ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน – บทที่ 53 การสังหารหมู่และกลิ่นหอมที่ตลบอบอวล

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

บทที่ 53 การสังหารหมู่และกลิ่นหอมที่ตลบอบอวล

บทที่ 53 การสังหารหมู่และกลิ่นหอมที่ตลบอบอวล

หลิงเยว่ที่กำลังวิ่งอย่างดุเดือดบังเอิญมองเห็นหญ้าหนามของแท้จากหางตาของนาง รูปร่างของมันเล็กลงเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วเมื่อวิ่งห่างออกไป

เป็นไปได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่มันหายากมากถึงเพียงนั้น!

หลิงเยว่กินโอสถแก้พิษให้ตัวเองสองเม็ด จากนั้นหันหลังกลับและรีบวิ่งไปที่หญ้าหนามทันที

ในเวลานี้แสงเหนือป่าถูกฝูงตัวต่ออสูรบังจนมืดมิด และเสียงหึ่ง ๆ ที่ดังอยู่ในโสตประสาทของผู้คนก็ดังก้องกังวานไปทั่ว หลิงเยว่เคลื่อนตัวเข้าหาหญ้าหนามอย่างเงียบ ๆ ก่อนยื่นมือออกไปเพื่อเด็ดมันมา!

ความรู้สึกราวกับถูกหนามอ่อนแทงเช่นนี้ มันคือหญ้าหนามของแท้แน่นอน หลิงเยว่ใส่มันลงในถุงเก็บของอย่างมีความสุข นางอยากจะออกไป แต่กลับพบว่ามีอีกต้นอยู่ข้าง ๆ!

เอาไปสักหน่อยแล้วกัน อยู่ห่างแค่สองก้าวก็เด็ดออกมาได้แล้ว

ในเวลานี้หลิงเยว่ไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีตัวต่ออสูรพิษขนาดเท่ากำปั้นหลายตัวกำลังบินมาหานาง ซึ่งเป็นขณะเดียวกับที่นางกำลังดึงหญ้าหนามออกมาด้วยพละกำลังทั้งหมด

เกิดอะไรขึ้นกับหญ้าหนามต้นนี้ เหตุใดมันถึงดึงยากมากกว่าต้นที่แล้ว!

หลิงเยว่โคจรปราณเข้าไปในมือของนางแล้วออกแรงอีกรอบ ด้วยเสียงดังปึกหญ้าหนามขนาดใหญ่ก็ถูกถอนออกจากดิน

“อ๊าก!”

เสียงกรีดร้องที่คุ้นเคยทำให้ผู่ตานซึ่งกำลังสู้กับตัวต่ออสูรอยู่ไม่ไกลสะดุ้ง ศิษย์น้องห้าหนีไปแล้วไม่ใช่หรือ?

เหตุใดเสียงของนางฟังดูเหมือนอยู่ใกล้ ๆ เช่นนี้?

หลิงเยว่อยู่ใกล้ ๆ และกำลังถูกตัวต่ออสูรต่อยเข้าหลายครั้ง การต่อยของตัวต่ออสูรพิษนั้นเจ็บปวดมากจนนางอดกรีดร้องออกมาหลายครั้งไม่ได้

ตอนนี้นางกำลังถูกฝูงตัวต่ออสูรพิษไล่ตาม ทำให้บริเวณที่โดนต่อยก็รู้สึกเจ็บปวดและบวมปูดมากเช่นกัน

เวรกรรมอะไรนักหนา!

เมื่อเริ่มโมโหหลิงเยว่ก็หยิบยันต์ระเบิดน้ำแข็งออกมาแล้วโยนมันไปทางฝูงตัวต่ออสูรที่อยู่ข้างหลังนาง

“ตูม!”

แสงสีขาวส่องสว่างในป่าอันมืดมิด ช่วยให้ผู้บำเพ็ญบริเวณใกล้เคียงสามารถหลบหนีไปได้

หลิงเยว่สังเกตเห็นว่ามีผู้บำเพ็ญคนหนึ่งถูกต่อยตามศีรษะและลำตัว เขาดู… น่าอนาถยิ่งนัก

ยันต์ระเบิดน้ำแข็งสามารถฆ่าตัวต่ออสูรพิษไปหลายตัว ทว่ามันยังดึงดูดตัวต่ออสูรพิษมาเพิ่มด้วย และพวกตัวต่ออสูรชุดใหม่ก็บินเร็วมากเสียจนหลิงเยว่อยากจะให้ตัวเองมีล้อที่เท้าจริง ๆ

เสียงกรีดร้องดังไปพร้อมกับแสงระเบิดที่ส่องสว่างในความมืด

หลายคนบดขยี้ป้ายหยกเคลื่อนย้ายซึ่งทำให้ป่าที่เคยเงียบสงบมีแสงวูบวาบไปทั่วดูมีชีวิตชีวา

หลิงเยว่เหวี่ยงแส้ไฟฟาดตัวต่ออสูรพิษที่พยายามจะต่อยนาง แม้หลังจากวิ่งออกจากป่าไปแล้วก็ยังมีตัวต่ออสูรพิษจำนวนมากติดตามอยู่

ผู่ตานมองดูร่างของหลิงเยว่ที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยความขุ่นเคือง หลังจากได้ยินเสียงกรีดร้องของศิษย์น้องเล็กคนโง่ เขาอุตส่าห์รีบวิ่งมาหา แต่ผลก็คือ… เด็กสาวกลับวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว นางลืมไปหรือว่ามีศิษย์พี่อย่างเขาอยู่ที่นี่ด้วย?

ใช่แล้ว หลิงเยว่ผู้ซึ่งยุ่งอยู่กับการวิ่งหนีเอาชีวิตรอดจะจำผู่ตานได้อย่างไร หรือต่อให้จำได้นางก็ไม่ขอฝากความหวังไว้ที่เขาอยู่ดี เพราะนั่นคงไม่ต่างอะไรกับการที่เด็กสาวเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตอยู่แล้ว

หลิงเยว่คิดว่าถ้านางวิ่งออกไปจากป่าให้ไกลมากพอ พวกตัวต่ออสูรมันจะเลิกไล่ตามและบินกลับไป ทว่าสุดท้ายนางก็ต้องผิดหวัง

สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่พวกตัวต่ออสูรหมายหัวแล้ว จะถูกไล่ล่าไปจนถึงสุดปลายขอบฟ้า!

หลิงเยว่รู้สึกอื้ออึงให้หัวไปชั่วขณะ นางได้แต่พลิกดูตำราอาหารวิญญาณในใจ ต่อให้นางปฏิเสธที่จะต่อสู้มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะหลบหนี มีอยู่สองทางเลือกเท่านั้นในสถานการณ์นี้ ไม่นางก็เป็นพวกตัวต่ออสูรพิษที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง

แล้วเช่นนี้เหตุใดนางถึงต้องหนีมาไกลถึงเพียงนี้ด้วย? นางช่างโง่เขลาเสียจริง!

แส้ไฟในมือของนางฟาดไปทางฝูงตัวต่ออสูร คราวนี้แส้ขยายกิ่งก้านและสร้างกำแพงเพลิงอย่างรวดเร็ว ขนาดของกำแพงนั้นขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของปราณผู้ใช้ แม้ว่าหลิงเยว่จะอยู่ที่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นห้า แต่นางมีแก่นปราณครบทั้งห้าธาตุ!

เมื่อกำแพงเพลิงเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตัวต่ออสูรพิษที่โกรธแค้นก็ไม่สนใจแล้วว่าข้างหน้าจะเป็นไฟหรือนรก พวกมันพุ่งโจมตีอย่างไม่กลัวตาย

ชี่… ชี่…

กลิ่นหอมไหม้ของตัวต่ออสูรที่ถูกย่างสดคลุ้งตลบอบอวลไปทั่ว

หลิงเยว่ต้องการเปลี่ยนกำแพงไฟให้กลายเป็นตาข่ายยักษ์เพื่อจับตัวต่ออสูรพิษทั้งหมด แต่นางยังไม่เชี่ยวชาญพอ…

ทว่าเด็กสาวสามารถทำได้เพียงเท่านั้นก็รู้สึกว่าตัวเองเก่งมากแล้ว!

ผลกระทบจากการโจมตีฝูงตัวต่ออสูรพิษ ทำให้ปราณในร่างกายของหลิงเยว่หมดลงอย่างรวดเร็ว จนแทบจะยืนหยัดไม่ได้อีกต่อไป

ทำอย่างไรดี! ทำอย่างไรดี!

จริงสิ!

ขณะที่เหล่าผู้ชมที่ด้านนอกมิติลับยังสงสัยว่าหลิงเยว่จะจัดการกับฝูงตัวต่ออสูรพิษอย่างไร ดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างเมื่อเห็นเถาวัลย์เล็ก ๆ โผล่ออกมาจากกำแพงเพลิง

เมื่อเถาวัลย์เส้นเล็ก ๆ ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟโดยสมบูรณ์ หลิงเยว่ก็ตะโกนว่า “รัดมันให้หมด!” เถาวัลย์ก็พุ่งออกไปพันรอบร่างของพวกตัวต่ออสูรพิษอย่างรวดเร็ว และรัดจนสำเร็จ!

จากนั้นจุดเริ่มต้นของการสังหารหมู่ก็เริ่มขึ้น ตามมาด้วยกลิ่นหอมของตัวต่ออสูรย่างที่โชยไปทั่ว

หลิงเยว่ตาเหลือกก่อนจะหมดสติไป

ก่อนที่จะหมดสติหลิงเยว่เองรู้สึกเสียใจอยู่สิ่งหนึ่ง นางอยากจะลองจุดไฟให้เถาวัลย์ขนาดใหญ่ที่กำลังงอกอยู่ในดิน แต่ทันทีที่ความคิดนี้เข้ามาในหัว สมองก็เข้าควบคุมร่างกายของนางให้ทำมัน

ผลของการกระทำนั้นคือมันทำให้นางหมดสติทันที ไม่เพียงแต่ปราณจะถูกดูดออกไปทั้งหมดเท่านั้น แต่พละกำลังของนางก็ถูกสูบออกไปจนหมดด้วย

“โง่จริง ๆ เลยเชียว”

ผู่ตานเดินมาถึง ก็ได้แต่มองร่างของศิย์น้องที่กำลังนอนไม่ได้สติพลางยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อเขาเห็นใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเด็กสาวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำบวมปูด ก็พลันหงุดหงิดขึ้นมา

“เมื่อครู่เจ้ายังหัวเราะเยาะข้าอยู่เลย!”

ผู่ตานเอื้อมมือไปจิ้มใบหน้าที่บวมปูดของหลิงเยว่ที่หมดสติไปแล้ว แม้จะแสดงสีหน้าเจ็บปวด ทว่าหญิงสาวก็ยังไม่ตื่น

ผู่ตานที่เห็นว่าน่าสนใจก็จิ้มและจิ้มจนเบื่อ แล้วจึงอุ้มหลิงเยว่ขึ้นมาก่อนจากไป

การโจมตีเมื่อครู่ของหลิงเยว่ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู่ตานเช่นกัน เขามีแก่นปราณคู่ในร่างคืออัคคีและพฤกษา ครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามใช้แก่นปราณทั้งสองด้วยกัน แต่ด้วยคุณลักษณะของแก่นปราณทั้งสองนี้เข้ากันไม่ได้ จึงไม่เกิดผล ทว่าเมื่อครู่นี้ หลิงเยว่ได้แสดงออกมาแล้วว่าปัญหาการเข้ากันไม่ได้ของธาตุอัคคีและพฤกษาสามารถแก้ได้ด้วยการใช้ปราณธาตุดินในการเป็นตัวกลาง!

เช่นเดียวกับการกลั่นโอสถ!

ผู่ตานรู้สึกตื่นเต้น เดิมทีเขาอยากทดลองต่อ แต่ก็ตัดสินใจออกจากมิติลับเพื่อศึกษาวิธีการสร้างแก่นปราณธาตุดินของตัวเองขึ้นมา

เปลือกหอยสีขาวรอบคอของหลิงเยว่บินไปที่มือของผู่ตาน จากนั้นปราณก็ค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในเปลือกหอยทีละน้อย ชั่วพริบตาต่อมาถุงเก็บของหลายสิบถุงก็บินออกมาอย่างรวดเร็วในขณะที่เปลือกหอยเปิดปากอยู่

“ผู่ตาน เอาถุงเก็บของคืนมาให้ข้า!”

“ปล่อยข้านะไอ้คนบ้าผู่!”

“อ๊าก! เจ้าหยิกเท้าข้า!”

ผู่ตานหยิกเท้ามนุษย์ขนาดเล็กเท่าเท้ามดที่อยู่ข้างในเปลือกหอยอย่างเมตตา

มีถุงเก็บของมากกว่าหนึ่งโหลที่มีสมุนไพรวิญญาณของภารกิจทั้งหมดอยู่ในนั้น ผู่ตานเอาส่วนแบ่งของเขาเองมาเก็บไว้กับตัวเท่านั้น และแขวนถุงเก็บของส่วนที่เหลือไว้ที่เอวของหลิงเยว่

จากนั้นแสงสองสายก็ถูกเคลื่อนย้ายออกจากมิติลับ

เมื่อออกจากมิติลับแล้ว ผู่ตานก็โยนหลิงเยว่ที่ยังไม่ตื่นไปที่หลงหว่านโหรวแล้ววิ่งหนีไปอย่างเร่งรีบ เขากำลังจะรีบไปศึกษาแก่นปราณดิน!

เมื่อเห็นหน้าลูกศิษย์อกตัญญูที่รีบจากไป ชิงยวนก็อยากจะจัดงานประกาศขับไล่ครั้งใหญ่ให้แก่เด็กเหลือขอคนนี้ออกจากยอดเขาไปเสียจริง แต่เมื่อนางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้… ในที่สุดชิงยวนก็ทำใจยอมรับมันได้

หลิงเยว่ตื่นขึ้นมาหลังจากหมดสติไปสามวัน พอตื่นมาก็เอามือแตะที่ใบหน้าก่อน ยังบวมนิดหน่อยแต่ไม่เจ็บแล้ว แต่นางจำได้ว่าตัวเองฝันร้ายอยู่นานเลย

ในความฝัน ใบหน้าของเด็กสาวถูกตัวต่ออสูรพิษต่อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงความเจ็บปวดตอนนั้นสีหน้าของหลิงเยว่ก็เหยเก ตอนนั้นนางทั้งเจ็บและโกรธมาก แต่เปลือกตากลับไม่ยอมเปิดออก

หลิงเยว่ซึ่งมั่นใจว่าตนเองไม่ได้เสียโฉมก็พลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ขณะที่ลมหายใจออกยังคงอยู่ตรงลำคอ ก่อนที่นางจะโล่งใจได้ครึ่งทาง…

ถุงเก็บของของนางอยู่ที่ใดกัน!

เหตุใดมันถึงหายไป?

เฮ้อ… คงจะโดนผู้บำเพ็ญที่เดินผ่านมาเห็นเอาไปแล้วนั่นแหละ…

หลงหว่านโหรว “…”

ศิษย์น้องห้ากำลังคิดอะไรอยู่ เดี๋ยวก็ลูบหน้าตัวเอง เดี๋ยวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และต่อมาก็ดูทำอะไรไม่ถูกเหมือนกำลังสงสัยบางสิ่งในชีวิต…

สีหน้าของหลิงเยว่แปลกประหลาดมากเสียจนผู้คนต้องเตือนนางว่านางออกจากมิติลับมาแล้ว

หลิงเยว่สงสัยว่านางต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้ว่าสถานที่ที่อยู่ตอนนี้คือเตียงที่คุ้นเคย นางลุกขึ้นนั่งกะทันหันและอดร้องไห้ไม่ได้เมื่อเห็นหลงหว่านโหรวยืนอยู่ที่นั่น

นางยังทำภารกิจไม่สำเร็จ เด็กสาวคงถูกผู้บำเพ็ญที่เดินผ่านมาปล้นของไปจนหมด จากนั้นคนผู้นั้นก็คงบดขยี้ป้ายหยกเคลื่อนย้ายของนางเพื่อส่งนางออกมา

“ศิษย์พี่หญิง ข้ายังทำภารกิจไม่สำเร็จ…”

“มันสำเร็จเรียบร้อยแล้ว”

หลิงเยว่ “…”

สำเร็จเรียบร้อยงั้นหรือ? นางจำได้ว่ายังมีสมุนไพรวิญญาณอีกสองชนิดที่ขาดอยู่

หลงหว่านโหรวอธิบายอย่างเรียบง่ายและชี้ไปยังถุงเก็บของที่วางอยู่ตรงมุมเตียง

“!!!”

ชีวิตก็เป็นเช่นนี้มีขึ้นมีลง!

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

ยอดกุ๊กบุกแดนเซียน

Status: Ongoing
‘หลิงเยว่’ ผู้ฝึกตนสำนักฝ่ายนอกแสนอ่อนหัด ทั้งยังถูกกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนัก ทว่ายังโชคดีได้ระบบนี้มาช่วยชีวิต มอบหมายภารกิจให้นางสามารถแข็งแกร่งขึ้นโดยใช้ทักษะการทำอาหารให้เกิดประโยชน์ แม้เส้นทางการเป็นยอดเซียนจะหริบหรี่ ทว่าโชคชะตาของยอดแม่ครัวได้เปิดทางให้ ‘หลิงเยว่’ ได้พบหนทางที่จะช่วยให้ตนรอดจากวิกฤติในครั้งนี้ไปได้‘ลิขิตฟ้าหรือจะสู้ตะหลิว เอ้ย! มานะตน หากนางไม่ยอมแพ้ ย่อมต้องมีหนทางสดใสรออยู่ข้างหน้าแน่’

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท