บทที่ 35 ดินก็สามารถอร่อยได้!
บทที่ 35 ดินก็สามารถอร่อยได้!
หลังจากฟังคำอธิบายของหลิงเยว่แล้ว ว่านอวี้เฟิงและติงหลิวหลิ่วก็มองหน้ากัน ทั้งคู่มองเห็นความเหลือเชื่อในสายตาของกันและกัน
สมุนไพรวิญญาณแต่ละชนิดย่อมต้องใช้สภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน เป็นไปได้อย่างไรที่สมุนไพรทั้งหมดนี้ถูกปลูกให้โตได้โดยใช้เพียงดินวายุแดง?
สมุนไพรน้ำทั่วไปแทบทั้งหมดจะต้องเติบโตได้ในน้ำเท่านั้น และต้องอาศัยคุณภาพของแหล่งน้ำที่สูงมาก แต่ตอนนี้ศิษย์น้องห้าของพวกเขาบอกว่านางประสบความสำเร็จในการปลูกมันด้วยดินวายุแดง!
นี่ยังเป็นหญ้าวารีอยู่หรือไม่?
ทั้งสองคนตรวจสอบสมุนไพรวิญญาณที่กลายพันธุ์อย่างเงียบ ๆ ซึ่งทั้งหมดมีคุณสมบัติเป็นธาตุวายุทั้งหมด
“ศิษย์น้องห้า เจ้าต้องการใช้พวกมันเพื่อทำอาหารที่ให้ผลเช่นเดียวกับโอสถย่างก้าววายุใช่หรือไม่?”
ว่านอวี้เฟิงวางสมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์ในมือของเขาลง พลางตรวจดูไปรอบ ๆ และเมื่อไม่เห็นดินวายุแดง เขาก็เบนสายตากลับมาจับจ้องที่สมุนไพรวิญญาณที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับดินวายุแดง
“ใช่เจ้าค่ะ”
หลิงเยว่ที่กำลังนวดแป้งไม่ได้สังเกตว่าสีหน้าของศิษย์พี่ทั้งสองของนางเปลี่ยนไปเพราะได้เห็นสมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์
“ดินวายุแดงกินไม่ได้ ข้าก็เลยคิดวิธีแก้นี้ขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่ามันจะได้ผลจริงหรือไม่ ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สาม พวกท่านคิดว่ามันจะได้ผลหรือไม่เจ้าคะ?”
หลิงเยว่ที่หันหน้าไปถาม ในที่สุดก็สังเกตเห็นสีหน้าที่ไม่ปกติอย่างรุนแรงของคนทั้งสอง
“ศิษย์น้องห้า จากนี้ไป… อย่าเปิดเผยให้ใครรู้ว่าเจ้าสามารถให้กำเนิดสมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์ได้” ติงหลิวหลิ่วจับข้อมือของหลิงเยว่ด้วยสีหน้าจริงจังที่หาได้ยาก
“อย่างน้อยก็จนกว่าเจ้าจะสามารถปกป้องตัวเองได้จริง ๆ”
หลิงเยว่ไม่เข้าใจ แต่เมื่อมองดูการแสดงออกที่จริงจังของทั้งสองคน นางก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
การทำให้สมุนไพรวิญญาณกลายพันธุ์ เป็นคุณสมบัติที่น่าตกตะลึงเกินไป กระทั่งตอนนี้ว่านอวี้เฟิงและติงหลิวหลิ่วยังไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำ
ไม่… พวกเขาต้องไปตามหาศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขาแล้ว!
ว่านอวี้เฟิงที่เพิ่งหันกลับก็ต้องตกใจกับการปรากฏตัวของหลงหว่านโหรว
ศิษย์พี่ใหญ่มายืนอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด?
หลงหว่านโหรวได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสามคน
นางหยิบหญ้าวารีเข้าปากโดยไม่แสดงอาการใด และเคี้ยวมันอย่างระมัดระวัง รสสัมผัสขมแต่ปลายหวานและมีสัมผัสเหนียวหนึบ หญ้าวารีกลายพันธุ์ไม่เพียงยังคงรักษาคุณลักษณะและคุณสมบัติทางยาของตัวมันเองเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติของดินวายุแดงอีกด้วย…
หลังจากกลืนมันลงไป นางก็หยิบสมุนไพรวิญญาณขึ้นมาอีกต้นหนึ่งแล้วชิมมัน ทีละต้น…
หลิงเยว่ที่อยู่ด้านข้างตกตะลึง ศิษย์พี่ใหญ่สามารถกินสมุนไพรวิญญาณที่ยังไม่แปรรูปเหล่านี้โดยไม่แสดงอาการทางสีหน้าเลยได้อย่างไร
บางชนิดพอกินได้ แต่บางชนิดก็มีรสขมมากและมีกลิ่นเหม็นเขียวไม่มากก็น้อย หรือไม่สมุนไพรวิญญาณบางชนิดก็มีกลิ่นแปลกเฉพาะตัว…
หลังจากชิมสมุนไพรวิญญาณทั้งยี่สิบสามชนิดแล้ว หลงหว่านโหรวก็รู้สึกชาไปทั้งตัว
“ศิษย์พี่ใหญ่ เอานี่…”
ติงหลิวหลิ่วยื่นอมยิ้มสีรุ้งให้กับหลงหว่านโหรวอย่างจริงจัง การกินเช่นนี้มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขาเท่านั้นที่กล้าพอจะทำ
ทันทีที่อมยิ้มเข้าปาก หลงหว่านโหรวก็รู้สึกดีขึ้น การกินสมุนไพรวิญญาณดิบเป็นเรื่องยากจริง ๆ
หลิงเยว่ซึ่งเข้าใจแล้วว่าวิชาหมื่นชีวางอกเงยของนางแตกต่างออกไป จึงตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ แต่นางจำเป็นต้องทำภารกิจให้สำเร็จ
หลงหว่านโหรวที่เห็นความลังเลของหลิงเยว่ตบแขนศิษย์น้องห้าของนางอย่างปลอบโยน “ทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการเถิด”
“มันจะดีหรือเจ้าคะ ศิษย์พี่ใหญ่?” หลิงเยว่พูดอย่างไม่แน่ใจ
“ไม่เป็นไรหรอก ดินก็อร่อยได้เช่นกันไม่ใช่หรือ?”
ศิษย์พี่ใหญ่กำลังสอนนางให้เปลี่ยนแนวคิดหรือไม่?
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!”
หลิงเยว่ยิ้มและพยักหน้า นางไม่ใช่แค่ต้องพยายามหลอกคนอื่นหรอกหรือ? ตอนนี้นางสามารถทำได้แล้ว!
ข้าจะใช้โม่จวินเจ๋อเพื่อทำการทดลองในภายหลัง!
“ศิษย์พี่ทุกท่าน ข้าจะสอนวิธีทำซาลาเปาให้นะเจ้าคะ!”
จากนั้นอัจฉริยะนักกลั่นโอสถทั้งสามจึงเริ่มเรียนรู้วิธีทำซาลาเปาอย่างงุ่มง่าม โม่จวินเจ๋อที่เพิ่งก้าวเข้ามาในหอกลั่นโอสถก็ถูกหลิงเยว่รั้งเอาไว้
โม่จวินเจ๋อ “…”
เขารู้ว่าตัวเองจะมาสายเท่าใดก็ได้ แต่ทุกครั้งที่ได้ยินหลิงเยว่เรียกมาว่ามีอาหารอร่อย เขาก็ควบคุมร่างกายของตัวเองไม่ได้และรีบมาโดยไม่รอช้า
เขากลายเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไร?
ในขณะที่โม่จวินเจ๋อกำลังคิดทบทวนตัวเอง เขาก็ทำตัวเหมือนเป็นเครื่องจักรที่ไร้อารมณ์และปล่อยให้หลิงเยว่ยัดก้อนแป้งดิบใส่มือ
การได้เห็นก้อนแป้งดิบที่มีสีสันสวยงามอยู่ในมือ มันทำให้สีหน้าของเขาอ่อนลงทันที
“ท่านลองดูสิเจ้าคะ”
หลิงเยว่ปล่อยมือและปล่อยให้โม่จวินเจ๋อลองทำซาลาเปาด้วยตัวเอง
เมื่อครู่นางเพิ่งสอนหลงหว่านโหรวและอีกสองคน พวกเขาเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ โม่จวินเจ๋อคงไม่ทำให้นางผิดหวังเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้ว อัจฉริยะของสำนักก็มีความสามารถในการเรียนรู้ที่เหนือกว่าคนทั่วไป!
เมื่อไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหลิงเยว่ โม่จวินเจ๋อก็มองดูก้อนซาลาเปาที่น่าเกลียดในมือของเขาและเปรียบเทียบกับซาลาเปาที่คนอื่น ๆ เพิ่งทำ ความแตกต่างนั้นชัดเจนเกินไป
เขาแอบเก็บความพยายามที่ล้มเหลวเข้าไปในแหวนมิติเพื่อ ‘ทำลายร่องรอย’ จากนั้นแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนหยิบแป้งดิบอีกก้อนหนึ่งขึ้นมา คราวนี้เขาสังเกตดูว่านอวี้เฟิงที่กำลังทำซาลาเปาอย่างจริงจังอย่างใกล้ชิด
อ้อ! ข้าเข้าใจแล้ว!
แต่แม้สมองจะเรียนรู้วิธีการแล้ว แต่มือของเขากลับ…
“ข้าแกล้งทำเป็นไม่เห็นก็ได้”
หลงหว่านโหรวหยุดโม่จวินเจ๋อที่ต้องการทำลายหลักฐานอีกครั้ง
โม่จวินเจ๋อสบตาทั้งสี่พร้อมกัน “…”
“ฮ่า ๆ ๆ ช่างโง่เง่าเสียจริง แค่ทำซาลาเปายังไม่สำเร็จเลย” ติงหลิวหลิ่วยังคงจำความแค้นที่ถูกทุบตีได้ และเมื่อเห็นโอกาสที่จะได้หัวเราะเยาะศัตรู นางก็ทำมันอย่างเต็มที่
“ไม่สำคัญว่าท่านจะทำพลาดไปสักกี่ก้อน เพียงเปลี่ยนอันใหม่มาลองทำดูก็พอเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่มีความอดทนต่อโม่จวินเจ๋อมาก หลังจากที่วางซาลาเปาที่นางเพิ่งปั้นเสร็จไว้บนหม้อนึ่งใบใหญ่แล้ว นางก็หันกลับมาและสอนเขาอย่างอดทนอีกครั้ง
คราวนี้โม่จวินเจ๋อตั้งใจมากกว่าเดิมและจดขั้นตอนต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง หลิงเยว่สอนเขาไปครึ่งทางแล้วปล่อยให้เขาทำเอง
ในที่สุดแป้งที่ถูกปั้นอย่างสวยงามก็อยู่บนฝ่ามือของเขา โม่จวินเจ๋อเม้มริมฝีปากแล้วยิ้ม
ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่ แต่ซาลาเปาที่ปั้นอย่างสมบูรณ์เช่นนี้ถูกเอาไปวางไว้ตรงหน้าติงหลิวหลิ่ว
เขากำลังยั่วยุอีกฝ่าย!
ความคิดคาดเดาของติงหลิวหลิ่วไม่ผิด โม่จวินเจ๋อกำลังยั่วยุนางจริง ๆ
“ทำอย่างกับเด็ก…” ว่านอวี้เฟิงพึมพำเบา ๆ
ซาลาเปาในหม้อนึ่งเริ่มส่งกลิ่นหอมของกลิ่นแป้งข้าวสาลีและสมุนไพรวิญญาณ
หลิงเยว่เทนมถั่วเหลืองต้มสุกหนึ่งแก้วให้คนทำซาลาเปาทั้งสี่
จากนั้นนางก็หยิบแก้วของตัวเองขึ้นมาให้โม่จวินเจ๋อ “เติมน้ำแข็งให้ข้าหน่อยเจ้าค่ะ”
โม่จวินเจ๋อ “…”
“ใส่น้ำแข็งอร่อยกว่าหรือ?”
ติงหลิวหลิ่วซึ่งจิบนมถั่วเหลืองไปแล้วรู้สึกอบอุ่นขึ้น เครื่องดื่มที่มีรสถั่วนี้ช่างอร่อยเสียจริง
รสชาติไม่เลวเลยเมื่อเทียบกับชานมสมุนไพรวิญญาณหลากรสชาติ!
“ช่วยเติมน้ำแข็งให้ข้าด้วย!”
จากนั้นคนทั้งหมดก็ยกแก้วไปทางโม่จวินเจ๋อ
‘เครื่องทำน้ำแข็ง’ พลันรู้สึกหดหู่ใจ…
แต่ถึงแม้จะหดหู่เขาก็ยังเติมน้ำแข็งให้ทุกคน
“ว้าว! ตอนมันร้อนว่าอร่อยแล้วนะ แต่ตอนเย็นกลับดูเหมือนจะอร่อยกว่า?” ว่านอวี้เฟิงเม้มริมฝีปาก
หลิงเยว่ที่จับเวลาอยู่ตลอดในที่สุดก็เอาซาลาเปาออกจากหม้อนึ่งมาวางลงบนโต๊ะ อาหารเย็นวันนี้… ช่างเรียบง่ายนัก มีเพียงซาลาเปาและนมถั่วเหลืองเท่านั้น
ทว่าไส้ซาลาเปามีทั้งหมดหกแบบ เช่น มังสวิรัติสองลูก เนื้อสองลูก และไส้หวานอีกสองลูก ทั้งหมดค่อนข้างครบรสชาติใช่หรือไม่?
หลิงเยว่ไม่ลืมถามโม่จวินเจ๋อว่าเขาต้องการไส้อะไรบ้าง ก่อนจะวางซาลาเปาให้เขาอย่างขยันขันแข็งและเร่งเร้าให้อีกฝ่ายรีบกินมัน
คนอื่น ๆ ไม่ขยับและจ้องมองไปที่โม่จวินเจ๋ออย่างเงียบ ๆ
โม่จวินเจ๋อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว! คนเหล่านี้กำลังหลอกเขาให้ทดสอบอะไรบางอย่างใช่หรือไม่?
ตามหลักการที่ว่าถ้าศัตรูไม่เคลื่อนไหว ข้าก็จะไม่เคลื่อนไหว โม่จวินเจ๋อจึงรั้งตัวเองไว้ไม่ให้กินซาลาเปา
หลิงเยว่ยิ้มค้าง “ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่สาม ทำไมพวกท่านไม่กินด้วยเล่าเจ้าคะ?”
ทำไมสามคนนี้ถึงยังไม่กินอีก หรือเป็นเพราะว่าพวกเขารู้ว่ามีดินวายุแดงอยู่ในไส้ซาลาเปาก็เลยไม่กล้ากินก่อนใช่หรือไม่?
หลงหว่านโหรวหยิบซาลาเปาไส้มังสวิรัติขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ แล้วกัด ผิวแป้งด้านนอกอ่อนนุ่มและไส้มีกลิ่นหอมฟุ้ง… หลังจากกลืนลงไปแล้ว ปราณธาตุวายุอันอ่อนโยนก็ไหลเวียนอยู่ในตันเถียนของนาง ทำให้นางรู้สึกมีความคิดอยากจะลอยขึ้นไปเต้นรำกลางสายลมอยู่ครู่หนึ่ง!