บทที่ 45 คนที่น่าสังเวชที่สุดในมิติลับทั้งหมด
บทที่ 45 คนที่น่าสังเวชที่สุดในมิติลับทั้งหมด
หลิงเยว่ที่วิ่งมาเป็นเวลานานก็ถูกตามทันในที่สุด
“วิ่งอีกสิ ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะวิ่งไปได้อีกสักกี่น้ำ!” ผู่ตานยืนอยู่ตรงหน้าหลิงเยว่อย่างโกรธเกรี้ยว
“ศิษย์พี่สี่ ท่านไม่พอใจดอกไม้ที่ข้าปลูกให้หรือเจ้าคะ?”
หลิงเยว่ไม่รู้ว่าชายที่อยู่ตรงหน้านางคือศิษย์พี่สี่หรือไม่ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายอ้างตัวเป็นเช่นนั้นก็ช่างมันก่อนเถิด การเอาตัวรอดตอนนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
“แน่นอนว่าข้าไม่พอใจ!”
คนสุดท้ายที่กล้าล้อเลียนเขาเช่นนี้ได้กลายเป็นผีไปแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่กล่องอาหาร เขาคงเผาศิษย์น้องคนนี้จนเป็นเถ้าถ่านแล้ว!
ผู่ตานยิ่งโกรธมากกว่าเดิมเมื่อนึกถึงว่า อาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่ได้เห็นฉากที่เขามีดอกไม้ต้นไม้งอกอยู่บนหัว
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ข้าต้องสอนบทเรียนให้นาง! ในฐานะศิษย์พี่ข้าไม่สามารถถูกศิษย์น้องดูหมิ่นเช่นนี้ได้!
หลิงเยว่อยากจะแข็งแกร่ง จะได้ทำตัวเหมือนศิษย์พี่ใหญ่ที่ไร้ความปรานีและเงียบขรึม แต่ระดับการบำเพ็ญของนางไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงสวมบทเป็นเด็กสาวโง่เขลาคนหนึ่ง ได้แต่กอดต้นขาของผู่ตานก่อนที่เขาจะลงมือ
“ในที่สุดข้าก็ได้พบศิษย์พี่สี่แล้ว ท่านไม่รู้หรอกว่าข้าต้องเผชิญกับความยากลำบากมาเพียงใด…”
การร้องไห้เสียงดังไม่ได้ขัดหลิงเยว่จากการบอกเล่าความทุกข์ทรมานของนาง
นางมองผู่ตานจากหางตาก็พบว่าอีกฝ่ายรับฟังด้วยสีหน้าเย็นชา ทว่าน้ำตาของเด็กสาวก็ยังหยดแหมะ ๆ อย่างไม่เสียดาย
ทำไมน้ำตาถึงไหลออกมาได้อย่างใจนึก?
ยังต้องถามอีกหรือ มันเป็นเพราะนางกลัวว่าจะโดนทุบตีอย่างไรเล่า!
ยิ่งไปกว่านั้นเด็กสาวต้องเผชิญกับความทุกข์ยากมาจริง ๆ หลังจากเข้าสู่มิติลับ นางก็เดินเข้าไปในแดนมายา แล้วก็เข้าไปสู่ค่ายกลลวงตาอีกรอบในเวลาเพียงห้าวัน
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ดีว่านางกลัวเพียงใด เมื่อตอนที่ต้องเดินเข้าสู่ค่ายกลลวงตาอีกรอบก่อนหน้านี้
เมื่อคิดถึงฉากทุกข์ยากที่เผชิญมาทั้งหลายหลิงเยว่ก็ร้องไห้อย่างสัตย์จริงมากขึ้น พลางโอดครวญว่าตัวเองเป็นคนที่น่าสังเวชที่สุดในมิติลับทั้งหมด
แต่เรื่องที่ชวนน้ำตาไหลนี้มันกลับทำให้ผู้ที่กำลังฟังอยู่หัวเราะจริง ๆ
เสียงหัวเราะของผู่ตานค่อนข้างสาแก่ใจ ในความรู้สึกของหลิงเยว่
ข้าทุกข์มากถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้ายังยิ้มสุขใจได้อยู่อีก เจ้ามันคนไม่มีหัวใจ!
ชายคนนี้ต้องเป็นศิษย์พี่สี่ตัวปลอมแน่นอน!
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผู่ตานที่ตอนแรกอารมณ์เสีย กลับร่าเริงขึ้นมาอีกครั้งหลังจากได้ยินประสบการณ์ที่โชคร้ายของหลิงเยว่
ยิ่งนางพูดอย่างเศร้าหมองมากเท่าใด เขาก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น และรอยยิ้มของเขาก็แทบจะฉีกถึงใบหู
“น่าสงสาร”
กรุณาหยุดหัวเราะอย่างสะใจก่อนจะพูดว่าข้าน่าสงสารได้หรือไม่?
หลิงเยว่เช็ดน้ำตาและหุบปาก แน่นอนว่า ความสุขของคนคนหนึ่งนั้นขึ้นอยู่กับความเจ็บปวดของคนคนหนึ่ง
โดยเฉพาะของนาง
“ศิษย์พี่สี่ ทำไมท่านถึงปรากฏตัวในมิติลับของขอบเขตกลั่นลมปราณเล่าเจ้าคะ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของผู่ตานหายไปทันที
เขาจะบอกคนโง่ตัวน้อยนี้ได้อย่างไรว่าเขาถดถอยในการฝึกฝน และถูกบังคับให้มาที่นี่
“อาจารย์ไม่ไว้ใจเจ้า ดังนั้นนางจึงขอให้ข้าซึ่งเป็น ‘ศิษย์คนที่สี่ที่ดีที่สุด’ ลดระดับการบำเพ็ญเพื่อมาปกป้องเจ้า”
เฮอะ!
ใครเชื่อก็โง่แล้ว!
แน่นอนว่าหลิงเยว่ซึ่งเชื่อว่าตัวเองไม่ใช่คนโง่จริง ๆ ย่อมไม่เชื่อ แต่ด้วยการเสแสร้งทำเป็นเชื่อของนางมันทำให้ชายตรงหน้าละทิ้ง ‘เจตนาฆ่า’ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
“ไปกันเถิด”
ไปที่ใด?
ในใจหลิงเยว่รู้สึกไม่เต็มใจอย่างยิ่ง
“เลิกพูดจาไร้สาระเสีย!”
ดวงตาของผู่ตานดุร้ายมากจนหลิงเยว่ตกใจ จึงรีบตามเขาไปทันที
“ศิษย์พี่สี่ท่านจะพาข้าไปที่ใด ข้ายั่วยุผู้คนเอาไว้มากมาย จะทำให้ท่านเดือดร้อนจริง ๆ นะเจ้าคะ”
หลิงเยว่รู้สึกว่านางยังคงสามารถทำให้เขาใจเย็นลงได้มากกว่านี้อีกสักหน่อย ดังนั้นนางจึงพยายามพูดคุยกับเขาต่อไป
และสิ่งที่นางพูดเป็นเรื่องจริง
“นังตัวเหม็น เจ้ามาแอบอยู่ที่นี่หรือ!”
พูดถึงปัญหาก็มาเลยจริง ๆ
ชายในชุดสีน้ำเงินวิ่งเข้ามาหาราวกับสุนัขบ้า
ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญชุดสีน้ำเงินคนล่าสุด แต่เป็น… ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินที่นางเจอในแดนมายาแรก
เขาออกมาได้โดยไม่คาดคิด
ปฏิกิริยาแรกของหลิงเยว่คือการวิ่งหนี
“วิ่งหนีด้วยเหตุอันใดกัน?”
ผู่ตานไม่ชอบวิธีวิ่งหนีขี้ขลาดของหลิงเยว่เป็นพิเศษ นางควรเรียนรู้วิธีแบบของเขาที่ทุบตีทุกคนที่ขวางหน้าใช่หรือไม่?
หลิงเยว่ถูกคว้าคอเสื้ออีกครั้ง “…”
ใช่ ตอนนี้นางมีศิษย์พี่จอมปลอมอยู่ด้วยแล้ว เหตุใดนางต้องกลัวอีกฝ่ายด้วย!
เมื่อผู้บำเพ็ญชุดน้ำเงินเห็นหลิงเยว่ที่กำลังจะวิ่งถูกหยุดไว้ ก้าวเท้าของเขาก็หยุดเช่นกัน แต่เมื่อเห็นชายอีกคนในชุดสีแดง เขาก็หันหลังกลับโดยไม่ลังเล
นี่มันคนบ้าแห่งยอดเขาโอสถที่ไม่ว่าใครยุ่งเกี่ยวด้วยล้วนต้องโชคร้ายทั้งหมดนี่!
ฮ่า… นังเด็กนี่ต่อให้เขาไม่ลงมือเองมันก็จะต้องเผชิญกับโชคร้ายสุด ๆ อยู่แล้ว
ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินผู้มีความสุขวิ่งเร็วมาก แต่เหตุใดทิวทัศน์โดยรอบถึงหยุดนิ่งกันเล่า?
“เจ้าไม่ได้กำลังตามหาศิษย์น้องของข้าหรือ?”
ผู่ตานคว้าคอเสื้อคนทั้งสองด้วยมือคนละข้างแล้วยื่นหลิงเยว่ทางมือซ้ายให้ชายหนุ่มชุดน้ำเงิน “นี่”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหันไปสนใจผู่ตานที่กำลังรอดูฉากสนุกอยู่
“ศิษย์พี่สี่ โปรดวางข้าลงเถิดเจ้าค่ะ”
หลิงเยว่ไม่เคยถูกอุ้มมาก่อนตั้งแต่ที่นางโตขึ้น ทว่าตอนนี้กลับถูกอุ้มวันละสองครั้งก็พลันรู้สึกแย่ขึ้นมา ร่างกายของนางสูงเพียงสามฉื่อเศษเท่านั้น สำหรับเด็กอายุสิบสามปี ถือเป็นเรื่องปกติโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่สิ! ไม่ใช่ว่านางเตี้ยกว่าผู่ตานเพียงหัวครึ่งหรอกหรือ?
นางเองก็ไม่ชอบเสียหน้าใช่หรือไม่?
ผู่ตานปล่อยหลิงเยว่โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า โชคดีที่นางเตรียมพร้อมอยู่แล้วจึงไม่สร้างความอับอายให้ตัวเอง
“เจ้าต้องการอะไรจากข้า?”
หลิงเยว่ซึ่งจัดคอเสื้อให้เรียบร้อยแล้วยืนอย่างภาคภูมิใจต่อหน้าชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงิน แม้ว่านางจะเตี้ยกว่าอีกฝ่าย แต่ก็เชิดคางขึ้นสูงจนแทบจะเหมือนใช้รูจมูกของนางเพื่อมองดูเขา
เจียงจือเชียนกลอกตาและแสดงความรังเกียจ
“ข้าอยากจะเล่นกับเจ้าสักหน่อย!”
“เหมือนในแดนมายาน่ะหรือ?”
หลิงเยว่สวมใบหน้าเด็กน่ารักที่ยังไม่รู้จักโต และยิ้มอย่างทะเล้นจนชายหนุ่มทั้งสองทนมองไม่ได้
ผู่ตานลงมือตีหัวหลิงเยว่ “อย่ายิ้มเช่นนั้น มันน่ารังเกียจ!”
หลิงเยว่ “…”
ทันใดนั้นนางก็คิดถึงศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง และศิษย์พี่สาม ไม่มีใครเคยตีนางเลยแม้แต่น้อย!
“โครก…”
ชายหนุ่มทั้งสองขยับสายตาไปที่ท้องของหลิงเยว่พร้อมกัน
“ข้าหิว…”
หลิงเยว่ลังเลที่จะกินอาหารพิเศษสองร้อยสี่สิบแปดชุดที่ทำมาเพื่อขาย และยิ่งไม่เต็มใจที่จะกินซาลาเปาย่างก้าววายุซึ่งมีไว้เพื่อหลบหนีเท่านั้น
“ศิษย์พี่สี่ ข้าย่างปลาได้หรือไม่เจ้าคะ?” หลิงเยว่ที่กำลังนั่งยอง ๆ ลูบท้องของนาง เงยหน้าขึ้นแล้วถามอย่างน่าสงสาร
“ศิษย์พี่หญิงทั้งสามคนของเจ้าไม่ได้ให้โอสถปี้กู่*[1] แก่เจ้ามาหรือ?”
ว่านอวี้เฟิงนับเป็นศิษย์พี่หญิงด้วยหรือ?
“ให้มาแล้ว แต่ข้าไม่อยากกินโอสถปี้กู่ ข้าอยากกินอาหารเจ้าค่ะ”
ผู่ตานพ่นลมหายใจก่อนจะโยนเจียงจือเชียนออกไปแล้วปัดมือ แต่เนื่องจากเขายังรู้สึกว่านั่นไม่เพียงพอ จึงควักผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมือซ้ำแล้วซ้ำอีก ราวกับเพิ่งจับสิ่งสกปรกมา
เจียงจือเชียนที่ต้องการวิ่งหนีรู้สึกโกรธในใจ แต่ในที่สุดก็อดกลั้นไว้
ศิษย์พี่น้องสองคนนี้คนหนึ่งเป็นคนวิกลจริต และอีกคนก็รู้วิชาชั่วร้าย เขาไม่สามารถเอาชนะคนทั้งสองนี้ได้จริง ๆ
หลิงเยว่ไม่สนใจเจียงจือเชียนและปล่อยไฟจากแก่นปราณเพื่อจุดไฟบนพื้นดิน จากนั้นนางก็เอาชิ้นปลาที่หมักแล้วย่างไฟ เด็กสาวไม่จำเป็นต้องพลิกชิ้นปลาด้วยมือของนางด้วยซ้ำ ด้วยความคิด เปลวไฟจะพลิกชิ้นปลาอย่างรู้ใจ ช่างสะดวกเหลือเกิน!
นางหยิบชานมออกมาหนึ่งแก้วและกำลังจะดื่มมัน ทว่าการจ้องมองจากด้านข้างรุนแรงเสียจนหลิงเยว่เหลือบมองผู่ตานที่กำลังมองนางอยู่ เด็กสาวจึงยื่นชานมให้ผู่ตานอย่างประจบประแจง
“ศิษย์พี่หิวน้ำหรือไม่เจ้าคะ?”
“เฮอะ! เจ้าคนขี้ประจบ”
ผู่ตานคว้าแก้วไม้ไผ่ไป เหลือบมองของเหลวสีม่วงอ่อน หลังจากแน่ใจว่ามันไม่มีพิษแล้วจึงยกขึ้นจิบ
หืม?
ชานี้ช่างอร่อยเสียจริง
คู่ศิษย์พี่และศิษย์น้องต่างก็ดื่มกันอย่างมีความสุข เจียงจือเชียนชายหนุ่มที่อยากรู้อยากเห็นมองดูมันครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่มีเจตนาจะจากไปเลย โดยเฉพาะกลิ่นของปลาย่างยิ่งกระตุ้นน้ำย่อยของเขา ท้องที่ไม่มีวี่แววว่าจะหิวก่อนหน้านี้กลับดูเหมือนจะหิวขึ้นมาเสียแล้ว
[1] โอสถปี้กู่ (辟谷丹) ยาที่ทำให้ผู้บำเพ็ญหลีกเลี่ยงการกินธัญพืชทั้งห้าชนิด ได้แก่ ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และถั่ว (ผู้ที่กินยานี้จะงดเว้นอาหาร และดื่มน้ำได้อย่างเดียว)