ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 51 หลิงเยว่ที่เอาแต่ทำเรื่องน่าตะลึง

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 51 หลิงเยว่ที่เอาแต่ทำเรื่องน่าตะลึง

บทที่ 51 หลิงเยว่ที่เอาแต่ทำเรื่องน่าตะลึง

เหตุใดให้แค่อาวุธวิญญาณแต่ไม่ให้คู่มือการใช้งานมาด้วยเล่า?

หลิงเยว่บ่นในใจ และกำลังจะหยิบอาวุธวิญญาณออกมาเพื่อศึกษาแต่ก็ต้องหยุดอีกครั้ง

ตอนนี้อันธพาลสามคนนั่งยอง ๆ ล้อมเด็กสาวจากทั้งสามทิศทาง หากนางเปิดเผยความมั่งคั่งอีก สามคนนี้คงจะลงมืออย่างสุดกำลังแน่นอน ซึ่งนางไม่รู้ว่าแผ่นค่ายกลป้องกันจะต้านได้นานเท่าใด แต่ถ้ายื้อไปเช่นนี้โดยไม่มีใครทำอะไร แผ่นค่ายกลป้องกันระดับต่ำจะสามารถอยู่ได้ประมาณสองชั่วยาม

ท่าทีของอีกฝ่ายดูแล้วคงยังไม่โจมตีเร็ว ๆ นี้

“ข้าแนะนำให้เจ้าออกมา แผ่นค่ายกลป้องกันนี้ไม่เพียงพอหรอก…”

ผู้บำเพ็ญมือหมูเค็ม*[1] พูดพลางแตะท่าพลังโปร่งใสด้วยมือเดียว แสงสีฟ้าธาตุวารีพลันแพร่กระจายอย่างรวดเร็วล้อมรอบทั้งแผ่นค่ายกลป้องกัน

“แตกไปซะ!”

การแสดงออกอย่างมั่นใจในสายตาของทั้งสามคนทำให้หลิงเยว่หวาดกลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากคำว่า ‘แตก’ ถูกพูดออกมา ทำให้ม่านพลังสั่นอย่างรุนแรงและเกิดความรู้สึกว่าเป็นไปได้ที่มันจะพังทลาย

เป็นไปได้หรือไม่ว่าแผ่นค่ายกลที่โม่จวินเจ๋อให้นางมานั้นเป็นของปลอม?

ม่านพลังป้องกันสั่นครู่หนึ่งแล้วค่อย ๆ หยุด มวลพลังสีฟ้าควบแน่นเป็นน้ำแข็งก่อนจะระเบิดเป็นหมอกน้ำพร้อมเสียงดังโครม

ทั้งสามคนที่กำลังรอให้ค่ายกลพังทลายก่อนจะเข้าไปจับกุมคน “…”

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ!”

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของหลิงเยว่ทำให้ทั้งสามคนโกรธ

“เราสามคนร่วมมือกัน!”

พวกเขาทั้งสามยืนอยู่ในทิศทางที่แตกต่างกำลังร่ายคาถาในเวลาเดียวกัน แสงทั้งสามสีได้แก่ สีน้ำเงิน สีทอง และสีน้ำตาลโจมตีจุดเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง

คราวนี้ค่ายกลป้องกันไม่สั่นไหวรุนแรงดังครั้งที่แล้ว ดูเหมือนว่ามันเตรียมพร้อมแล้ว และสั่นเพียงเล็กน้อยก่อนจะสงบลง

“ค่ายกลป้องกันของปรมาจารย์ค่ายกลขอบเขตสร้างรากฐาน!”

นี่มันโกงกันชัด ๆ!

ใบหน้าของทั้งสามคนพลันมืดหม่น พวกเขาโกรธมากจนควันแทบออกหู ทว่าผู้บำเพ็ญขั้นเก้าที่เป็นผู้นำกลุ่มเองก็โกรธมากเสียจนแววตาแสดงความโลภออกมามากขึ้น

พวกเขาไม่รู้ว่าภูมิหลังของเด็กสาวคืออะไร แต่นางถึงขนาดมีแผ่นค่ายกลป้องกันของปรมาจารย์ค่ายกลขอบเขตสร้างรากฐาน สมบัติที่อยู่ในตัวนางอาจมีมูลค่ามากกว่าที่พวกเขาคิด!

ไม่น่าแปลกใจเลยที่นางจะไม่เต็มใจมอบถุงเก็บของให้

อีกสองคนก็ไม่โง่เช่นกัน หลังจากคิดเล็กน้อย พวกเขาก็ตระหนักว่าหลิงเยว่เป็นเหยื่อชั้นดี

ดวงตาที่ละโมบทั้งสามมองหลิงเยว่อย่างไม่พอใจมากขึ้น ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่มีทางหลุดพ้นได้ในขณะนี้ ดังนั้น… เรามาทำอย่างอื่นก่อนเถิด ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาคงยังไม่สามารถทำลายค่ายกลป้องกันได้สักพัก

ดวงตาที่ฉายความละโมบค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นไม่อยากจะเชื่อเมื่อเห็นการกระทำของหลิงเยว่

สาวน้อยคนนี้จะทำอะไร?

หลิงเยว่หยิบเครื่องครัวและวัตถุดิบออกมา ทั้งการหลบหนีและการต่อสู้ก่อนหน้านี้ล้วนใช้พลังกายและปราณไปมาก ดังนั้นนางจึงต้องฟื้นฟูพวกมันก่อนในขณะที่ยังปลอดภัย

เปลวไฟที่รุนแรงละลายน้ำแกงแช่แข็งในหม้อขนาดเล็ก เมื่อน้ำเริ่มเดือดกลิ่นหอมเผ็ดก็ลอยออกจากค่ายกลป้องกันไปด้านนอก

ผู้บำเพ็ญทั้งสาม “…”

นางกำลังทำอาหารกินอยู่ข้างใน!

หลิงเยว่เริ่มหั่นเนื้อ ล้างผักวิญญาณด้วยน้ำจากแก่นปราณวารี จากนั้นนางก็ทำน้ำจิ้มด้วยสมุนไพรวิญญาณ

หลิงเยว่ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นพลันหยิบชิ้นเนื้อขึ้นมาอย่างมีความสุข แล้วจุ่มลงในหม้อน้ำแกงที่เดือดจนเนื้อเปลี่ยนสี จากนั้นจึงจุ่มลงในน้ำจิ้มแล้วกินเข้าไปเต็มคำ

นางพอใจมาก!

เมื่อมองดูสีหน้าตกตะลึงของทั้งสามคนที่อยู่ข้างนอก หลิงเยว่ก็รู้สึกว่าหม้อไฟวันนี้อร่อยยิ่งขึ้นไปอีก

หากไม่ใช่ว่าหลิงเยว่ไม่มีเวลาพอ นางคงอยากลองเนื้อสัตว์อสูรในถุงเก็บของ บางทีมันอาจจะอร่อยกว่าหมูหั่นบางในปากก็เป็นได้?

การเคลื่อนไหวที่ราวกับไม่รู้ร้อนรู้หนาวของหลิงเยว่ไม่เพียงดึงดูดสายตาของผู้บำเพ็ญทั้งสามคนเท่านั้น แต่ยังดึงดูดสายตาของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักที่เฝ้าดูอยู่จากคันฉ่องสวรรค์อีกด้วย

ขณะที่ทุกคนคิดว่าการรับประทานอาหารในขณะที่ติดกับดักของหลิงเยว่มันน่าเหลือเชื่อแล้ว ทว่าพวกเขาก็ได้เห็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่า นั่นก็คือหลังจากที่หลิงเยว่กินดื่มจนพอใจและทำความสะอาดเสร็จสิ้นแล้ว นางก็หยิบเครื่องนอนออกมาแล้วนอนลง

นางกำลังจะนอนหลับ!

ท่ามกลางวงล้อม!

นี่เป็นการดูหมิ่นผู้บำเพ็ญทั้งสามผู้แข็งแกร่งกว่าที่กำลังล้อมนางอยู่อย่างสุด ๆ!

ผู้คนที่ดูผ่านคันฉ่องสวรรค์หัวเราะเสียงดัง ในขณะที่สามคนที่ล้อมรอบหลิงเยว่โกรธจัดจนแทบคลั่ง นี่เป็นการดูถูกกันอยู่ชัด ๆ!

คนทั้งสามโจมตีค่ายกลป้องกันอย่างต่อเนื่อง ทว่าคนที่อยู่ข้างในกลับนอนห่มผ้าหลับอย่างสบายใจ แม้ว่าค่ายกลป้องกันจะถูกโจมตีอย่างรุนแรง แต่การนอนหลับของนางก็ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น

“เจ้าหลับสบายมากหรือไม่!”

ทันทีที่นางลืมตาขึ้น หลิงเยว่ก็พบกับใบหน้าที่ดุร้ายซึ่งทำให้นางตกใจมากจนตาสว่างทันที แต่จากนั้นนางก็ยิ้มก่อนที่จะพูดว่า

“มียามถึงสามคนคอยดูแลข้าอยู่รอบ ๆ จะไม่นอนหลับฝันดีได้อย่างไร ข้าฝันหวานด้วย!”

หลิงเยว่ยืดเส้นยืดสาย เตะขาและใช้ปราณทำความสะอาดตัวเอง จนกลายเป็นเด็กสาวที่ดูสะอาดสะอ้านและสวยงามอีกครั้ง

‘ยามทั้งสาม’ ยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนี้ ในขณะที่หลิงเยว่กำลังหลับอยู่ พวกเขาได้ลองทุกวิธีการแต่ก็ไม่สามารถทำลายแผ่นค่ายกลป้องกันได้ พวกเขาไม่รู้ว่าผู้สร้างค่ายกลคนใดกันที่สร้างมันขึ้นมา!

แต่เมื่อคำนวณเวลาแล้ว ค่ายกลน่าจะหมดพลังภายในอีกครึ่งชั่วยาม อีกเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น พวกเขาสามารถรอได้!

พวกเขาสามารถรอได้ แต่หลิงเยว่รอไม่ไหว

นางจะเดือดร้อนแน่นอนเมื่อค่ายกลป้องกันสลายไป หลิงเยว่ต้องรีบหาทางออกไปจากที่นี่ หรือว่าจะใช้ยันต์เทพธิดาโปรยบุปผาอีกดีหรือไม่?

แต่ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการใช้ยันต์นี้คือต้องสลายแผ่นค่ายกลป้องกันก่อน ซึ่งการทำเช่นนั้นนางคงจะถูกจับทันทีหลังจากม่านพลังหายไปแล้ว

คงจะดีไม่น้อยถ้ามีใครสามารถช่วยดึงดูดความสนใจของ ‘ยามทั้งสาม’ ที่อยู่ข้างนอกได้

หลิงเยว่นึกถึงผู่ตานที่หนีไป และชั่วพริบตาต่อมานางก็ปฏิเสธความคิดนั้นทันที เพราะกลัวว่าชายคนนั้นจะมาพร้อมกับศัตรูจำนวนมากกว่าเดิม นางจะไม่ถูกฆ่าในตอนนั้นเอาหรือ?

จากหางตาหลิงเยว่มองเห็นดอกไม้สีดำเล็ก ๆ ที่ผูกอยู่ที่ข้อมือ ดอกไม้นี้อยู่ในระดับปลุกสำนึกรู้และสามารถเข้าใจคำพูดของมนุษย์ได้อย่างแน่นอน

ราชาดอกไม้ซึ่งแสร้งทำเป็นตายสังเกตเห็นการจ้องมองที่เร่าร้อนของหลิงเยว่ กลีบดอกของมันจึงดูเหี่ยวเฉายิ่งขึ้น

“ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้าในครั้งนี้ ข้าจะทำให้เจ้าเป็นของกินทันทีหลังจากที่ออกไปจากที่นี่ได้”

ประโยคนี้ไม่ได้ทำให้ราชาดอกไม้กลัวเลย ต้องการทำให้ข้าเป็นอาหารด้วยแก่นปราณอัคคีขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นห้าของเจ้าน่ะหรือ? ฮ่า!

“ก็ได้ เจ้ารู้จักท่านอาจารย์ชิงยวนใช่หรือไม่ เมื่อข้าออกไป ข้าจะมอบเจ้าให้กับนาง และเจ้าจะถูกกลั่นเป็นโอสถ!”

การแสดงออกของหลิงเยว่ที่ว่า ‘เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะทำให้เจ้ากลัวจนตายแน่นอน’ ดูน่าตลกมาก

“นางบ่นอะไร”

“เจ้าเริ่มจะเสียสติแล้วหรือ?”

“หึ ในที่สุดก็กลัวข้าจนได้!”

ในที่สุดยามทั้งสามก็รู้สึกเหมือนสามารถหายใจด้วยความโล่งอกได้

แต่ความพึงพอใจนี้กินเวลาได้ไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ทันใดนั้นพลันเกิดเกล็ดหิมะเริ่มลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และทิวทัศน์โดยรอบก็ถูกย้อมเป็นสีขาวอย่างรวดเร็ว จากนั้น… เกล็ดน้ำแข็งสีดำของราชาดอกเกล็ดหิมะก็ปรากฏขึ้นไม่ไกลจากพวกเขา

หมอกดำกระจายอย่างบ้าคลั่ง!

ผู้บำเพ็ญขั้นเก้ากลั้นหายใจได้เพียงครึ่งทาง ทว่าน่าเสียดาย… มันสายเกินไปเสียแล้ว หมอกสีดำเข้ามาในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว และสีหน้าตกใจของเขาก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความบ้าคลั่ง

ผู้บำเพ็ญอีกสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาโจมตีผู้บำเพ็ญขั้นเก้าพร้อมกัน

ฆ่าพวกเดียวกัน!

หลิงเยว่ใช้โอกาสนี้เก็บแผ่นค่ายกลป้องกันแล้ววิ่งออกไปท่ามกลางทุ่งหิมะ

ดอกไม้น้อยนี้ค่อนข้างทรงพลังจริง ๆ ดูสิ เพียงแสดงทักษะเล็กน้อย กลับสามารถกำจัดศัตรูผู้แข็งแกร่งทั้งสามของนางได้ทันที

ราชาดอกไม้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรู้สึกว่ามันเป็นดอกไม้ที่โดดเด่นในบรรดามวลดอกไม้ แต่กลับไม่สามารถทำอะไรหลิงเยว่ได้ถึงสองครั้งแล้ว นั่นทำให้มันสูญเสียความมั่นใจไปโดยสิ้นเชิง

ผู้บำเพ็ญตัวน้อยขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นห้ากลับไม่ได้รับผลกระทบจากหมอกดำที่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอนของมัน!

หากผู้บำเพ็ญขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเก้าไม่ได้บ้าคลั่ง ราชาดอกไม้คงจะคิดว่าหมอกดำของมันใช้การไม่ได้เสียแล้ว

“ดอกไม้ดำน้อย โปรดใจเย็น ๆ อย่าฆ่าใคร!” ในระหว่างการหลบหนี หลิงเยว่ไม่ลืมเตือนราชาดอกไม้

ชายทั้งสามคนนี้แค่อยากจะปล้นและทุบตีนางเท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีเจตนาจะฆ่า ท้ายที่สุดนี่คือการแข่งขันในสำนัก และทุกคนก็เป็นคนสำนักเดียวกัน

ความใจดีของเด็กสาว!

ราชาดอกไม้ส่ายใบของมันแล้วนำร่างแยกของมันกลับมา

“ศิษย์น้องห้า รอก่อน!”

หลิงเยว่ที่วิ่งหนีเพื่อเอาชีวิตรอดไม่เพียงไม่หยุดเมื่อได้ยินเสียงนี้ แต่ยังเร่งความเร็วของนางอีกด้วย

ชายคนนี้ยังคงพยายามลากนางเข้าไปในกองไฟ ไม่มีทางที่นางจะถูกหลอกอีก!

“หูหนวกงั้นหรือ?”

เสียงดังก้องอยู่ในหูของนาง และหลิงเยว่ก็หันหน้าไปมอง

เป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะกลั้นหัวเราะกับรูปลักษณ์ปัจจุบันของผู่ตานผู้ที่เคยดูหล่อเหลา…

หลิงเยว่ชี้ไปที่ผู่ตานแล้วหัวเราะจนน้ำตาไหล

โธ่เอ๊ย! ดูน่าอนาถนัก ฮ่า ๆ!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท