บทที่ 34 ถ้ามันดูดีมันก็ต้องอร่อยใช่หรือไม่เล่า?
บทที่ 34 ถ้ามันดูดีมันก็ต้องอร่อยใช่หรือไม่เล่า?
หลังจากจบมื้อฉลอง หลิงเยว่นอนไม่หลับและเริ่มเล่นกับดิน
ดินวายุแดงมีลักษณะเป็นสีแดงเข้ม
เมื่อใช้ในการกลั่นโอสถเพิ่มความเร็ว จะต้องเผามันเป็นเถ้าด้วยไฟจากแก่นปราณ จากนั้นจึงค่อยเอาขี้เถ้าเติมลงไปในเตากลั่นโอสถเพื่อผสมรวมกับน้ำของสมุนไพรวิญญาณ
หลิงเยว่ลองชิมขี้เถ้า ทันใดนั้นความขมก็ทำให้คิ้วของนางขมวดแน่นจนแทบจะผูกกันได้ แม้ว่าจะบ้วนปากด้วยน้ำไปแล้ว ลิ้นก็ยังรู้สึกขมไม่หาย และแม้ว่านางจะกินอมยิ้ม ทว่าอมยิ้มก็ยังรู้สึกขม
ต้องทำอย่างไรให้สิ่งนี้กินได้?
ภารกิจนี้ท่าจะล้มเหลวเสียแล้ว เพราะโอสถย่างก้าววายุใช่หรือไม่?
ไม่! ไม่ได้เด็ดขาด! ถ้าขืนข้าล้มเหลวจะกลายเป็นถูกดินกลบหน้า! บทลงโทษของภารกิจนี้รุนแรงเกินไป
หลิงเยว่จ้องมองดินวายุแดงพลางครุ่นคิดอย่างหนัก
ใช่แล้ว มีทางแก้อยู่!
เมล็ดกะหล่ำดอกปรากฏขึ้นในมือของหลิงเยว่ นางฝังเมล็ดไว้ในดินวายุแดงและใช้วิชาหมื่นชีวางอกเงยเพื่อเร่งการโตของมัน
ครั้งนี้นางไม่ได้โคจรปราณเข้าไปในเมล็ดที่แตกหน่อ แต่ปล่อยให้พวกมัน ‘กิน’ ดินวายุแดง
เมื่อกะหล่ำดอกเติบโตอย่างเชื่องช้า ดินสีแดงเข้มก็เริ่มจางหายไป ใบสีเขียวดั้งเดิมของกะหล่ำดอกค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง และกะหล่ำดอกที่ถูกห่อหุ้มด้วยใบค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีขาวเป็นโปร่งใส
เมื่อกะหล่ำดอกโตเต็มที่ ใบสีแดงเข้มก็เหี่ยวเฉา กะหล่ำดอกใสเริ่มเรืองแสงเป็นสีแดงจาง และดินสีแดงที่ถูกหยั่งรากก็สลายกลายเป็นเศษซาก
หลิงเยว่เก็บเกี่ยวกะหล่ำดอกใสขนาดใหญ่ซึ่งใหญ่กว่าหัวของเด็กสาวเสียอีก
“ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่สามเจ้าคะ!”
หลิงเยว่วิ่งเข้าไปในหอกลั่นโอสถโดยมีกะหล่ำดอกอยู่ในอ้อมแขนของนาง และเขย่าตัวติงหลิวหลิ่วที่ตอนแรกบอกว่าจะฝึกฝนแต่กลับนอนหลับแทน
“ได้เวลากินแล้วใช่หรือไม่!”
คำพูดแรกของติงหลิวหลิ่วเมื่อตื่นทำให้หลิงเยว่หัวเราะ อาหารมื้อที่กินไปล่าสุดยังไม่ทันย่อยจนหมดเลย แต่กลับตะกละอยากกินอีกแล้ว!
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ศิษย์พี่สาม ท่านช่วยข้าดูทีว่าผักวิญญาณนี้มีพิษหรือไม่เจ้าคะ”
ในฐานะนักกลั่นโอสถ แน่นอนว่าติงหลิวหลิ่วสามารถบอกได้อย่างง่ายดายว่าพืชมีพิษหรือไม่ หลิงเยว่ที่ยังเป็นแค่ศิษย์รอลงทะเบียนยังไม่ได้เริ่มเรียนรู้สิ่งนี้เท่านั้นเอง
“งดงามนัก”
เมื่อติงหลิวหลิ่วเห็นกะหล่ำดอกโปร่งแสงสีแดง นางก็เช็ดน้ำลายที่มุมปากโดยไม่รู้ตัว ของที่ดูดีถึงเพียงนี้จะต้องอร่อยมากใช่หรือไม่?
นางเอามือกุมกะหล่ำดอกก่อนจะโคจรปราณพฤกษาเข้าไปเพื่อตรวจสอบ
“ปลอดพิษ!”
ทันทีที่หลิงเยว่ได้ยินว่าปลอดพิษ นางก็หักกะหล่ำดอกมาชิ้นเล็กแล้วใส่เข้าปาก สัมผัสกรอบฉ่ำหวานและมีกลิ่นหอมพิเศษที่เหมือนไม่ใช่กะหล่ำดอก
“อร่อยหรือไม่?”
ติงหลิวหลิ่วพลันหักกะหล่ำดอกชิ้นใหญ่แล้วยัดเข้าไปในปากเช่นกัน มันมีรสชาติเหมือนผลไม้วิญญาณแต่กลับมีปราณวายุที่บางเบาแผ่กระจายอยู่ในปากของนาง
ผักวิญญาณนี้มีปราณวายุแฝงอยู่หรือ?
ศิษย์น้องของนางได้มันมาจากที่ใด!?
หลิงเยว่ไม่มีเวลาตอบคำถามของติงหลิวหลิ่ว เนื่องจากกะหล่ำดอกนี้กินได้ปลอดภัย การทำแบบเดียวกันกับสมุนไพรวิญญาณอื่น ๆ ก็น่าจะเป็นไปได้ใช่หรือไม่?
การทำโอสถย่างก้าววายุต้องใช้สมุนไพรวิญญาณยี่สิบสามชนิด รวมทั้งดินวายุแดง
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าปลุกสมุนไพรวิญญาณทั้งยี่สิบสามชนิดนั้นให้เติบโตในดินวายุแดง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะไม่ต้องใช้ส่วนดินวายุแดงเป็นส่วนผสมหลักโดยตรง?
หลิงเยว่ผลักติงหลิวหลิ่วออกจากหอกลั่นโอสถ “ศิษย์พี่สามเจ้าคะ ท่านช่วยไปฝึกฝนที่หอกลั่นโอสถของศิษย์พี่สี่แทนก่อนได้หรือไม่ ข้าจำเป็นต้องปิดด่านศึกษาเจ้าค่ะ!”
ติงหลิวหลิ่วผู้ซึ่งถูกกันไม่ให้เข้าประตูเม้มปากด้วยความคับข้องใจ นางยอมฝึกฝนที่หน้าประตูตรงนี้ดีกว่าต้องไปอยู่ในห้องของศิษย์น้องสี่!
หลิงเยว่ปิดด่านไปห้าวันเต็มและยังมีเวลาเหลืออีกเจ็ดวันก่อนที่ระยะเวลาของภารกิจจะสิ้นสุด
นางไม่คิดเลยว่าการทำให้เมล็ดพันธุ์สมุนไพรวิญญาณเติบโตจะยากกว่าผักวิญญาณ หลิงเยว่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์สมุนไพรวิญญาณจำนวนมากกว่าจะได้สมุนไพรวิญญาณจนเพียงพอ
สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้เติบโตโดยการดูดซับสารอาหารจากดินวายุแดง พวกมันมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย แต่ไม่มากเท่ากับกะหล่ำดอกที่คล้ายดูโปร่งแสงสีแดงอ่อน
นางต้องการสับมันเป็นไส้และใช้มันทำซาลาเปานึ่ง!
ซาลาเปาทำง่ายและกินง่ายเช่นกัน
ทำไส้เป็นแบบมังสวิรัติ แบบเนื้อ และแบบหวานก็พอแล้ว
หลิงเยว่เปิดประตู แสงแดดข้างนอกส่องประกาย ทว่ามีคนหนึ่งที่กำลังนั่งหันหลังให้ประตู หันหน้ากลับมาและมองนางอย่างเสียใจ
หลิงเยว่ปิดด่านอยู่หลายวัน ขณะที่ติงหลิวหลิ่วก็รออยู่ข้างนอกเท่ากับจำนวนวันที่หลิงเยว่ปิดด่าน
ไม่ใช่ว่านางไม่มีที่จะไป แต่นางต้องปกป้องศิษย์น้องห้าของนาง ไม่เช่นนั้นหากคนหายไปจะไปหาได้จากที่ใด?
ว่านอวี้เฟิงซึ่งได้ยินความเคลื่อนไหวข้างห้องก็เดินออกจากหอกลั่นโอสถพร้อมกับชามใบใหญ่ในมือของเขา
หลิงเยว่ “…”
ดูเหมือนว่าศิษย์พี่รองจะชอบเกี๊ยวมากเสียจริง
“ศิษย์น้องห้า โปรดชิมให้ข้าหน่อย”
“ศิษย์น้องห้าอย่ากินมัน!”
ติงหลิวหลิ่วรีบก้าวไปขวางหลิงเยว่ทันทีและมองดูว่านอวี้เฟิงอย่างระแวดระวัง… เกี๊ยวน้ำในมือของเขา
ด้วยความเข้าใจในศิษย์พี่รองของนาง ติงหลิวหลิ่วเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่านักกลั่นโอสถคือนักกลั่นโอสถ แต่ความเก่งกาจด้านการกลั่นโอสถไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถทำอาหารให้อร่อยได้
ในช่วงห้าวันที่ผ่านมา ติงหลิวหลิ่วไม่เพียงถูกศิษย์พี่รองทรมานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าแม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของนางก็ด้วย
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านางเกือบจะคิดตัดลิ้นของตัวเองหลายครั้งแล้วในช่วงห้าวันที่ผ่านมา!
“หลีกทางไป ข้าจะให้ศิษย์น้องห้าชิม ไม่ใช่เจ้า!” ว่านอวี้เฟิงดึงติงหลิวหลิ่วออกไป
ความจริงเด็กสาวเองก็ค่อนข้างหิว เนื่องจากมีเกี๊ยวมายื่นให้ตรงหน้าแล้ว มีหรือจะไม่รับ นางจึงรับชามขึ้นมาจิบน้ำก่อน
จากนั้นค่อยตักเกี๊ยวที่ไม่ได้รูปขึ้นมาอย่างใจเย็น และใส่มันทั้งหมดเข้าปาก ภายใต้การจับจ้องอย่างเห็นอกเห็นใจของติงหลิวหลิ่ว
แป้งห่อเกี๊ยวสีเขียวมีกลิ่นหอมมาก หลังจากกัดเปิดแป้งห่อเกี๊ยวและเคี้ยวไส้ข้างในแล้ว หลิงเยว่ซึ่งแต่เดิมสงบอยู่ก็พลันขมวดคิ้ว!
จะอธิบายรสชาตินี้อย่างไรดี?
มีกลิ่นหอมแต่ก็มีความฝาด รสสัมผัสนุ่มนวลแต่ก็ขม สรุปว่าเป็นรสชาติที่ซับซ้อนนัก
“ศิษย์พี่รอง ท่านไม่ได้จัดการกับรสขมของสมุนไพรวิญญาณก่อนหรือเจ้าคะ?”
ต้องกำจัดรสขมออกด้วยหรือ?
ว่านอวี้เฟิงรู้สึกพ่ายแพ้ เขาเคยเห็นศิษย์น้องห้าทำเกี๊ยวสมุนไพรวิญญาณมาก่อน แต่เขาไม่เห็นนางจัดการกับรสชาติขมของสมุนไพรเลย
“มาให้ข้าสอนนะเจ้าคะ”
หลิงเยว่ดึงว่านอวี้เฟิงเข้าไปในหอกลั่นโอสถหมายเลขสอง และเดินตรงไปที่กองสมุนไพรวิญญาณที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ก่อนที่ท่านจะทำหญ้าวิญญาณทองคำเป็นไส้ ท่านจะต้องลวกมันในน้ำเดือดเพื่อขจัดความฝาด จากนั้นท่านจะต้องเอาหญ้าวิญญาณไปแช่ในน้ำเกลือสักพักเพื่อขจัดความขม…”
“เจ้าพูดช้า ๆ หน่อย ข้าขอเวลาจดบันทึกก่อน”
ว่านอวี้เฟิงรีบหยิบพู่กันและกระดาษออกมาแล้วจดบันทึกอย่างจริงจัง
หลิงเยว่ชะลอความเร็วในการพูดของนาง สอนวิธีต่าง ๆ ในการขจัดความขม ความคาวและความฝาด
สิ่งสำคัญที่สุดคือหากต้องการทำอาหารให้อร่อย ผู้ทำจะต้องชิมส่วนผสมทุกอย่างก่อนเพื่อให้รู้รสชาติของส่วนผสมทั้งหมดอย่างถ่องแท้ จึงจะสามารถรู้วิธีแปรรูปและรู้ว่าส่วนผสมอะไรที่สามารถทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้น สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญนัก…
ปากของหลิงเยว่แห้งขณะพูด และพู่กันของว่านอวี้เฟิงที่เขียนอย่างรวดเร็วก็แทบจะติดประกายไฟ ติงหลิวหลิ่วตกตะลึงเมื่อนางได้ฟัง
นี่ยากเสียยิ่งกว่าการกลั่นโอสถนัก!
ไม่สิ การกลั่นโอสถก็ยากเหมือนกัน แต่มันยากยิ่งกว่าเมื่อต้องเอาสูตรยามาดัดแปลงให้กลายเป็นอาหารที่กินได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ติงหลิวหลิ่วรู้สึกท้อหลังจากได้ยินสิ่งนี้
หลงหว่านโหรวซึ่งถือผลงานอันน่าภาคภูมิใจของนางหยิบกระดาษออกมาอย่างเงียบ ๆ และเริ่มจดบันทึก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ตนจะไม่พอใจกับรสชาติของโอสถงดธัญพืชหลายรสชาติที่ทำ มันเป็นเพราะนางไม่ได้จัดการรสชาติของสมุนไพรวิญญาณก่อนนี่เอง
นับเป็นความท้าทายอย่างมากในการจัดการกับกลิ่นและรสอันไม่พึงประสงค์ของสมุนไพรวิญญาณ โดยยังคงรักษาคุณสมบัติของยาเอาไว้ได้ครบถ้วน
ทว่าหลงหว่านโหรวชอบความท้าทาย!
เมื่อหลิงเยว่พูดจบ เวลาอาหารกลางวันก็ผ่านไปแล้ว แป้งสำหรับทำซาลาเปาน่าจะฟูขึ้นได้ที่แล้ว ถึงเวลาที่นางต้องไปสานงานที่ค้างเอาไว้
ทั้งสามคนไม่ได้สังเกตเห็นหลงหว่านโหรวที่มาและจากไปเลย
ว่านอวี้เฟิงและติงหลิวหลิ่วเป็นเหมือนผู้ติดตามสองคน พวกเขาตามหลิงเยว่ไปทุกที่
“นี่คือ… หญ้าวาโยใช่หรือไม่?”
ตามปกติแล้วหญ้าวาโยมีสีเขียวทั้งต้นโดยไม่มีตำหนิใด แต่หญ้าที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้กลับมีสีแดงเข้ม และปลายใบก็เป็นสีแดงเข้มยิ่งกว่า
รูปร่างมันคือหญ้าวาโย แต่สีกลับไม่ใช่
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ แต่มันเป็นหญ้าวาโยกลายพันธุ์”
หลิงเยว่ไม่ได้ปิดบัง นักกลั่นโอสถบางคนสามารถใช้ปราณพฤกษาของตัวเองเพื่อสร้างพืชได้ ดังนั้นวิชาหมื่นชีวางอกเงยของนางจึงไม่ได้ดูแปลกประหลาด อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในขั้นที่นางใช้อยู่ตอนนี้