดทั้งวันเปลี่ยนไปอย่างกับเป็นคนละคน

หลงหว่านโหรวกลับไปที่หอกลั่นโอสถหมายเลขสามด้วยใบหน้ามืดหม่น แต่กลับพบว่าสิ่งต่าง ๆ แตกต่างจากที่นางคาดไว้ เหล่าขนมที่คิดว่ามันควรถูกกินจนเกลี้ยงไปแล้วตอนนี้กลับมีอยู่เต็มโต๊ะเลย!

โม่จวินเจ๋อและคนอื่น ๆ ที่รวมตัวกันรอบโต๊ะหันออกไปมองนอกห้องพร้อมกัน พวกเขาเห็นหลงหว่านโหรวที่กำลังมองมาด้วยดวงตาราวกับกำลังส่องแสงเจิดจ้าในคืนที่มืดมิด

“ศิษย์น้องหลิง ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้ากลับมาแล้ว เรากินกันเลยได้หรือไม่?”

ลู่เป่ยเหยียนที่ยังไม่ได้กินอะไรเลย แต่ต้องยืนมองอาหารอร่อยมากมายเพียงอย่างเดียวใกล้จะเป็นบ้าเต็มทีแล้ว

โชคดีที่ก่อนที่เขาจะบ้า หลงหว่านโหรวก็กลับมาพอดี

หลิงเยว่นำเนื้อแดดเดียวทอดชิ้นสุดท้ายออกมา

ช่างน่าเสียดาย…

วันนี้นางลงแรงไปตั้งมาก แต่ภารกิจกลับคืบหน้าไปเพียงสองในสาม และอาหารพิเศษที่มีผลเช่นเดียวกับโอสถย่างก้าววายุยังคิดค้นได้ไม่สำเร็จเลย

เพราะส่วนผสมหลักของโอสถย่างก้าววายุคือดินวายุแดง

นั่นช่างสกปรกเสียจริง!

การกินหญ้าไม่ได้น่าเกลียด เพราะความเป็นจริงแล้วสมุนไพรวิญญาณก็ถือว่าเป็นหญ้าและสามารถเอามาทำให้อร่อยได้ แต่ใครจะกินดินกันเล่า?

อาหารที่ทำโดยไม่มีส่วนผสมหลักนี้ย่อมอร่อย แต่มันจะไม่มีผลของโอสถย่างก้าววายุแน่นอน

ไม่น่าแปลกใจที่ระบบสุนัขนี่ให้เวลาหลายวันเพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะทำอาหารจากสูตรยาสุดท้าย

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”

โม่จวินเจ๋อดึงแขนเสื้อของหลิงเยว่ ทำให้เด็กสาวกลับมามีสติอีกครั้ง

หลิงเยว่รู้สึกตัวก่อนจะนั่งลงแล้วพูดว่า “ข้ากำลังคิดสูตรอาหารอยู่เจ้าค่ะ วันนี้ข้าทำอาหารล้มเหลวไปมากเหลือเกิน”

ล้มเหลว?

หลายคนไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหลิงเยว่ ทุกสิ่งที่พวกเขามองและดมกลิ่นก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้บำเพ็ญคลุ้มคลั่งได้

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์กินขนมแล้วหรือยังเจ้าคะ?”

หลงหว่านโหรวพยักหน้า “หลังจากกินแล้ว ท่านอาจารย์ยังชื่นชมที่เจ้ามีความคิดและมีทักษะที่ไม่เหมือนผู้ใด”

หลิงเยว่ที่กำลังเศร้าหลังจากทำภารกิจไม่สำเร็จมีกำลังใจมากขึ้นเพราะคำพูดของหลงหว่านโหรว

อาจารย์ชิงยวนไม่เพียงกินมันเท่านั้น แต่ยังชมนางด้วย! นางประสบความสำเร็จในการทำให้ท่านอาจารย์รู้ได้ถึงตัวตนของนางแล้ว!

“อาหารแบบไหนของเจ้าที่หมายถึงความล้มเหลวกัน?”

“สิ่งใดก็ตามที่ไม่มีฤทธิ์เช่นเดียวกับยาย่อมถือว่าล้มเหลว”

หลิงเยว่ชี้ไปที่อาหารทุกชนิด เช่น น่องไก่ ปีกไก่ และซี่โครงที่หมักด้วยสูตรสมุนไพรวิญญาณแบบพิเศษที่นำไปทอดจนกลายเป็นอาหารที่อร่อยมาก

โม่จวินเจ๋อหยิบซี่โครงทอดสีทองขึ้นมา ชั้นนอกกรอบและเนื้อในนุ่มชุ่มฉ่ำ พร้อมกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของสมุนไพรวิญญาณ

มันไม่มีผลทางยาใด ๆ แต่ยังอุดมไปด้วยปราณและมีรสชาติดีพอ ๆ กับอาหารที่มีผลเหมือนยา

“มันไม่ใช่ความล้มเหลวสักหน่อย!”

ติงหลิวหลิ่วซึ่งนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของหลิงเยว่แย้งกลับ โดยยังคงถือน่องไก่ทอดที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งอยู่ในมือ และถือปีกไก่ทอดด้วยมืออีกข้างแล้วกินอย่างมีความสุข

“ศิษย์น้องหลิง ข้าคงไม่อาจกินอาหารที่ล้มเหลวของเจ้าจนหมด ข้าเอามันกลับไปได้หรือไม่?” ลู่เป่ยเหยียนถามด้วยใบหน้าเขินอาย

“ถ้าจะมีใครที่เอากลับไปกินต่อมันควรจะเป็นข้า! เกี่ยวอะไรกับเจ้า!” อวี้เจินเลิกคิ้วทันที “อีกอย่าง เจ้าเป็นแค่คนมาขอกินเท่านั้น แต่พวกเราทุกคนจ่ายค่าอาหาร!”

“ใช่! เจ้ากินอาหารมาหลายมื้อแล้วโดยไม่จ่ายอะไรเลย! ถึงเวลาที่จะต้องคิดถึงเรื่องนี้แล้วหรือยังเล่า!?” ว่านอวี้เฟิงมองไปที่ลู่เป่ยเหยียน

“อาจารย์อาโม่ช่วยข้าทีสิ! วันนั้นข้าก็ถูกทุบตีเพราะท่าน!”

ลู่เป่ยเหยียนคิดถึงปลาหิมะสีเงินย่างที่เขากินในคืนนั้นมันสุดแสนจะอร่อย และการถูกอาจารย์ของเขาทุบตีหลังจากกลับไปนั้นช่างเลวร้ายถึงเพียงใด ใบหน้าของเขาบวมปูดไปหมดทั่วทั้งร่าง ทุกวันนี้เขายังรู้สึกเจ็บแปลบอยู่เลย!

โม่จวินเจ๋อเป็นคนขโมยปลาไปชัด ๆ แต่ทำไมกลับเป็นเขาที่ถูกทุบตี!

“ศิษย์พี่ลู่ ท่านถูกทุบตีจริง ๆ หรือ?”

ลู่เป่ยเหยียนเลิกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นรอยฟกช้ำที่มีอยู่เต็มแขนของเขา

หลิงเยว่ถอนหายใจ เพียงแค่แขนยังมีสภาพเช่นนี้ ส่วนอื่น ๆ ที่มองไม่เห็นคงจะน่าสังเวชมากกว่าแน่

ช่างน่าอนาถนัก…

โม่จวินเจ๋อผู้กระทำผิดมอบปีกไก่ให้ลู่เป่ยเหยียนอย่างเงียบ ๆ

“ไม่ใช่ว่าข้าจ่ายคืนเป็นสามเท่าแล้วหรือ ทำไมเขายังทุบตีเจ้าอีก?”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ลู่เป่ยเหยียนก็รู้สึกเศร้า เขากัดปีกไก่พลางสะอื้น “อาจารย์ตำหนิว่าข้าไม่มีหัวคิด ไม่รู้จักเอากลับไปแบ่งเขาด้วย เขาเองก็อยากลองอาหารที่พวกท่านและเจ้าสำนักชอบกินเช่นกัน…”

“พรืด!”

“พรืด! …”

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

อวี้เจินระเบิดเสียงหัวเราะลั่นออกมา ติงหลิวหลิ่วเองก็ไม่น้อยหน้า และหลิงเยว่ก็อดไม่ได้เช่นกัน

หลงหว่านโหรวเป็นคนเดียวที่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะของนางได้

“เช่นนั้นเดี๋ยวข้าจะแบ่งให้ท่านเอากลับไปส่วนหนึ่ง เพื่อที่ท่านจะได้ไม่ถูกทุบตีอีกรอบนะเจ้าคะ”

หลังจากที่หลิงเยว่พูด นางก็เริ่มหยิบอาหารใส่กล่องอาหาร

อย่างไรก็ตาม วันนี้นางทำอาหารเยอะมาก ทั้งเจ็ดคนไม่มีทางกินมันหมดในคราวเดียวแน่

ลู่เป่ยเหยียนรับกล่องอาหารมาด้วยใบหน้าซาบซึ้งใจ “ศิษย์น้องหลิงช่างใจดีเหลือเกิน เจ้าไม่เหมือนคนอื่น ๆ ที่ไร้หัวใจ!”

“ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าแบ่งอาวุธวิญญาณจากอาจารย์ของเจ้ามาให้”

“นั่นมันสิ่งที่เจ้าต้องการต่างหาก!”

ว่านอวี้เฟิงตบไหล่ลู่เป่ยเหยียนอย่างมีความสุข “ศิษย์น้องห้าของข้ามีแก่นปราณทั้งห้า เจ้าเข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจ” ลู่เป่ยเหยียนยิ้ม

ตอนนี้หลิงเยว่รู้สึกอย่างไรน่ะหรือ?

นางรู้สึกว่าพอได้รู้จักพวกเขาแล้ว ก็แทบไม่ต้องทำงานหนักเลย เพียงแค่นอนและสนใจทำแต่เรื่องที่นางชอบก็พอ

ไม่สิ นอนราบไม่ได้ และนอนในท่าที่ไม่ดีก็เป็นไปไม่ได้ ระบบไม่อนุญาต และนางก็ไม่อนุญาตเช่นกัน!

พวกเขาล้วนเป็นผู้บำเพ็ญมากฝีมือ แน่นอนว่านางจะไม่ยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลังแน่!

นางหยิบขนมเปี๊ยะดอกไม้มากินคำใหญ่ มันช่างหวานจนถึงหัวใจ!

เนื่องจากขณะทำอาหารหลิงเยว่ก็กินอาหารของตัวเองไปด้วยอยู่ตลอด ดังนั้นนางจึงเป็นคนแรกที่อิ่มก่อนใครเพื่อน นางกุมท้องของตนและได้แต่มองดูคนหกคนที่ยังคงกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง

นี่หมายความว่ายิ่งระดับการบำเพ็ญสูงขึ้นก็จะยิ่งกินได้มากขึ้นหรือ?

ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่านางซึ่งอยู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นห้า ดูเหมือนจะไม่เข้าพวกเลยเมื่ออยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ที่อย่างต่ำสุดก็อยู่ในขอบเขตสร้างรากฐานกันแล้ว

นางยังจำสิ่งที่เจ้าสำนักเล่อเหอพูดได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะบรรลุไปสู่ขอบเขตสร้างรากฐานได้ ไม่นะ… บางทีนางอาจไปไม่ถึงขอบเขตสร้างรากฐานด้วยซ้ำ!

โอ้สวรรค์!

ทำไมทำกับนางเช่นนี้!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท